ลำนำเพลงรักของนักกลอน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ติงติง, 8 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ไปอ่านมาค่ะ
    V
    V
    การกรวดน้ำ

    หากหลายเหตุผลที่บอกว่า เวลาทำบุญควรมีการกวาดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร บางท่านก็บอกว่าไม่ต้องก็ได้ กรวดน้ำแห้ง ๆ เดี่ยวก็ถึง
    เสด็จปู่ ท่านบอกว่าถ้าเหล่าทวยเทพเทวา ท่านรับรู้ทราบ ท่านก็โมทนาแล้วรับกุศลไป พวกผีโอปาติกะตามข้างทาง ตามป่าตามเขา เขาทราบ เขาก็โมทนา แล้วรับบุญไป กระแสบุญไปได้ไกลมาก

    แต่ก็มีจำพวกหนึ่งที่ถูกคุมขัง กังขัง ในที่มืด ในที่อับ กระแสบุญของเราไปไม่ถึง ต้องขอบารมีพระแม่ธรณี ท่านพญายมบาล นำสารไปบอกกล่าวให้รับรู้รับทราบ ซึ่งต้องอาศัยสื่อคือ น้ำ กลิ่นธูป แสงเทียน ขอพระแม่ธรณี พญายมราช โปรดนำบุญที่ลูกได้ทำแล้วส่งข่าวนี้ไปให้เจ้ากรรมนายเวร ญาติมิตร เพื่อนพ้อง พี่น้อง ที่อยู่ในที่มืด ที่กังขัง สถานที่จองจำใด ๆ ขอได้รับทราบและร่วมโมทนาสาธุด้วยกัน
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    จำไว้นะ.. ทำดีให้คุ้น ทำบุญได้ง่าย...
    " คนดี ทำดีง่ายทำชั่วยาก
    คนชั่ว ทำชั่วง่ายทำดียาก
    คุ้นเคยกับสิ่งไร จักทำสิ่งนั้นได้ง่าย
    ไม่คุ้นเคยกับสิ่งใด จักทำสิ่งนั้นได้ยาก
    พึ่งหมั่นละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส
    แล้วธรรมะจะจัดสรรความสงบสุขให้เอง..
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ น้ำตกเกิดเพราะบนที่สูง บนยอดเขามีน้ำอยู่มาก ไม่ว่าอยู่บนผิวดินหรือใต้ดิน ถึงที่สุดก็ต้องไหลลงสู่ที่ต่ำ เปรียบดั่งคนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ติดยึดกับหัวโขนที่สวมอยู่ แต่สามารถปรับตัวได้ตามกาลเทศะ พบผู้อาวุโสก็รู้จักนอบน้อม พบผู้อ่อนอาวุโสหรือด้อยฐานะกว่า ก็เคารพ ให้เกียรติ และมีเมตตา ไม่ดูถูก ไม่รังเกียจ
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    หวัง พระนิพพาน
    ด้วย ความเพียร เท่าฝ่ามือนั้น
    ลองคิดดู กิเลส เท่ามหาสมุทร
    แต่ ความเพียรเท่าฝ่ามือนั้น
    มันห่างไกลกัน ขนาดไหน

    เพียงใช้ ฝ่ามือแตะมหาสมุทร
    ทำความเพียร เพียงเล็กน้อย
    แต่หมายมั่นปั้นมือว่า จะข้ามโลกสงสาร
    เมื่อไม่ได้ตามใจ ก็หาเรื่อง
    ตำหนิศาสนา และ กาลสถานที่

    งานอะไร ก็ต้องฝึกทั้งนั้น
    ฝึกงาน ฝึกคน ฝึกสัตว์ ฝึกตน ฝึกใจ
    นอกจากตายแล้ว จึงหมดการฝึก
    คำว่า ดี จะเป็นสมบัติของ "ผู้ฝึกดี" แล้วแน่นอน


    (พระธรรมคำสอน...หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ใครลองแล้วบ้าง วิีธีไล่แมลงสาบ หนู ยุง... ได้ผลไหม(เอามาจากเทคนิคชาวบ้านเพื่อการกินดีอยู่ดี)

    1 การกำจัดแมลงสาบ ในบ้านที่มักจะอยู่ตามครัว ตู้ โต๊ะ หรือตามซอกตามมุมต่างๆ เขาบอกว่าวิธีที่ได้ผลและง่ายแสนง่าย แต่คนมักไม่ทราบหรือคิดไม่ถึง นั่นก็คือใช้ “ พริกไทยเม็ด ” ไปวางตามจุดต่างๆ ที่แมลงสาบชอบออกมาไต่ยั้วเยี้ย หรือแอบมากินเศษอาหาร โดยวางไว้ที่ละ 4-5 เม็ดก็พอ แค่นี้ แมลงสาบได้กลิ่นก็ไม่มารบกวนแล้ว เพราะมันไม่ถูกกับกลิ่นพริกไทยเม็ด ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้เสียเงิน หรือเป็นอันตรายต่อคนในบ้าน พอกลิ่นหมด ก็คอยเปลี่ยนใหม่ ข้อสำคัญ ระวังเด็กเล็กในบ้านอย่าคลานไปกินเข้า จะร้องไห้จ้าเพราะความเผ็ด
    2 กำจัดยุงและแมลงตัวเล็กๆ ไม่ให้มารบกวนตอนอ่านหนังสือหรือทำงานตอนกลางคืน เขาให้ใช้ “ การบูร ” มาห่อผ้าขาว หรือไปซื้ออย่างที่เขาห่อสำเร็จมาแล้วก็ได้ จากนั้นนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับหลอดไฟ หรือโคมไฟ เพื่อความร้อนจากหลอด หรือโคมจะทำให้กลิ่นการบูรค่อยๆ ระเหิดออกมาอย่างรวยริน ยิ่งกลิ่นออกมามากเท่าใด ยุงและแมลงก็จะบินหนี เพราะมันไม่ชอบกลิ่นการบูร แค่นี้ก็ไม่ต้องจุดยากันยุงหรือทายากันยุงให้เหนอะหนะเหนียวตัว
    3 ขับไล่หนูชุกชุม โดยไม่ต้องฆ่าให้บาปกรรม ด้วยการนำ น้ำมันระกำ 10 ส่วน ผสมกับน้ำมันสะระแหน่อีก 90 ส่วนให้เข้ากัน แล้วเอาไปทาตามทางเดินของหนู หรือที่ๆ หนูชอบมา มันจะไม่มาอีกเลย เมื่อได้กลิ่นน้ำมันทั้งสองอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรจะเก็บเศษอาหารให้หมด และทำบ้านเรือนให้สะอาด อย่ารกรุงรัง เป็นดีที่สุด
    ใครลองแล้วบ้าง วิีธีไล่แมลงสาบ หนู ยุง... ได้ผลไหม(เอามาจากเทคนิคชาวบ้านเพื่อการกินดีอยู่ดี) 1 การกำจัดแมลงสาบ ในบ้านที่มักจะอยู่ตามครัว ตู้ โต๊ะ หรือตามซอกตามมุมต่างๆ เขาบอกว่าวิธีที่ได้ผลและง่ายแสนง่าย แต่คนมักไม่ทราบหรือคิดไม่ถึง นั่นก็คือใช้ “ พริกไทยเม็ด ” ไปวางตามจุดต่างๆ ที่แมลงสาบชอบออกมาไต่ยั้วเยี้ย หรือแอบมากินเศษอาหาร โดยวางไว้ที่ละ 4-5 เม็ดก็พอ แค่นี้ แมลงสาบได้กลิ่นก็ไม่มารบกวนแล้ว เพราะมันไม่ถูกกับกลิ่นพริกไทยเม็ด ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้เสียเงิน หรือเป็นอันตรายต่อคนในบ้าน พอกลิ่นหมด ก็คอยเปลี่ยนใหม่ ข้อสำคัญ ระวังเด็กเล็กในบ้านอย่าคลานไปกินเข้า จะร้องไห้จ้าเพราะความเผ็ด 2 กำจัดยุงและแมลงตัวเล็กๆ ไม่ให้มารบกวนตอนอ่านหนังสือหรือทำงานตอนกลางคืน เขาให้ใช้ “ การบูร ” มาห่อผ้าขาว หรือไปซื้ออย่างที่เขาห่อสำเร็จมาแล้วก็ได้ จากนั้นนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับหลอดไฟ หรือโคมไฟ เพื่อความร้อนจากหลอด หรือโคมจะทำให้กลิ่นการบูรค่อยๆ ระเหิดออกมาอย่างรวยริน ยิ่งกลิ่นออกมามากเท่าใด ยุงและแมลงก็จะบินหนี เพราะมันไม่ชอบกลิ่นการบูร แค่นี้ก็ไม่ต้องจุดยากันยุงหรือทายากันยุงให้เหนอะหนะเหนียวตัว 3 ขับไล่หนูชุกชุม โดยไม่ต้องฆ่าให้บาปกรรม ด้วยการนำ น้ำมันระกำ 10 ส่วน ผสมกับน้ำมันสะระแหน่อีก 90 ส่วนให้เข้ากัน แล้วเอาไปทาตามทางเดินของหนู หรือที่ๆ หนูชอบมา มันจะไม่มาอีกเลย เมื่อได้กลิ่นน้ำมันทั้งสองอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรจะเก็บเศษอาหารให้หมด และทำบ้านเรือนให้สะอาด อย่ารกรุงรัง เป็นดีที่สุด
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    7 Dangerous Facebook's Habits:
    7 นิสัยอันตรายในเฟซบุ๊ค!

    ธาม เชื้อสถาปนศิริ,
    นักวิชาการ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.)
    timeseven@gmail.com


    เพราะเฟซบุ๊คเป็นโลกชุมชนเสมือนจริงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้คนเข้ามาพูดคุย บอกเล่า และสร้างความสัมพันธ์เก่าใหม่ไปพร้อมๆ กัน เมื่อชุมชนหนึ่งๆ ที่มีประชากรมากขนาดนั้น “ปฏิสัมพันธ์” ระหว่างกันย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และ ผู้คนต่างๆ นี้เอง ก็พาเอานิสัย/บุคลิกส่วนตัวเข้ามาในโลกนี้ด้วย

    มีการศึกษาจากวารสารการแพทย์อเมริกันพบว่า เฟซบุ๊คทำให้คนกล้าที่จะพูดเรื่องตัวเองมากขึ้น ช่างคุยมากขึ้น และในบางราย คือ หลงตัวเองมากขึ้น อันเป็นผลมาจาก การใช้สื่อเฟซบุ๊คเพื่อสื่อสารกับคนทั้งโลกว่าคุณทำอะไรอยู่ เช่นเดียวกับ ยูทูบว์ หรือ ทวิตเตอร์ ที่เน้นการสื่อสารจากตัวคุณเอง

    การสื่อสารในสื่อใหม่ คือ การทำให้ .”คุณ” (you) ได้พูดเรื่องตนเองมากขึ้น
    โดยมีโลกทั้งใบพร้อมฟังคุณ!

    อย่างไรก็ตาม จากที่ผู้เขียนค้นดูงานวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับ พฤติกรรม /อุปนิสัย ที่อาจเป็นที่น่ากังวลอันเกดมาจากพฤติกรรมการใช้เฟซบุ๊คที่ขาดสติเท่าทัน

    มี 7 อุปนิสัย ที่อาจพัฒนาเป็นบุคลิกภาพที่เป็นปัญหาเชิงจิตวิทยาในระยะยาวของผู้ใช้เฟซบุ๊คที่อาจรู้ไม่เท่าทัน ดังนี้

    (1) “หลงไหลตัวเองมากขึ้น”

    เป็นอุปนิสัยแรกเริ่มที่อาจดูไม่เป็นปัญหา หรือนำไปสู่หลายๆ ปัญหา ไม่น่าเชื่อว่า เฟซบุ๊คทำให้คนหลงตัวเองมากขึ้น!

    ผู้คนส่วนมากรู้เรื่องตนเองดีที่สุด ฉะนั้นพวกเขาจึงมักโพสต์ทุกอย่างที่พวกเขาภูมิใจ ง่ายที่สุดคือเรื่อง “หน้าตา” คนพวกนี้มักชอบโพสต์รูปตัวเองในมุมสวย หล่อ และเฝ้ารอคนมากดชื่นชอบหรือแสดงความคิดเห็น หรือ กระทั่งการกดปุ่มไลค์ รูปที่ตนเองเพิ่งจะโพสต์ลงไป!

    เฟซบุ๊คทำให้คนขี้โม้ ขี้คุย ขี้อวดมากขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมการอวด หลายคนมักโพสต์รูปถ่ายกับรถใหม่ บ้านใหม่ ของเล่นชิ้นใหม่ บ้านใหม่ งานใหม่ สถานที่เที่ยวใหม่ๆ กระทั่งอาหารที่กำลังจะทานพวกเขาก็ไม่วายที่จะถ่ายรูปเพื่อเอามาอวดเพื่อนๆ หรืออวดว่ามีจำนวนคนมาขอเป็นเพื่อนมากมาย คนมากดชอบ แสดงความคิดเห็น ก็กลายเป็นการส่งเสริมให้พวกเขาหลงตัวเองมากขึ้นไปอีก

    แน่ว่า พวกเขาทำล้วนทำทุกอย่างเพื่อโปรโมทตัวเอง!


    (2) “ขี้อิจฉามากขึ้น”

    เมื่อมีคนโพสต์เรื่องตนเอง หน้าตาดี ชีวิตดี ฐานะดี ดูดี ดูเท่ห์ คนอีกจำนวนหนึ่งที่รู้สึกว่าชีวิตตนเองไม่ดีแบบนั้น จึงกลายเป็นคนที่ขี้อิจฉามากขึ้น พวกเขายิ่งรู้สึกดอยค่าและไม่พอใจในชีวิตตนเอง และรู้สึกว่าตนเองเป็น “ไอ้ขี้แพ้” ตลอดเวลา

    ในแง่นี้อธิบายได้ว่า “เพราะในโลกจริง ผู้คนส่วนใหญ่ ก็ยังเป็นคนจน ชนชั้นกลาง หลายๆ คนไม่ได้เป็นคนเก่ง คนที่ได้รับสถานะทาสังคมเฉกเช่นดารา คนดัง หรือบุคคลสาธารณะ เพื่อคนธรรมดาเหล่านั้นเข้ามาใช้เฟซบุ๊ค เขาก็เพียงแค่อยากจะรู้สึกเป็นคนเด่น คนดัง คนสำคัญบ้าง จึงต้องสร้างภาพตนเองให้ดูดีในพื้นที่สาธารณะสักเล็กน้อย เพื่อหลอกตัวเองหรือผู้อื่น การยกระดับภาพชีวิตตนเองให้ดีขึ้น ก็มิใช่อะไรอื่น นอกจากขาอิจฉาคนอื่น ไม่ว่าจะมาจากโลกจริงหรือโลกเสมือนก็ตาม”

    (3) “มองโลกในแง่ร้าย”

    เฟซบุ๊คเป็นที่ที่คนชอบโพสต์เรื่องส่วนตัวดีๆ ขณะที่เรื่องส่วนรวมของสังคมมักเป็นเรื่องร้ายๆ ดังนั้นคนที่เสพข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก จึงมักเห็นเรื่องปัญหาสังคมต่างๆ ถูกหยิบขยายความ ตีความ ส่งต่อแพร่หลายกระจายวงกว้าง พวกเขาจึงรู้สึกว่า “โลกช่างโหดร้าย” และมีลักษณะไม่ไว้วางใจผู้คนเรื่องต่างๆ มากขึ้น


    (4) “ชอบสอดส่องสอดรู้ชีวิตคนอื่นๆ”

    เฟซบุ๊คเอื้อโอกาสให้เราสามารถสอดส่องดูชีวิตของเพื่อนเราได้อย่างไร้ขอบเขตเวลาและสถานที่ แม้จะมีระบบติดตั้งความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว แต่ผู้คนจำนวนมากก็หลงลืมการสร้างเขตแดนจำกัดพื้นที่ชีวิตของตน หลายคนถูก “หลงไหล/ติดตาม/เฝ้าดู” อย่างใกล้ชิดจากคนแปลกหน้าที่เข้ามาเป็นเพื่อน และชีวิตของเราก็ถูกคนทั้งโลกจับตามองอยู่ตลอดเวลา

    การสอดส่อง ติดตาม (stalker) หรือการเข้าไปก้าวล่วงชีวิตของผู้อื่น นั่นแสดงว่าคุณมีปัญหาสุขภาพจิตอย่างหนัก เพราะคุณเริ่มแยกไม่ออกระหว่าง พื้นที่สาธารณะ และความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น และนั่นอาจทำให้คุณรู้สึก “ย่ามใจและมีอำนาจเหนือชีวิตของผู้อื่น” และก้าวไปสู่ปัญหาความสัมพันธ์ในโลกจริงกับเขาที่คุณชื่นชอบ


    (5) “เปิดเผยตนเองมากขึ้น-กันเองมากขึ้น”

    ในที่นี้หมายถึง เป็นกันเองมากขึ้นกับทุกๆ คน เฟซบุ๊คมีระดับความเป็นเพื่อนมากมาย แต่ทุกคนก็หลงลืมระยะห่างทางกายภาพในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้คนในเฟซบุ๊คใช้ภาษา หรือเข้ามาพูดจาทักทายผ่านข้อความกับบุคคลต่างๆ เสมือนเป็นเพื่อนมาอย่างยาวยาน พวกเขา “ระมัดระวังและรักษาระยะห่างน้อยลง” ความสัมพันธ์กลายเป็น “ง่ายๆ และกันเอง” นั่นทำให้ภาษาพูดและ ระดับการคุกคาม การวิพากษ์วิจารณ์มีระดับรุนแรง และนำไปสู่การพูดแบบไม่ใส่ใจเขาใจเรามากขึ้น

    ผู้คนในเฟซบุ๊คใช้ถ้อยคำภาษาที่กันเองมากขึ้น พวกเขาไม่รู้สึกแปลกที่จะบอกเล่าเรื่องราวความคิดความรู้สึกของตนเองกับคนแปลกหน้า

    และนั่นนำมาสู่ การเปิดรับ รู้จักคนแปลกหน้ามากขึ้น และกับดักของอาชญากรในเฟซบุ๊คที่พวกเขามักใช้ คือ ถ้อยคำที่สุภาพ ท่าทางที่ดูคบได้ ไว้ใจได้ และการสร้างความไว้วางใจที่มาจากบทสนทนาที่ดูเป็นกันเอง


    (6) “จมทุกข์แบกโลกซึมเศร้า”

    มีหลายคนที่ในชีวิติจริงพวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาจึงแบกโลกที่พวกเขาอยู่มาสถิตไว้ในเฟซบุ๊ค กลายเป็นแหล่งระบายอารมณ์ จมทุกข์ โศกเศร้ามากขึ้น การระบายอารมณ์ หรือแสดงความรู้สึกผิดหวังเสียใจนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่คุณอาจพบว่ามีเพื่อนบางคนที่มักจะอยู่ในอารมณ์เศร้าตลอดเวลา นั่นแสดงว่าเขาไม่สามารถหลุดพ้นก้าวข้าวสภาวะนั้นได้ และ จะกลายเป็นคนที่มีภาวะซึมเศร้าแบบออนไลน์ตลอดเวลา และคนอื่นๆ ก็จะพากันเบื่อหน่ายหรือรังเกียจพกเขา แทนที่จะเข้าใจและช่วยรักษาพวกเขา


    (7) “หลงใหลยึดติดแบบอย่างชีวิตของผู้อื่น”

    เฟซบุ๊คเป็นสังคมเสมือนจริง แต่ไม่ใช่โลกจริง เป็นที่ที่ผู้คนดี เลว รวย จนมาสื่อสารร่วมกัน คนธรรมดา ดารา คนดัง มาใช้ชีวิตร่วมกันในโลกออนไลน์ ผู้คนส่วนมากที่ติดเฟซบุ๊คจะแยกแยะไม่ออกระหว่างชีวิตจริง โลกจริง พวกเขาเริ่มรู้สึกยึดติด ติดตาม ผูกพันกับชีวิตของคนอื่นๆ มากขึ้น กลายเป็นว่า พวกเขาจะใช้ชีวิตของตนเองด้วยการยึดเอาชีวิตของคนอื่นเป็นแนวทาง ที่พักพิงใจ และเริ่มสนใจชีวิตตนเองน้อยลง

    คนที่หลงใหลในชีวิตผู้อื่น จะสูญเสียความภูมิใจในตนเอง มากไปกว่านั้น คือ เฝ้ารอ เฝ้าคอยที่จะติดต่อติดตามสื่อสารกับผู้อื่น คนที่เขานับถือเป็นแบบอย่างตลอดเวลา เขาจะไม่สนใจชีวิตของตนเองอีกต่อไป!

    ร้ายกว่านั้นคือ เขาอนุญาตให้ชีวิตคนอื่นเข้ามาควบคุมบงการชีวิตของเขาเอง
    ร้ายที่สุด คือ สับสนในโลกจริง โลกเสมือน และไปใช้ชีวิตของตนเองในชีวิตเฟซบุ๊คของคนอื่น!

    จะเห็นว่า เฟซบุ๊คนั้น มิใช่เชื้อโรคหรือไวรัส แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่บ่มเพาะ ผลิต และเผยแพร่โรค อันเกิดมาจากผู้คนที่มาใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมเสมือนจริง ผู้คนต่างๆ เข้ามาเสพติดมันและเปลี่ยนนิสัยตนเอง หรือย้ำสร้างนิสัยเดินตนเองให้มีความรุนแรงมากขึ้น

    พลังของเฟซบุ๊ค ที่ให้การสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ สภาวะไร้ขอบเขตเวลาพรมแดน และการปลดปล่อยตัว ซ่อนเร้นตนเองจากชีวิตจริง นั่นทำให้ต่างคนต่างแพร่กระจายโรคออนไลน์ได้ง่ายขึ้น หากเราใช้สื่ออย่างรู้ตระหนักเท่าทันสภาวะจิตใจตนเอง เท่าทันอารมณ์ และรู้ทันความโลกเสมือนจริงนี้ เราก็จะมีภูมิคุ้มกันสื่อและใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข!
    ============
    ธาม เชื้อสถาปนศิริ

    อ่านเพิ่มเติม
    The five types of people you can't escape on Facebook
    Are You a Facebook Addict? - MYOspace
    Humor: The Six Most Common Personality Types on Facebook
    Humor: The Six Most Common Personality Types on Facebook | Vanity Fair
    How to Handle the 10 Annoying Facebook Personalities
    How to Handle the 10 Annoying Facebook Personalities | Teen Opinion Essay on facebook
     
  9. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ธรรมแท้ย่อมเกิดจากใจตน เพราะเมื่อถึงคราวคับขันธ์
    เสมือนคนว่ายน้ำไม่เป็น พอตกน้ำ ใยแมงมุงก็ยังว่าเป็นเชือก คว้าน้ำเหลว

    เพราะหากก็อปเขามา แต่ขาดเครดิต ว่าเป็นตน
     
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    การศึกษาธรรม ด้วยการอ่าน การฟัง
    สิ่งที่ได้ ก็คือ "สัญญา" (ความจำ)
    การศึกษาธรรม ด้วยการลงมือปฏิบัติ
    สิ่งที่เป็นผล ของการปฏิบัติ คือ "ภูมิธรรม"


    (พระธรรมคำสอน…หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    .."ทุกข์อันไม่น่ายินดี ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
    โดยความเป็นของน่ายินดี"

    "ทุกข์อันไม่น่ารัก ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
    โดยความเป็นของน่ารัก"

    "ทุกข์ ย่อมครอบงำบุคคลผู้ประมาท
    โดยความเป็นสุขฯ"

    พุทธพจน์..
     
  12. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ธรรมะ คือ ธรรมดาสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    เห็นเกิด เห็นดับอยู่
    ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
    บุคคลนั้นจึงชื่อว่า
    เป็นผู้ไม่ประมาท

    หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป
     
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    Herbale

    " ขมิ้นชัน " พระเอกตัวจริงของสมุนไพรไทย

    ในหลายๆปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาที่ ดิอโรคยา มักมีโรคและอาการที่แตกต่างกันไปตามพฤติกรรมวิถีชีวิตที่เลือกกันเอง แต่สาเหตุที่เป็นจุดเริ่มต้นของการป่วยด้วยโรคต่างๆ มักพบว่ามาจาก " กระเพาะอาหาร " แทบจะ 90% !!

    โรคกระเพาะ ตามความเข้าใจของคนทั่วไปแล้ว คืออาการเจ็บท้อง ปวดท้อง หรือมีแผลในกระเพาะอาหาร แต่สำหรับแพทย์ตะวันออก หมายความถึงการที่กระเพาะอาหาร ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ระบบการย่อยอาหารไม่ดี ทำให้มีลม และแก๊สในกระเพาะอาหารมาก ซึ่ง " ลม " คือผู้ร้ายตัวฉกาจของสุขภาพ คอยสร้างปัญหาขัดขวางทางเดินของเลือดและลมปราณ จนทำให้ร่างกายเกิดสภาวะเสียสมดุล คือสารอาหารที่ดีดูดซึมนำไปใช้ไม่ได้ ของเสียสะสมอัดแน่นเพราะลมขวางทางเดินเส้นลมปราณจนอวัยวะหย่อนพิการ ลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โต ทั้งโรคหัวใจ ความดันสูง เบาหวาน ไมเกรน หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็ง ดังนั้นถ้าจะแก้ให้ถูกจุด ต้องเริ่มแก้ที่ กระเพาะอาหารเป็นอันดับแรก

    ในเมื่อปัญหาของสุขภาพ มีสาเหตุมาจากกระเพาะอาหาร ย่อยอาหารได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นสมุนไพรที่สามารถแก้ปัญหา ที่กระเพาะอาหารได้ในที่นี้ จึงต้องขอยกให้ " ขมิ้นชัน " เป็นพระเอกตัวจริงของสมุนไพรไทยเลยครับ

    ขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้

    - ขมิ้นชัน มี วิตามิน เอ,วิตามิน ซี,วิตามิน อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลด ไขมันในตับ - สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร - ช่วยย่อยอาหาร - ทำความสะอาดให้สำไส้ - เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ - ต้านอุนมูลอิสระ ปัองกันการเกิดมะเร็งตับ - สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง - กำจัดเชื้อราที่ป่นเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง - ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

    - การใช้ขมิ้นชันเป็นยาทาภายนอก เพื่อรักษาอาการแพ้ แก้อักเสบ ผื่นแดง แมลงสัตว์กัดต่อย ให้นำเหง้าขมิ้นยาวประมาณ 2 นิ้ว มาฝนกับน้ำต้มสุก แล้วทาในบริเวณที่เป็น วันละ 3 ครั้ง หรือจะใช้ผงขมิ้นโรยทาบริเวณที่มีอาการผื่นคันจากแมลงสัตว์กัดต่อยก็ช่วยได้เช่นกัน

    - การใช้ขมิ้นชันเพื่อความสวยความงาม เพราะขมิ้นจะช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวลผ่องใสขึ้น แถมยังมีสรรพคุณป้องกันการงอกของขน ทำให้ผิวพรรณดูเกลี้ยงเกลาละเอียด

    สูตรพอกผิวด้วยขมิ้น
    ให้นำขมิ้นสดเล็กน้อยมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปปั่นรวมกับดินสอพอง 2-3 เม็ด ผสมกับน้ำมะนาว 1 ผล ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทันที่ที่ใช้จะรู้สึกได้เลยว่า ใบหน้าเต่งตึงขึ้น และถ้าใครทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง รับรองว่า ผิวหน้าจะสดใส ดูดีขึ้นแน่นอน

    และนี่ก็คือสรรพคุณของขมิ้นชัน ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรอีกหนึ่งชนิด ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเลยทีเดียว ยังไงอย่าลืมมีติดบ้านไว้เป็น อาหารสามัญประจำบ้านนะครับ

    --------------------------------------------------------
    เพิ่มเติม
    ขมิ้นชันแคปซูล (ดิอโรคยา) หรือ ยาโรคกระเพาะ ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย โดยเสริมประสิทธิภาพด้วยการเข้าสูตรสมุนไพรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อย และ กำจัดลม ประกอบไปด้วย

    - ขมิ้นชัน สรรพคุณ ช่วยลด ไขมันในตับ ,สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร ,ช่วยย่อยอาหาร ,ลดกรดไหลย้อน ,ทำความสะอาดให้สำไส้ ,ต้านอุนมูลอิสระ ,ปัองกันการเกิดมะเร็งตับ
    - ขิง สรรพคุณ ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด
    - โกฐเขมา *** สรรพคุณ เสริมระบบการย่อยอาหาร สรรพคุณแก้ความชื้นกระทบส่วนกลาง(จุกเสียด อึดอัดลิ้นปี่ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย)และมีฤทธิ์ขับลม และความชื้น แก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อ

    http://www.facebook.com/photo.php?f...292102.-2207520000.1368037132.&type=3&theater

    วิธีการรับประทาน : ก่อนอาหาร 20 นาที
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    อ่านพบ ประทับใจและเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับท่านผู้อื่นด้วยค่ะ
    ก็เลยสำเนามาวางไว้ ดีกว่าเกิดประโยชน์แก่ตนแต่ผู้เดียว

    ความรู้ที่เกิดจากการฟัง การอ่านและการคิดพิจารณา
    แม้อาจไม่สู้ธรรมแท้อันเกิดจากใจตน
    ก็ยังดีกว่าบุคคลผู้ว่างเปล่า
    ดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงยังฟัง อ่าน ธรรมจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    และท่านผู้รู้ผู้เป็นนักปราชญ์ด้วยความเคารพ


    หากท่านผู้ประเสริฐมีธรรมแท้อันเกิดจากใจตน
    ก็ได้โปรดนำมาเป็นธรรมทานแก่ผู้ยากด้วยเถิด
    จักเกิดกุศลใหญ่หลวงนัก


    จึงขอเรียนให้ท่านผู้ประเสริฐทราบตามนี้ค่ะ.

     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    - ข้อควรระวังในการใช้และกินขมิ้นชัน น้ำมันที่สกัดจากเหง้าขมิ้นแห้ง คือ ไม่ควรกิน เป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด สตรีมีครรภ์อ่อน ๆ ไม่ควรกินขมิ้นชันในปริมาณมาก อาจจะทำให้แท้งได้ หากกินขมิ้นชันแล้วเกิดอาการแพ้ เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดหัว ควรหยุดรับประทานทันที การกินขมิ้นชัน จะต้องกินเป็นเวลา
     
  16. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    สาเหตุที่ต้องใช้น้ำ  ธูป เทียน เพราะว่าคนเรายังยึดติดในรูปธรรม จะต้องเป็นสิ่งที่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าและจับต้องได้ ส่วนบุญกุศลที่เป็นนามธรรมนั้นเป็นสิ่ง ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และจับต้องไม่ได้  จะสามารถรู้ได้ก็ด้วยการใช้จิตที่มีพลังสัมผัส กับกระแสบุญที่ให้ และที่รับ ได้ทั้งสองทาง สำหรับคนที่ฝึกจิตใว้ดีแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำ ธูป เทียน อีกต่อไป ครับ
      
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04700.JPG
      DSC04700.JPG
      ขนาดไฟล์:
      467.4 KB
      เปิดดู:
      29
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2013
  17. บุษบรรณ

    บุษบรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2,212
    ค่าพลัง:
    +8,603
    ถามต่อนะคะอย่างตัวเราคนธรรมดาที่ไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ จะกรวดน้ำโดยอธิษฐานจิตอย่างเดียวไม่ใช้น้ำได้หรือไม่คะ
     
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    สาธุค่ะท่านอาจารย์
    ติงรับได้ทั้งสองแบบค่ะ
    แต่ปกติแล้วไม่ใช้น้ำ...รู้สึกว่าใช้จิตอย่างเดียวจะนิ่งกว่าค่ะ
    ถ้าอยู่กับญาติ จะใช้น้ำเป็นสื่อเพื่อความสุขใจของญาติ
    หรือถ้ามีคนหาน้ำให้ก็ยินดีรับค่ะ
     
  19. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ย่อมจะทำได้ครับ โดยวิธีการตั้งสำรวมจิตที่เป็นบุญกุศลและความปราถนาดี
    เจาะจงไปให้เฉพาะส่วนที่เราต้องการจะให้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06288.JPG
      DSC06288.JPG
      ขนาดไฟล์:
      550.6 KB
      เปิดดู:
      21
  20. Piyarat Gehrke

    Piyarat Gehrke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    6,387
    ค่าพลัง:
    +9,854
    เอาเพลงมาแบ่งให้เพื่อนๆ ฟังค่ะ
    คิดถึงทุกคนนะค๊ะ จุ๊บ จุ๊บ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=7uHvGtoDOfk]Ronan Keating - This I Promise You - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...