ร้านธรรมลิขิต พุทธคุณจากอริยสงฆ์มากมาย เชิญแวะชม สัมผัสญาณบารมีได้ ณ บัดนี้

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย ธรรมลิขิต, 27 พฤษภาคม 2013.

  1. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    นาคา นาม " ไชยจักราช " เกี่ยวข้องอะไรกับพระโพธิสัตว์ จัมเปยยะ

    ก่อนที่จะเข้าสู่ บุพกรรม ที่เชื่อมโยงนั้น

    ขอยกเอาประวัติของ พระโพธิสัตว์ จัมเปยยะ ขึ้นมา เพื่อให้ ดวงจิตของคุณ mooom ได้สดับถึงอดีตสักเพลาหนึ่ง

    ตั้งจิตให้สงบ เอ่ยนามของพระโพธิสัตว์ แล้ว อ่าน สิ่งต่อไปนี้นะครับ

    กาลครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูลคนยากจนเข็ญใจ ได้มีโอกาสไปที่ฝั่งน้ำ จัมปานที ร่วมกับ มหาชนเป็นจำนวนมาก เฝ้าดูสมบัติของพญานาคราช พอได้เห็นแล้วก็เกิด จิตโลภ ปรารถนาจะได้สมบัติเหล่านั้น จึงพยายามเพียรทำบุญให้ทาน รักษาศีล เพื่อที่จะได้มีได้เป็น อย่างนั้นบ้าง

    ต่อมา...เมื่อพญานาคราชตายไปได้เจ็ดวันแล้ว ชายยากจนเข็ญใจนั้นก็ตายตาม ด้วยผลบุญที่สะสมพาไปเกิดในนาคพิภพนั้นซึ่งชื่อว่า จัมปา ได้เป็นพญานาคราชชื่อ จัมเปยยะ มีสรีระใหญ่โตศีรษะเท่าคันไถ ยอดศีรษะคล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพล (ผ้าทอด้วยขนสัตว์) แดง ผิวหนังขาวราวกับพวงดอกมะลิสด มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก มีสมบัติมากมายมหาศาลแต่ถึงกระนั้น จัมเปยยนาคราช ก็ยังทรงดำริว่า "ด้วยผลแห่งบุญกุศลที่เราทำไว้ จึงได้ครอบครองจัมปานาคพิภพนี้ แต่เราก็ได้กำเนิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้บำเพ็ญบารมียิ่งไปกว่านี้ ประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตอยู่เยี่ยงนี้เล่า เราควรจะเข้าอุโบสถ (รักษาศีล 8) เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก จะได้พ้นไปจากความเป็น นาค อย่างนี้ จะได้กำเนิดเป็นมนุษย์สามารถแทงตลอดสัจธรรมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้" ตั้งแต่นั้นมา ทุกวันอุโบสถ (วันพระแรมและขึ้น 8 ค่ำ 15 ค่ำ) จัมเปยยนาคราช จึงถือศีล 8 อยู่ในปราสาทของตนนั้นเอง แต่บรรดาเหล่านางนาคทั้งหลาย ก็พากันตกแต่งร่างกายให้งดงามแล้วพากันไปยังปราสาทเสมอๆ ทำให้นาคราชเกิดความกังวลขึ้น "หากเรายังคงอยู่ที่ปราสาทนี้จะเป็นอันตรายแก่ศีลของเราเป็นแน่" จึงย้ายที่รักษาศีลอุโบสถ ไปอยู่ในอุทยานอันสงบ แต่นางนาคเหล่านั้นก็ตามไปยั่วยวนอีกหวังทำลายศีลของจัมเปยยนาคราชให้ได้ ทำให้นาคราชต้องตัดสินใจหลบออกจากนาคพิภพมุ่งสู่โลกมนุษย์ เพื่ออยู่รักษาศีล 8 ณ ที่นั้น ฉะนั้น ทุกๆ วันอุโบสถจึงเสด็จออกจากนาคพิภพไปโลกมนุษย์ นอนขดขนดตัวอยู่บนยอดจอมปลวกใกล้ทางเดินที่ผู้คนสัญจรไปมา ในหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง โดยตั้งศีลไว้อีกว่า "ร่างกายนี้เรายินดีเสียสละ หากใครต้องการแม้เนื้อหนังของเรา ก็จงมาเถือเอาไป หากใครต้องการเอาเราไปทำอะไร ก็จงทำเถิด"

    นาคราชจึงประพฤติศีลเสียสละเช่นนี้เป็นประจำ จน นางนาคสุมนา อัครมเหสี อดเป็นห่วงมิได้ ต้องทูลถามนาคราชว่า "โลกมนุษย์นั้นน่ารังเกียจ มีภัยรอบด้าน หากภัยใดเกิดขึ้นแก่พระองค์ พวกหม่อมฉันจะรู้ได้ด้วย นิมิต (เค้ามูล) ใด ขอพระองค์ตรัสบอกนิมิตนั้นด้วยเถิด" จัมเปยยนาคราชจึงนำนางสุมนาเทวีไปยังขอบสระโบกขรณีอันเป็นมิ่งมงคล แล้วตรัสว่า "หากใครทำร้ายเราให้ลำบาก น้ำในสระนี้จะขุ่นมัว หากพญาครุฑจับเราไป น้ำจะเดือดพุ่งขึ้น หากหมองูจับเราไป น้ำจะมีสีแดงดังโลหิต" หลังจากนั้นไม่นาน มีชายหนุ่มตระกูลพราหมณ์ชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งชื่อ ลุททกะ ไปร่ำเรียนยังเมืองตักกศิลา เขาได้เรียน มนต์อาลัมพายน์ (มนต์สะกดจิต) จบแล้ว จึงเดินทางกลับบ้าน แต่ระหว่างทางนั้นเอง ได้พบเห็นนาคราชขดตัวอยู่ที่จอมปลวก ก็เลยคิดว่า "เรื่องอะไรที่เราจะกลับบ้านมือเปล่า น่าจะจับนาคตัวนี้ เอาไปแสดงการละเล่นตามหมู่บ้าน และในเมือง ก็จะได้ทรัพย์มากมายเป็นแน่" ชายหนุ่มลุททกพราหมณ์จึงทำการร่ายมนต์ และพ่นยาใส่นาคราช ทำให้รู้สึกเหมือนมีซี่เหล็กเผาไฟร้อนย้อนเข้าไปในหูของนาครราช ศีรษะก็ปวดร้าวราวถูกเหล็กสว่านไชทนไม่ไหว จำต้องยกศีรษะขึ้นมองดู "ใครกันหนอทำกับเราอย่างนี้" ครั้นเห็นเป็นพราหมณ์หมองู จึงคิดในใจว่า "เรามีพิษอยู่มากมาย มีพิษแรงกล้า หากเราโกรธแล้วพ่นลมพิษออกไป ร่างของหมองูนี้ก็จะย่อยยับแหลกกระจุยกระจัดกระจายดังแกลบทีเดียว แต่ถ้าทำอย่างนั้น ศีลของเราก็จะขาดทะลุไปประโยชน์ใด ที่เราปรารถนาไว้ก็จะไม่บรรลุผล ฉะนั้นเราจะบำเพ็ญศีลบารมีให้มั่นคง จะไม่ยอมแลดูหมองูคนนี้ล่ะ เราจะหลับตาทั้งสองของเราเสีย" คิดอย่างนั้นแล้วจึงสอดศีรษะเข้าไปในขนด ส่วนพราหมณ์หมองูก็ยังคงเคี้ยวยาร่ายมนต์พ่นลงที่ร่างของนาคราชอีก ซึ่งบริเวณใดที่ถูกพ่น บริเวณนั้นก็พุพองบวมขึ้นทันที จากนั้นหมองูก็ฉุดหางลากตัวนาคราชให้นอนเหยียดยาว เอาไม้ (ตีนแพะ) กดจุดสำคัญให้นาคราชอ่อนกำลังลง แล้วจับ ศีรษะบีบเค้นเพื่อให้นาคราชอ้าปาก พอได้โอกาสก็พ่นยาใส่เข้าไปในปากของนาคราช ฤทธิ์ยาเข้าไปกัดทำลายจนฟันของนาคราชหลุดถอน เลือดกบปาก แต่นาคราชก็ยอมอดทนอดกลั้นต่อความรู้สึกทุกข์ทรมานเหล่านั้น เพราะเกรงว่าศีลของตนที่ถือปฏิบัติอยู่ จะขาดทะลุด่างพร้อยไป จึงหลับตานิ่งไม่ยอมลืมตามองดูหมองูอีกเลย ฝ่ายหมองูกลับคิดว่าเราต้องทำให้นาคราชตัวนี้หมดกำลัง สิ้นเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง จึงขึ้นเหยียบย่ำและบีบขยำทั่วตัวของนาคราชราวกับจะทำให้กระดูกแหลกละเอียดแล้วจับด้านหางม้วนพับคล้ายดังพับผ้า จนทั่วร่างของนาคราชเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แม้ทุกข์สาหัสถึงขนาดนี้นาคราชยังคงพยายามอดกลั้นใจไว้ได้ หมองูจึงเอาเถาวัลย์ทำเป็นตะกร้าจับนาคราชยัดใส่ในตระกร้านั้นเพื่อใช้แสดงการละเล่นให้แก่ผู้คนได้ดู นาคราชถูกทรมานมากมายก็ยังยอมทำตามที่หมองูสั่งทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการให้เปลี่ยนสีของร่างกายเป็นสีต่างๆ ให้ทำตัวเป็นทรงสี่เหลี่ยม ให้ทำตัวเป็นทรงกลม ทำตัวเล็กบ้างทำตัวใหญ่บ้าง และแผ่พังพานร่ายรำบ้าง ซึ่งประชาชนได้ดูการแสดงแล้วพากันชอบใจ ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์เป็นอันมาก เพียงวันเดียวเท่านั้นก็ได้ถึงพันกหาปณะ (4,๐๐๐ บาท) แล้วยังได้ข้าวของมีค่าอื่นๆ อีกมากมาย ตอนแรกนั้นพราหมณ์ตั้งใจไว้ว่าหากได้ทรัพย์ถึงพันแล้ว ก็จะปล่อยนาคราชไป แต่ครั้นได้ทรัพย์มากเข้าจริงก็เกิดความโลภจัดขึ้นมา คิดว่า "นี่ขนาดเป็นเพียงหมู่บ้านชายแดน เรายังได้ทรัพย์มากมายถึงปานนี้ ถ้าจัดแสดงให้แก่พระราชา มหาอำมาตย์ชมจะต้องได้ทรัพย์มากกว่านี้แน่นอน" เมื่อคิดอย่างนี้ จึงซื้อเกวียนเป็นพาหนะให้เดินทาง แล้ววางแผนว่า "เราจะบังคับนาคราชให้แสดงการละเล่นไปตามหมู่บ้าน จนกว่าจะได้เล่นถวายต่อพระเจ้า อุคคเสนะ ในกรุงพาราณสีแล้วจึงจะปล่อยตัวนาคราชไป" ในระหว่างการเดินทางนั้น หมองูฆ่ากบเป็นอาหารแก่นาคราช แต่นาคราชไม่ยอมกิน ด้วยรำพึงในใจว่า "หมองูฆ่ากบก็เพื่อเลี้ยงดูเราให้มีชีวิตอยู่ ไว้ใช้แสดงต่อไป เหตุนี้เราจะไม่ยอมกินเป็นอันขาด" พราหมณ์หมองูเห็นนาคราชไม่กินกบจึงเปลี่ยนเป็นข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งให้ แต่นาคราชก็ไม่กินอีกด้วยความรู้สึกหวั่นเกรงว่า "หากเรากินอาหารเหล่านี้ ก็คงจะต้องมีชีวิตอยู่ในตะกร้านี้จนตายเป็นแน่แท้" ครั้นเดินทางถึงกรุงพาราณสี หมองูก็บังคับให้นาคราชแสดงการละเล่นอยู่ที่เขตใกล้ประตูเมือง ได้ทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก เมื่อพระราชาอุคคเสนะทรงทราบข่าว ก็ตรัสสั่งให้หมองูนำนาคราชมาแสดงให้ดู ดังนั้นในวันอุโบสถ 15 ค่ำ หมองูจึงเปิดแสดงการละเล่นของนาคราชให้พระราชา เหล่าอำมาตย์ และประชาชนได้ชมกันที่หน้าพระลานหลวง ทุกคนต่างชื่นชมยินดี พากันดีใจต่อการแสดงของนาคราชจนอดไม่ได้ที่จะปรบมือสนั่นหวั่นไหว โบกธงโบกผ้าไปมา ด้วยอาการรื่นเริงบันเทิงใจยิ่ง แต่สำหรับนาคราชแล้วนับเป็นการถูกจับตัวมาครบหนึ่งเดือนเต็มพอดี ยังไม่ได้บริโภคอาหาร อะไรเลย ต้องอดทนต่อทุกข์ทรมานตลอดมา

    ครั้นเมื่อนางสุมนาเทวีได้เห็นสระโบกขรณีมีน้ำเป็นสีแดงดังเลือด ก็วิตกกังวลเป็นห่วงจัมเปยย นาคราช จึงออกจากนาคพิภพเที่ยวตามหา พอได้รับรู้ข่าวคราวก็ให้โศกเศร้าคร่ำครวญออกติดตาม ไปจนถึงเมืองพาราณสี ได้พบนาคราชกำลังโดนหมองูบังคับให้แสดงการละเล่นอยู่นางจึงยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นเอง เมื่อนาคราชแลเห็นนางสุมนาเทวีเข้าเท่านั้น ก็รีบเลื้อยหลบเข้าสู่ตระกร้าทันที ด้วยคิดว่า "ไม่อยากให้นางเสียใจทุกข์ใจกว่านี้ อีกทั้งละอายต่อการที่จะต้องมาร่ายรำแสดงการละเล่นต่อหน้านางสุมนาเทวี" ขณะนั้นพระราชากำลังทอดพระเนตรอยู่ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า "เกิดเหตุอะไรหนอ นาคราชจึงหลบลี้หนีเข้าตะกร้าไป ไฉนหญิงงามนางนี้ จึงมายืนร้องห่มร้องไห้เล่า" จึงตรัสถามนางว่า "ท่านเป็นใคร ช่างงามผ่องใสอุปมาดังดาวประจำรุ่ง เราไม่รู้จักท่านว่าเป็นนางฟ้า หรือคนธรรพ์ (ชาวสวรรค์ที่ชำนาญดนตรีและขับร้อง) หรือเป็นหญิงมนุษย์" นางสุมนาเทวีจึงทูลตอบไปว่า "ข้าแต่พระมหาราชา หม่อมฉันเป็นนางนาคกัญญา (นางงูสาว) ไม่ใช่นางฟ้า หรือคนธรรพ์ หรือหญิงมนุษย์" "ดูก่อนนางนาคกัญญา ท่านมีอาการเหมือนคนสติฟั่นเฟือน ใบหน้าเศร้าหมอง ดวงตานองไปด้วยหยาดน้ำตา เกิดเหตุอะไรขึ้นแก่ท่าน จึงได้มาในเมืองนี้ เชิญท่านบอกเล่าเถิด"

    นางสุมนาเทวีจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระราชาทรงทราบ พระราชาจึงตรัสถามด้วยความสงสัยยิ่งกว่าเดิมอีกว่า "นาคราชนี้เป็นผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมากมาย ทำไมจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของพราหมณ์หมองูได้เล่า" "ข้าแต่พระราชา นาคราชนี้ปกติประพฤติศีล 8 ในวันอุโบสถ ตั้งจิตมอบร่างกายของตนเป็นทาน นอนอยู่บนยอดจอมปลวกใกล้ทางหลวง จึงถูกหมองูจับตัวเอาได้ ทั้งๆ ที่พญานาคราชนี้มีฤทธิ์เดชมหาศาล สามารถพลิกแผ่นดินได้ มีนางนาคกัญญานับพันที่งามดั่งเทพอัปสร (นางฟ้า) มีสมบัติในนาคพิภพมโหฬารราวกับสมบัติในเทวโลก (สวรรค์) แต่เพราะเกรงกลัวว่าศีลของตนจะขาด ศีลของตนจะแตกทำลายไปจึงยอมรับทุกข์และความอัปยศอดสูถึงปานนี้ ก็เพียงเพื่อมุ่งจะรักษาศีลของตนเอาไว้เท่านั้น" รับฟังแล้วพระราชาทรงเกิดอาการสลดสังเวชใจ ตรัสกับหมองูว่า "ดูก่อนลุททกพราหมณ์เราจะให้ทอง 100 แท่ง กุณฑล (ตุ้มหู) แก้วมณีราคาแพง บัลลังก์สี่เหลี่ยม สีดอกผักตบ ภรรยารูปงามอีก 2 คน และโคผู้ 100 ตัวแก่ท่าน ขอท่านจงปล่อยนาคราชผู้สะสมบุญด้วยศีลของตนนี้ให้พ้นไปจากที่คุมขังเถิด" พราหมณ์หมองูจึงยอมปล่อยตัวนาคราชออกจากตะกร้า เมื่อจัมเปยยนาคราชได้รับอิสรภาพแล้วก็แปลงร่างให้เป็นชายหนุ่มรูปงาม ประดับประดาด้วยเครื่องทรงอันงามวิจิตรถวายบังคมต่อพระราชาแล้วทูลว่า "ข้าแต่พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพระพุทธเจ้าถูกจับกุมคุมขังอยู่ในตะกร้าจนเกือบจะถึงแก่ความตาย พระองค์เป็นผู้มีอุปการะคุณช่วยไว้ ข้าพระพุทธเจ้าขอประคองอัญชลีแก่พระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ และขอเชิญเสด็จทอดพระเนตรนาคพิภพ อันเป็นรมณียสถาน ซึ่งเป็นนิเวศน์ (วัง) ของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด" พระราชาทรงรับคำ นาคราชจึงพาพระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารไปยังนาคพิภพ ทรงบันดาลให้นาคพิภพปรากฏเป็นกำแพงแก้ว 7 ประการ ทั้งประตู ป้อมคู หอรบ ให้ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับงดงาม พื้นปูลาดด้วยทรายทองหอมฟุ้งขจรไปด้วยดอกไม้ทิพย์ เหล่านางนาคกัญญาไล้ทาตัวด้วยแก่นจันทร์อันเป็นทิพย์ มีข้าวน้ำอันเป็นทิพย์เป็นอาหาร พากันเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ด้วยกามคุณ อันเป็นทิพย์ตลอด 7 วัน จนในที่สุดพระราชาอดที่จะตรัสถามไม่ได้ว่า "ดูก่อนท่านนาคราช ก็เพราะเหตุใดหรือท่านจึงละสมบัติเห็นปานนี้ไปอยู่รักษาอุโบสถศีล ณ จอมปลวกในโลกมนุษย์ ท่านมีวิมานอันประเสริฐ งามผุดผาด รัศมีดังพระอาทิตย์ วิมานเช่นนี้ไม่มีในโลกมนุษย์เลย ท่านไปบำเพ็ญศีลตบะธรรมเยี่ยงนั้นเพื่อประโยชน์อะไรกัน แม้นางนาคกัญญาเหล่านี้สวมใส่กำไลทองมือกลมกลึง ฝ่ามือและเท้าแดงงามยิ่งนัก ผิวพรรณก็งดงาม คอยยกอาหารทิพย์ถวายให้พระองค์ สนมนารีเหล่านี้ไม่มีในโลกมนุษย์เลย ท่านไปบำเพ็ญศีลตบะธรรมเยี่ยงนั้นเพื่อประโยชน์อะไรกัน แม้แต่ในแม่น้ำอันชุ่มชื่นก็ดาษดื่นไปด้วยปลานานาชนิด ทั้งท่าน้ำที่ขึ้นลงก็ราบรื่นเป็นอย่างดี แม่น้ำเช่นนี้ไม่มีในโลกมนุษย์เลย ท่านไปบำเพ็ญศีลตบะธรรมเยี่ยงนั้นเพื่อประโยชน์อะไรกัน แม้ฝูงนกกระเรียนทิพย์ หงส์ทิพย์ นกยูงทิพย์ ดุเหว่าทิพย์ ส่งเสียงร่ำร้องไพเราะจับใจโผผินบินจับอยู่บนต้นไม้ทิพย์ นกทิพย์เหล่านี้ไม่มีในโลกมนุษย์เลย ท่านไปบำเพ็ญศีลตบะธรรมเยี่ยงนั้นเพื่อประโยชน์อะไรกัน แม้ต้นมะม่วงทิพย์ สาละทิพย์ ชมพู่ทิพย์ คูนทิพย์ แคฝอยทิพย์ ผลิดอกออกผลเป็นพวงงดงาม ต้นไม้ทิพย์เหล่านี้หาไม่มีในโลกมนุษย์เลย ท่านไปบำเพ็ญตบะธรรมเยี่ยงนั้นเพื่อประโยชน์อะไรกัน แม้ดอกไม้ทิพย์ทั้งหลายก็ฟุ้งตลบอบอวลไม่ขาดสายในสระโบกขรณี กลิ่นทิพย์เช่นนี้หาไม่ได้ในโลกมนุษย์ ดูก่อนพญานาคราช ท่านไปบำเพ็ญศีลตบะธรรมเยี่ยงนั้นเพื่อประโยชน์อะไรกันเล่า" นาคราชได้ยินคำถามนั้น จึงทูลเฉลยพระราชาว่า "ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรม คือการรักษาศีลอุโบสถ เพราะเหตุต้องการบุตรก็หาไม่ หรือต้องการทรัพย์ก็หาไม่ หรือต้องการให้อายุยืนยาวก็หาไม่ แต่เป็นเพราะข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาจะได้เกิดเป็นมนุษย์ จึงได้บากบั่นมุ่งมั่นบำเพ็ญสมณธรรม (ธรรมของผู้สงบระงับกิเลส) อย่างนี้" "ท่านผู้ประกอบด้วยเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก เพียบพร้อมด้วยสรรพกามคุณ ดูก่อนท่านนาคราช ก็แล้วโลกมนุษย์ ประเสริฐกว่าพิภพนาคที่ตรงไหนกันเล่า"

    "ข้าแต่พระองค์ นอกเสียจากโลกมนุษย์แล้ว ความบริสุทธิ์แห่งนิพพานหาไม่มีในโลกอื่นข้าพระพุทธเจ้าจึงสำรวมในศีลด้วยคิดว่า จะได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จะสามารถกระทำที่สุดแห่งความเกิดและความตายได้" พระราชาทรงสดับแล้ว ก็ตรัสยกย่องนาคราชาว่า "ชนผู้มีปัญญาเป็น พหูสูต (ฟังเล่าเรียนศึกษามาก) ตรึกตรองในธรรมอยู่เสมอ ย่อมควรคบหาโดยแท้ ดูก่อนนาคราช เราได้พบปะกับท่านแล้ว เราจะขวนขวายทำบุญไว้ให้มาก"

    ครั้นพระเจ้าอุคคเสนะประสงค์จะเสด็จกลับไปยังโลกมนุษย์ นาคราชจึงให้พนักงานเภรีเที่ยวตีกลอง ประกาศว่า
    "ราชบุรุษทั้งหลาย จงพากันมาขนเอาทรัพย์สมบัติ แก้วแหวนเงินทองไปได้ตามใจปรารถนาเถิด" และเอาเกวียนหนึ่งร้อยเล่มบรรทุกมหาสมบัติถวายแก่พระราชา แล้วจึงส่งเสด็จให้กลับคืนสู่พระนครพาราณสี

    "ในกาลครั้งนั้น หมองูได้มาเป็นพระเทวทัตในบัดนี้ นางนาคกัญญาสุมนาเทวีได้มาเป็นพระนางพิมพา พระเจ้าอุคคเสนะได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนจัมเปยยนาคราชได้มาเป็นเรา ตถาคต"
     
  2. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    บุรุษหนึ่ง เกิดขึ้นมาในสมัยที่พระโพธิสัตว์ จัมเปยยะ เสวยชาติเป็นนาคราช และ ได้มีโอกาสเห็นเรื่องราวในช่วงนั้น แม้เขาจะเกิดมาเป็นคนธรรมดา แต่ ด้วยความศรัทธา ในองค์โพธิสัตว์ จึงได้เข้าไปหา แล้วกราบ เพื่อขอฟังธรรม

    อานิสงค์ในครั้งนั้น เกิดขึ้น และส่งผลกับเขามาทุกภพทุกชาติ
    แต่ด้วยจิตหนึ่ง ที่หลงผิด คิดว่า การที่จะยิ่งใหญ่ได้นั้น จะต้อง มีพลัง อำนาจ และ มีร่างกายเป็นพญานาคราช จึงจะเป็นทางลัดไปสู่สิ่งที่ปรารถนา

    จิตที่ตั้งไว้ผิดนี้ ส่งผลให้เขา ตายลงแล้ว ไปจุติเป็น นาคา อีกเป็นเวลาที่ยาวนาน นับกัปป์

    ณ แผ่นดินสุวรรณภูมิ บริเวณ ที่เป็นจังหวัดบึงกาฬในปัจจุบันนี้ ท่านได้ถือกำเนิดและ เป็นราชาแห่งนาคราช มาหลายยุคหลายสมัย ริมฝั่งน้ำ หากมองไปยังทิศประจิม จะพบเห็นยอดเจดีย์หนึ่ง ณ จุดนั้น มีเกล็ดที่ท่านได้ถอดไว้ ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะสละร่างแห่งนาคา แล้ว อธิษฐาน ความเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน

    คุณ mooom จากนี้ไป ห้ามเกี่ยวข้องกับการทำบาปกับงู และ สัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด

    วาสนาบารมี ที่ยังคงอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำของจังหวัดบึงกาฬ ยังคงอยู่ รอเวลาและวาระที่ท่านเจริญสมาธิ และ ปฏิบัติธรรม ณ เวลา นั้น คำตอบจากอดีต จะทำให้ท่านทราบถึง จิตที่ตั้งมั่นในอันที่จะทำนุบำรุงพระศาสนา และ ผืนแผ่นดินนี้ ในเวลานี้ จะหวลคืนกลับสู่ดวงจิต และ พยุงชีวิตให้ก้าวขึ้นถึงจุดหนึ่ง ตามวาระ

    แจ้งได้เพียงแค่นี้ จากนี้ คือ สิ่งที่คุณจะต้องแสวงหาเอง


    ขอความเจริญในธรรม จงมีแก่คุณตลอดไป สาธุ
     
  3. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ผมสนใจครับ แต่ชื่อปัจจุบันผม ไม่มีตัวก.
    ชื่อปัจจุบันมีแต่ตัว ม หรือ ธ

    รอดูก่อน เผื่อมีท่านที่เป็นสายตรง
    ถ้าไม่มีใครจองแล้ว ไม่แน่อาจรับไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2013
  4. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    ก ไม่ใช่ อักษร ในชื่อปัจจุบัน นะครับ

    แต่ เป็น อักษร ในอดีต ชื่อในอดีต ครับ
     
  5. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    แล้วชื่อในอดีตชาติผม มีตัวก บ้างไหมครับ ช่วยดูให้หน่อยนะครับ
     
  6. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    ลองใช้พลังพิเศษที่คุณมีสัมผัสดูนะครับ

    คำตอบ ต้องเกิดจากวาระจิตของคุณ เท่านั้น
     
  7. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    วันนี้ผมมาโฟสไว้ตั้งแต่เวลา 05.41 น. และผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีใครมาจอง ดังนั้นผมขอจองพระกริ่งบุญบารมี ที่เกี่ยวข้องกับตัวอักษร ก ครับ

    คนเราเกิดมาแล้วหลายชาติภพ อดีตชาติผมอาจเคยมีชื่อ ที่มีอักษร ก

    เสียงสำเนียกบอกผมว่า พระกริ่งองค์นี้ถ้าได้ก็เป็นการดี

    เจ้าของกระทู้ช่วยมายืนยันหน่อย ว่าการจองพระกริ่งองค์นี้เป็นอย่างไรบ้าง ขอบคุณครับ
     
  8. new007

    new007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +308
    มาไม่เคยทันเลยครับ
     
  9. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    ยืนยันครับ คงไม่แปลกนะครับ ที่คนที่ผ่านมา แม้เวลาการประกาศจะผ่านไปนานเพียงใด แต่หาก ใช่ ก็ ต้อง ใช่ อยู่ดี

    อนุโมทนาสาธุด้วยครับ อธิษฐานดี ๆ นะครับ ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ สวรรค์มีตา ฟ้าเป็นพยาน ชีวิต เรา ลิขิตได้เอง
     
  10. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    รายการที่ส่งวันนี้นะครับ

    คุณ madasdome EK 0914 6654 5 TH
    คุณ I' ฟลาย EK 0914 6655 4 TH
    คุณ albusthai EK 0914 6656 8 TH
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2013
  11. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    โอนเงินแล้วครับ จำนวน 1899.99 บาท วันที่ 17 สิงหาคม 2556 เวลา 17.26 น.

    เลขที่อางอิงการทํารายการ 22566721552013817
    วัน/เวลาการทํารายการ 17-08-2013 17:26:52
    บัญชีผูรับโอน KBNK*129-2-75849-5
    ชื่อบัญชี MR.WUTHISAK WARAHSIN
    จํานวนเงิน 1,899.99 บาท
    คาธรรมเนียม 25.00 บาท (เก็บ ณ วันเกิดรายการ)
    รวมจํานวนเงิน 1,924.99 บาท
    ประเภทการโอนเงิน ทันที
    แจงเตือนผูรับโอน โทรศัพทมือถือ +66(8)-501-73859
     
  12. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    จริงที่สุดครับท่าน....
     
  13. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    ได้รับพระกริ่งบารมีแล้วครับ ขออนุโมทนาบุญกับอ. ศักดิ์ด้วยครับ
     
  14. Sod

    Sod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +471
    อาจารย์ศักดิ์ครับ
    วันนี้โอนเงิน 7,599 บาท เวลา 06:53 น.เรียบร้อยแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 สิงหาคม 2013
  15. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    เงียบจัง เจ้าของกระทู้หายไปไหนแล้วครับ รออ่านเจาะกรรมอยู่นะครับ
     
  16. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    เรียบร้อยแล้วครับ ขอโทษที่มาตอบช้า เพราะไม่ได้อยู่ในที่ตั้ง ต้องเดินทางหลายวัน ส่งพระให้แล้วนะครับ

    EMS อยู่ใน pm ครับ
     
  17. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    [​IMG]

    การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณะภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง จากการสอบถามบรรดาลูกศิษย์ ลูกหาของท่าน ซึ่งส่วนมากจะล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่ท่านได้รับรู้จากการเขียน ของ "ท่านมหา" ซึ่งเคยเป็นอุปัฏฐากหลวงปู่ จึงใกล้เคียงความจริงเท่าที่จะหาได้มากที่สุด

    หลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า เเท้จริงเเล้ววิชชาต่างๆท่านเรียนมาจากใคร

    เรื่องนี้พระใบฏีกาบุญยัง วัดหนองน้อย เเละ พระสมุห์กลับ เเสงเขียว

    ได้กล่าวตรงกันว่า ท่านเรียนวิชชาอาคมจากเบี้ยงบน ฟังเเล้วน่าอัศจรรย์ เเละ เป็นตำนานเกี่ยวกับตำราพุทธคุณ อิ ติ ปิ โส ทั้งสี่เล่ม ที่หลวงพ่อศุขท่านสำเร็จ เเละท่านมีศิษย์เอกเเท้จริงเพียงสามรูปกล่าวคือ

    1.กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    2.พระใบฏีกาบุญยัง วัดหนองน้อย
    3.พระสมุห์กลับ เเสงเขียว


    โดยพระคัมภีร์พุทธคุณ อิเเละติ นั้น กรุมหลวงชุมพร ท่านสำเร็จทั้งสองเล่ม
    ส่วนพระใบฏีกาบุญยัง วัดหนองน้อย เเละพระสมุห์กลับ เเสงเขียว ท่านสำเร็จ อิ ทั้งเล่ม ส่วนติ ยังไม่ทันจะได้ครบท่านทั้งสองได้ถึงเเก่กาลมรณภาพเสียก่อน ส่วนพระสมุห์กลับ เเสงเขียว ท่านได้ลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส เเต่กระนั้น ท่านยังได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์กลับ ที่มีศิษย์มากมายสังเกตได้จากงานไหว้ครูสมัยท่านมีชีวิต ปัจจุบันทายาทพระสมุห์กลับยังมีอยู่ ไว้ค่อยมาเล่าเรื่องตากลับวัดดอนตาลทีหลัง

    ในคัมภีร์พุทธคุณ อิ จากการจดบันทึกของพระใบฏีกาบุญยัง พระยันต์สำคัญในพระคัมภีร์ ที่ขาดไม่ได้คือ ยันต์พุทธอุดม้วนโลก ซึ่งยันต์นี้พระรุ่นหลายศิษย์หลวงพ่อศุข ได้เเก่หลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ มักใช้ประจำ ท่านยังกล่าวว่า ยันต์นี้ตัวเดียวสามารถสร้างวัดได้เลย เเละพระยันต์นี้มีสองเเบบเท่านั้นคือเเคล้วคลาดเเละมหาอุตจ์ เเต่ สามารถทำให้เป็นเมตตามหานิยมได้ด้วย

    ในพระคัมภีร์พุทธคุณอิ มีการจดบันทึกการลบผงพระพุทธคุณต่างๆ อาทิ
    การลบผงนะโมพุทธายุใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์ปถมัง เเละ การลบผงพระพุทธคุณ จนเป็นยันต์องค์พระ ทั้งสี่องค์เเล้วลบเข้าสูน นิพพาน ทั้งหมด ทุกคัมภีร์เป็นอย่างนี้

    เคยมีคนที่ชอบเรียนสายไสยเวทย์กล่าวว่า หลวงพ่อมหาโพธิ์ทั้งตั้งตัวการลบผงไม่สมบูรณ์ หากเเต่โดยเเท้จริงเเล้วหลวงพ่อท่านเน้นใจเป็นสำคัญ เเละลบเข้าสู่องค์พระเเละสูน ทั้งหมด นี่ต่างหากเคล็ดไม่ลับคงการเรียนอาคม คือความว่าง สูนนั่นเอง ปล่อยวาง สูงสุดคืนสู่สามัญ

    สุดยอดพระยันต์ครูของหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จริงๆคือยันต์พุทธอุดม้วนโลก


    [​IMG]

    ลายมือหลวงพ่อศุข ยันต์พุทธอุดม้วนโลก

    ซึ่งมีลักษณะทั่วไปเป็นอักขระ พุทธขอม สามชั้นวนๆเเล้ววนเข้าหาหัว หรือ วันเข้าหาวงกลม มีสองเเบบ เรียกได้ว่าดีทางเเคล้วคลาดเเละมหาอุตม์
    ซึ่งพุทธอุดม้วนโลกของท่าน มีเอกลักษณ์คือเวลาเขียน เคล็ดลับคือ ก่อนเขียนต้องพินธุ ก่อน ต้องทำวัตถุที่เราจะลงอักขระให้สะอาดก่อนซึ่งวัสดุเเต่ละชนิดจะพินธุไม่เหมือนกัน
    หลังจากนั้นเขียนอักขระพุทธพร้อมกับบริกรรมว่า นามะนังสะมะโส ยุตตะโถ.....เเห่งนามะ....ไปเรื่อยๆจนจบคาถา เมื่อเสร็จเเล้วต้องกรึงยันต์ ว่าด้วยอักขระยันตังสันตังอยังเอหิ.....ไปเรื่อยๆจนจบเเละหลังจากนั้นเสกตัวพุทธนี้ด้วย บารมีสามสิบทัศน์
    อิติปาระมิตตาติงสา....เเล้วตัวพุทธอุดม้วนโลกนี้มักล้อมรอบด้วยตัว อิ อันเป็นอิของรัตนมาลา ซึ่งท่องว่า

    อิฏโฐสัพพัญญุตะญานัง
    อิจฉันโตอาสะวักขะยัง
    อิฏฐังธัมมังอะนุปปัตโต
    อิทธิมันตังนะมามิหัง


    [​IMG]

    ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ

    จะเห็นได้ว่าพุทธอุดม้วนโลก เเต่ละตัวล้วนสำเร็จได้ด้วยคุณพระรัตนตรัย เเละ เน้นที่ รัตนมาลาเป็นหลักสำคัญ
    พร้อมกันนั้น พุทธอุดม้วนโลก สามารถ ทำเป็นมหานิยมก็ได้ ซึ่งมีเคล็ดต่างๆที่ ตำราระบุเอาไว้เเละ มีหลายท่านบอกว่าพุทธอุดม้วนโลกมีสี่ห้าเเบบนั้น จริงๆเเล้วพุทธที่ว่านั้นเขาไม่ได้เรียกพุทธอุดม้วนโลก อาทิ พุทธ มหานิยมใหญ่ พุทธเมตตา ซึ่งการเรียกเเละคาถาเสกจะไม่เหมือนกัน


    ตัวอิ ที่ล้อมรอบ ตัวพุทธสามารถใช้ตัว ติ ปิ โส เเล้วเสกด้วยรัตนมาลาก็ได้
    อีกอย่างพุทธอุดม้วนโลก นั้นปกติจะวนสามรอบ บางครั้งพิเศษจะเป็น ห้ารอบ เก้ารอบ


    ยันต์ครูองค์พระ

    จากความประทับใจเมื่อได้เห็นยันต์องค์พระซึ่งมีความสวยงามเเละความหมายในตัวทำให้ผมได้เเสวงหาที่มาของยันต์องค์พระ ที่เเท้เเล้วยันต์องค์พระไม่ได้เป็นยันต์ที่เขียนขึ้นมาเดี่ยวๆเเต่ที่จริงกลับเป็นพระยันต์เพียงพระยันต์ในการลบผงของหลวงพ่อศุขวัดมะขามเฒ่า ครูโบราณที่สอนต่อๆกันมาบอกว่าตำราการลบผงพระพุทธคุณ คือการลบพระยันต์องค์พระนั่นเอง ของหลวงพ่อโตเเละ หลวงพ่อศุขจะเหมือนกัน นี่คือคำกล่าวของหลวงพ่อมหาโพธิ์ นั่นเอง
    ยันต์องค์พระที่เผยเเพร่กันอยู่ที่เห็นๆมีด้วยกันสี่องค์ที่เรียกว่าพระเจ้าเข้านิโรธ บ้าง ยันต์ครูองค์พระบ้าง ทีนี้ ยันต์องค์พระจริงๆของหลวงพ่อศุขในตำราการลบผงของท่านกลับมีมากกว่าสี่องค์ ทั้งของพระใบฏีกาบุญยัง เเละ พระสมุห์กลับ ก็ไม่เหมือนกันอีก เเละยังไม่นับ ยันต์องค์พระที่มีในการลบผงนะโมพุทธายะใหญ่อีก

    ในตำราของหลวงพ่อศุขมีคัมภีร์ อิ ติ ปิ โส ซึ่งเป็นวิชชารัตนมาลา เป็นหลัก มีข้อปลีกย่อยมากมาย ที่หลวงพ่อศุข ท่านใช้มากสุดคือ คัมภีร์อิ ในตำรา ให้ตั้งต้นการลบผงด้วย อิ สี่ตัว ลบไปเป็น นะมะพะทะ ลบเป็น อิ สวา สุ ลบเป็นอิกะวิติ ลบเป็นนะ...ลบไปเรื่อย... มียันต์ ตะรางเพชร(ยันต์เกราะเพชรนั่นเอง กลับอยู่ในส่วนหนึ่งของการลบผงในวิชชาพระพุทธคุณ อิ ) ยันต์ข่ายเพชร ยันต์ดาวดาดฟ้า ยันต์มหาโปรยมหาปราบ สุดท้ายเป็นยันต์องค์พระทั้งสี่องค์โดย องค์สุดท้าย เป็นองค์พระนิพพาน เเต่การลบองค์สุดท้ายไม่ต้องลบเป็นสูนเป็นเคล็ด เเต่ลบยันต์องค์พระในวิชชานะโมพุทธายุใหญ่ต้องลบถึงสูนนิพพาน

    อักขระที่ยันต์องค์พระจะมีซ้ำๆคล้ายๆกันอันได้เเก่ จะภะกะสะ นะมะพะทะ นะโมพุทธายุ พระเจ้าสิบหกพระองค์ มงกุฏพระพุทธเจ้า
    อิติปิโส พระอรหัง วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้

    สุดท้ายนิพพานังปรมังสุขขัง......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2013
  18. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    ยันต์พุทธอุดม้วนโลก​


    [​IMG]

    ยันต์ตัวนี้ จะได้เห็นชัด ๆ จากพระที่จะนำลงต่อไปนี้ หลาย ๆ องค์ นะครับ

    เนื้อตะกั่ว โบราณ อายุกว่า 80 ปี

    รอยจารบางเบา หนัก บ้าง เบาบ้าง ตามกำลังของผู้เฒ่า( หลวงปู่ศุข )

    แต่ที่จะสังเกตเห็นความประหลาดพิศดารที่มองดูด้วยตาได้ ก็คือ

    วัตถุที่เล็กกว่าเหรียญบาท

    มีการเขียนลวดลายลงไป

    ด้วยมือเปล่า


    [​IMG]

    เมื่อท่านได้พระไป ท่านลองจำลองขนาดวัตถุ แล้วลองลากเส้นเขียนดูซิครับว่า จะทำได้ประมาณแค่ไหน

    สมัยนี้ ถ้าวัตถุเล็ก ก้ใช้ เลเซอร์ เขียนเอา

    แล้วสมัยนั้น ทำทีละองค์ ๆ ด้วยมือเปล่า กับนัยตาเปล่า ๆ จะเป็นไปได้หรือ ยิ่งกับคนมีอายุด้วยแล้ว

    ผมยืนยันได้เลยว่า ไม่ใช่นัยตาปกติครับ
    แต่ เป็นตาญาณ กำลังญาณ ของหลวงปู่ ที่จารลงไป

    สมัยนี้ การจาร ถ้า ไม่ไหว ก็จะใช้ตอก แต่สมัยนั้น จารด้วยมือ และ จารด้วยญาณในอย่างที่ว่ามา

    พระชุดนี้ มีอะไรที่ เล่าได้มากมายครับ ติดตามนะครับ ในราคาที่่ท่านเป็นเจ้าของได้

    วันหน้า หากมีคนพยายามจะทำเลียนแบบขึ้นมา อย่างน้อย ในวันนี้ หลายคนก็จะมีของ

    แท้ ๆ ที่รวบรวมเขียนบรรยายเป็นตำราดูพระของหลวงปูศุขได้เลยหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2013
  19. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    พระร่วงครองเมือง ทรงใบมะขาม

    [​IMG]

    มี 4 องค์ องค์ละ 799 บาท
     
  20. ธรรมลิขิต

    ธรรมลิขิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,329
    ค่าพลัง:
    +5,380
    พระร่วงครองเมือง ทรงใบมะขาม ปิดรายการให้คุณ mooom แล้ว
    องค์ที่ 1


    [​IMG]

    [​IMG]

    เป็นพระที่มีขนาดเล็ก และนั่งพานมีรัศมีตามแบบหลวงปู่ศุข ดู ตะกั่วมีไข แถมมีสนิมแดงประปราย สนิมแดงจะเกิดขึ้นได้ ต้องพระที่มีอายุ 80 ปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...