วิญญาณกสิณ คืออะไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นะมัตถุ โพธิยา, 14 ธันวาคม 2014.

  1. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    พุฟฟฟฟฟฟ์


    พระสูตรนี้ ขอยกมา กระตุ้น ต่อมอยาก ธรรมทั้งหลายมี ฉันทะเป็นรากเง้า
    แก่ บุคคลที่ สัมผัส " เชื้อธาตุที่เบา " ได้ ดูว่า ทำอย่างไรต่อ ถึงจะคลุกคลิกๆ
    ชิมรสชาติ ตลอดเวลาที่ " ยิ๊บๆ แย๊บๆ "

    ก็ลองพินาเอา ตามกำลัง .........แบบว่า ไม่ใช่ เอาเรื่อง "ละเมอ" มาเล่า




    ปล. พระสูตรนี้ จะเป็นเนื้อหา รวบยอด การฝึกก่อนการตรัสรู้ หรือไม่ พินา เชื่อมเอาหน่าคร้าบ

    แล้ว ดูกันดีๆหน่าคร้าบว่า รูป หรือ อรูป ฮิววววววววววววววววววววววววววววส์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2014
  2. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ศึกษาธรรมะ หากใช้วิธี ตรรกะศาตร์ พิสูจน์ แบบประพจน์ กำจัดความ
    แบบ ถ้า พ้นรูป คือ อรูป แล้ว อรูปบางแห่งดันมี มหาภูตรูป ไปได้ จะเป็นยังไง

    เอา ตรรกศาตร์ วิธี " ปักใจเชื่อ (บาลี นิกันติ )" ตายน้ำตื้นกับ วิปัสนูปกิเลส เอาดื้อๆ


    โน้นไป โน้น ไปท่อง 108จบ บรรลุ อรูป แต่ไปนั่งกลัว " เสียงมดตด " เขื่อนแตก เป็นพยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2014
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทีนี้ สมมตินะสมมติ

    สมมติว่า ใครบางคน เกิดมา ระลึกได้ใน " สัญญาในรูป " อันเป็นไฟฟืน
    ดวงกลมกลืน harmony แนบซ้ายขวาไม่แยก แบบว่า ใจไม่กระเพื่อม
    กับการเห็น มีใจเป็นกลางต่อการเห็นสัญญา ...

    พึงทราบว่า ไม่ใช่ต้องไประลึก สัญญาในรูปเหล่านั้น แต่ถ่ายเดียว

    สังเกตดีๆ ตอนที จิตเกิดผัสสะอันเป็นภายใน จำเดิมว่าเคยเห็นพวงดอกไม้สีแดงแรงฤทธิ์

    ให้สังเกตุ สุขสัญญา และ ลหุสัญญา ที่เป็น ผลานิสงค์ ของการปรากฏ ว่ามีในจิต
    หรือไม่มีในจิต ขณะที่จิต กระทบ เป็นพื้นจิต แต่ไม่ห่างจากจิต

    ถ้ามีในจิต ไม่จำเป็นต้องไป แกว่ง ตั้งอารมณ์เพื่อแนบกับ พวกดอกไม้สีแดง เพื่อล่อ เจ้า......

    แต่สามารถ ลอยละลิ่ว ปลิวลม บืนถลาๆ เล่น กับ ลหุสัญญา สุขสัญญา นั้นขึ้นมาเป็น
    อารมณ์ได้

    แล้วอย่า ส่งออกเกินไป จนโดน สิบล้อเอาไปกิน

    อย่าส่งในเกินไป จนไม่เห็นกิเลส ไม่ได้ฝึกเพ่ง(อุเบกขา)ต่อการเห็น กิเลส

    อย่าส่งในเกินไป จนไม่เห็นกิเลส ไม่ได้ฝึก "รื้อค้น(อิกฺขํ -- อุเบกขา นั่นแหละ )" ต่อการเห็น กิเลส

    เห็นกิเลสด้วยใจเป็นกลาง เห็นสาสวะด้วยใจเป็นกลาง เห็นอาสวะด้วยใจเป็นกลาง มันก็คือ
    การเห็น กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม นั่นแหละ หนา

    หลังจากนั้น รจนาจะโยนพวงมาลัยอย่างไร ก็แล้วแต่ วาสนา สาวจันทร์นั่งซึม ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้


    ปล. อย่าลืมนะ ข้อความใดๆ มักมีการซ่อน ผู้เป็น บัณฑิตมีการฝึกฝน จะ รู้ได้ถึง สิ่งที่เว้น

    ถ้าฟังธรรม เพื่อการ ก๊อปปี้ รับรองเลย ตายฮา ไม่รู้ตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2014
  4. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    ไอ้ มหาภูตรูป. นี้คืออาไรรึครับ

    ศึกษาไว้ประกอบความรู้ครับ
     
  5. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    มหาภูตรูปสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
    และเพราะเหตุของมหาภูตรูปมีอยู่ จึงเป็นที่ตั้งของอุปาทายรูปสี่ คือรูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด คือ สี กลิ่น รส โอชา

    รูปกาย รูปขันธ์ หรือรูปธรรมนั้น เวลาเกิดไม่ได้เกิดเพียงรูปเดียว แต่เกิดเป็นกลุ่ม ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดจากสมุฏฐานใด กลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดจะมีรูปรวมกัน ๘ รูป ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๔
    สำหรับกลุ่มของรูปที่มีเสียงเกิดร่วมด้วยนั้น จะมีรูปรวมกันเกิน ๘ รูปเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน ก็มี เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน ก็มี ซึ่งจะต้องมีเสียงเกิดร่วมด้วย เสียงก็เกิดพร้อมกับมหาภูตรูป นั่นเอง

    รูปกายเทวดาละเอียดกว่ารูปกายมนุษย์
    ความเกิดขึ้นเทวดา ซึ่งเป็นโอปปาติกกำเนิดเกิดโตทันที มีรูปธรรมซึ่งเกิดเพราะ
    กรรมเป็นปัจจัย เกิดทันที ๗ กลาปะหรือ ๗ กลุ่ม ได้แก่ หทยทสกกลาป ๑ กายทสก
    กลาป ๑ ภาวทสกกลาป ๑ จักขุทสกกลาป ๑ โสตทสกกลาป ๑ ฆานทสกกลาป ๑
    ชิวหาทสกกลาป ๑ ซึ่งเมื่อประมวลแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากรูปธรรม มีธาตุดิน ธาตุน้ำ
    ธาตุไฟ ธาตุลม พร้อมกับรูปอื่น ๆ ด้วย เป็นต้น

    ส่วนพรหม นั้นเป็นพวกเจริญรูปฌาน ไปเกิดเป็นพรหม ก็ยังมีรูปอยู่เช่นกัน แต่ก็คงมีรูปที่ละเอียดกว่าเทวดามากๆ..

    มหาภูตรูป

    ก่อนการตรัสรู้
    พระมหาบุรุษเสด็จจาริกไปสู่สำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร ขอพำนักศึกษาวิชาและข้อปฏิบัติอยู่ ทรงศึกษาอยู่ไม่นาน ก็ได้สำเร็จสมาบัติ 7 คือ รูปฌาน4 อรูปฌาน3 สิ้นความรู้ของอาฬารดาบส จึงได้อำลา..ไปสู่สำนักอุทกดาบส รามบุตร ทรงศึกษาได้อรูปฌาน4 ครบสมาบัติ8 สิ้นความรู้ของอุทกดาบส ครั้นทรงไตร่ถามถึงธรรมวิเศษขึ้นไป อุทกดาบสก็ไม่สามารถจะบอกได้ แต่พระมหาบุรุษทรงเห็นว่า ธรรมเหล่านี้มิใช่ทางตรัสรู้

    หลังตรัสรู้ ไม่ทราบว่าฤทธิ์ของพระพุทธองค์มากขึ้น(กว่าที่มี)หรือเปล่า
    แต่ทรงไปพรหมโลก ด้วยกายหยาบของมนุษย์ได้
    แม้พรหมโลก จะเป็นดินแดนของกายละเอียด คือยังมีรูปแต่ก็คงละเอียดกว่าเทวดาอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2014
  6. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269
    วิญญาณกสิณ สามารถทำให้เกิดตาทิพย์ อย่างกสิณแสงสว่าง/กสิณสีขาว/อากาศกสิณ ได้ไหมครับ ?
     
  7. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ขออนุญาต แสดงความเห็นตามที่ได้ปฏิบัติมาบ้าง
    หากผิดพลาดประการใด ขออภัย เพราะภูมิรู้อาจจะไม่แตกฉานที่จะขยายความ ธรรมของพระศาสดาได้
    จขกท ถามว่า วิญญาณกสิน นั้นเป็นอย่างไร
    ตอบว่า ถ้าจะพิจารณา กสิน ทั้งหลายนั้นจะมีลักษณะหยาบไปสู่ละเอียด คือ ธาตุ 4 หยาบที่สุด ตามด้วยสีต่างๆ ตามด้วยสีขาว ตามด้วยอากาศซึ่งไม่มีสภาวะ สี และสัณฐาน เป็นเพียงความว่างไป และ สุดท้าย ทรงวางกสิณไว้ที่วิญญาณ ซึ่งเป็นส่วนละเอียดที่สุด
    จึงเป็นเรื่องของการวางจิตเอาไว้ที่ ตัวรู้ ซึ่งตัวรู้นี้จะอยู่กลางอก ไม่บัญญัติไว้ว่า มีสัญฐาน สีสัน หรือลักษณะอย่างไร จิตเมื่อหดกลับจะไปรู้อยู่ตรงนั้น
    ผิดพลาดอย่างไรต้องขออภัยครับ
     
  8. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269

    ดีใจมากๆ...ที่มีท่านที่ได้เคยปฏิบัติมา...แล้วนำมาอธิบายให้ฟัง

    เป็นคำตอบของกระทู้นี้...ที่ชัดเจนดีมาก...และยอดเยี่ยมมากๆ ครับ


    ขออนุโมทนาบุญด้วย ครับ


    :cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2014
  9. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    แหม..พวกวิชาการเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องซะด้วย
    เอาภาคปฏิบัติมายกตัวอย่างให้ดูดีกว่า
    ว่าแล้วแบบนี้ เรียกกสิณวิญญานรึเปล่าครับ
    หรือว่าเป็นแค่การสื่อสารวิญญาน
    หรือแค่บังเอิญ หรือว่าคิดไปเอง
    จากกระทู้ นักรบแสงน่ะครับ ตัดมาหน่อยนึงนะ ว่า

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2.306574/page-26#post9411695


    ก็ช่วยพิจารณาหน่อยนะครับ ว่าทำแบบนี้เรียกว่าอะไร
    เราก็ไม่ทราบ ไม่ได้เรียนมา หูก็ไม่ได้ยิน ตาก็ไม่เห็น
    แต่ทำไมเข้าใจได้ เป็นตุเป็นตะเลย
    โมเมมั่วไปเองรึ ก็ไม่น่าจะใช่ มันสมจริงจังเลย

    พักหลังนี้ชักเป็นบ่อยซะด้วยสิ เหมือนกับมันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดเลยล่ะครับ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ดีละ ดีละ

    พึงสังเกต อรรถสาระที่คุณ ยกไว้ว่า จิตไม่มีสัณฐาน สีสัน ....( เพิ่ม ไม่มีอาการมา ไม่มีอาการไป ด้วย จะแม่นขึ้น )

    สังเกตทำไม เพราะอะไรที่ กลางอกเนี่ยะ ไม่ใช่จิต

    ดังนั้น ถ้ามันมารู้แช่ที่กลางอก ยิ๊บๆ แย๊บๆ เหมือนมีตัวรู้เด่นอยู่ หรือ บางที่
    ก็อาจจะเห้นอนิจจัง อนัตตาที่กลางอก ต้องอย่าเผลอ สำคัญว่า นั่นจิต

    การที่ มีอาการงอกลับไปรู้กลางอก เราจะเรียกว่า จิตมันงอ จิตมันโค้ง

    ดังนั้น หากยังเห็น ยิ๊บๆ แย๊บๆ แล้ว จงใจจ้อง ประครองไว้ จะไม่ใช่การรู้ที่จริง
    จะมีการสร้างขึ้นเจืออยู่ และ จะไม่เรียกว่า เห็นตามความเป็นจริง

    แต่โดยมาก พระท่าน ใครเห็นตรงนี้ได้ ก็เริ่มไล่เข้าป่า แล้ว

    แต่ถ้าไม่มีเวลาเข้าป่า ก็พึงวิจัยต่อ

    นะ ถ้ารู้ห่างๆ ไม่ประครองเกินไป ไม่หดในภายใน สังเกตเลย จิตจะกว้างกว่า
    ปิติ5 จะปรากฏให้ระลึกได้บ่อยกว่า และ จะยังคงเบา ไม่เกิดน้ำหนัก

    ปิติ5 ที่ให้ผล ไม่เกิดน้ำหนัก จะเป็น ปิติ5 ที่ไม่เป็นอามิส ..ซึ่งตรงนี้หาก
    ปล่อยเลยไปนิด ก็จะหายไปเลย ปล่อยเกินไปก็ไม่ได้อีก [ ต้องมีศิลป มีการบริหาร เป็น ]

    กว่าจะพอดี ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ มันจะแฉลบไปไหน ...ยังไงก็เป็น กุศล
    ไม่ว่ากัน

    ***************

    แล้วตรงกลางอก ยิ๊บๆ แย็บๆ คืออะไร


    สังเกตนะ ระหว่างผัสสะ กับ วิตก จะมี เจตนา แทรก เจืออยู่ ตรงนี้แหละ น้ำหนักที่เกิด
    ทีนี้ มันห้ามไม่ได้ ถ้าไป เจตนาซ้อนเจตนา ตรงนี้ จะเหมือนคน วิงเวียน เมามึน ได้

    ถ้า จงใจข้างหนีตัวนี้ จะเผลอ หลับ ภาวนาไป นิ่งไป หลับเลย [ จิตมีกำลังเห็นเป็นทุกขัง ปัญญายังไม่พอ ]

    อย่าหนี และ อย่าจงใจเพิ่ม .........ให้ ฟาดด้วย อนิจจัง หรือ อนัตตา ถึงจะอยู่

    พอฟาดได้ จะเห็นได้บ่อยขึ้น ชำนาญขึ้น ชำนาญมากๆ ก็ หน่วงเป็นสัญญามา
    อุเบกขาเพ่งจ้องเป็น วิหารธรรม ได้................ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้อง
    ปีนขึ้นมา

    เห็น ยิ๊บๆ แย๊บๆ เอาแค่นั้นก็ได้ เขาว่า " หลวงตาท่านว่า โอ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2014
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    วิญญาณ ในทางธรรม ไม่ได้หมายถึง สัตว์ สัมภเวสี โอปาติกะ

    วิญญาณ ในทางธรรม คือ สิ่งๆหนึ่ง ที่เกิดจาก การมี สังขาร เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
    ถ้า สังขารไม่มี วิญญาณก็ตั้งขึ้นไม่ได้

    แล้ว สังขารจะไม่มีได้อย่างไร ก็ต้อง ไม่มี อวิชชา

    มีการ " ยิ๊บๆ แย๊บๆ " ที่ไม่คว้ามาสำคัญผิด

    มีการ " ยิ๊บๆ แย๊บๆ " ที่อยู่ท่ามกลางอก แต่ไม่ยึดแขนไปฉวย หรือ จมไปกับมัน(เกิดภวังค์ แล้ว ขึ้นวิถีจิตผิดไปข้างโน้น)

    ถ้า ยิ๊บๆ แย๊บๆ หาย .....เอ่อ โหล้ยโถ้ย เช็คศีล หิริ โอตัปปะ เข้ามาใหม่ เด้อ อย่าหายนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2014
  12. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    สิ่งที่เห็นนี้ วิญญานของเรา รึเปล่าครับ

    แล้วสิ่งที่เห็นนี้เกี่ยวกับอารมณ์เราด้วยใหมครับ
     
  13. bschaisiri

    bschaisiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +106
    ท่านครับคำว่า. วิหารธรรม. และวิหารจิต

    ไว้ใช้ทำอะไรคับ
     
  14. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269
    วิญญาญกสิณเลิศกว่ากสิณกองอื่น​


     
  15. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๒๑.๐๘

    เย้..ไชโย้ บอลล์ไทยแพ้ แต่ทีมไทยชนะ ๕๕๕

    แล้วตกลงจะมีใครตอบคำถามเราได้บ้างไม๊เอ่ย
    โหลๆ ท่านนพอยู่ไหน ทราบแล้วเปลี่ยน
    ช่วยตอบที แถวนี้ไม่มีใครแจ๋วเท่าแล้ว โหลๆ อยู่ไหนหว่า ๕๕๕


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    จิตทำงานเมื่อเห็นเส้นสายหรือเมื่อเห็นแสง..
    จิตจะถึงโหมดวิญญานได้ต้องก้าวข้ามการปรุงแต่งต่าง
    ที่ยังเห็นเป็นรูปร่างที่ทำให้เราเรียกได้ครับ...
    จิตจะเกิดกำลังจิตได้ต้องเกิดจากการฝึกออกกำลังกายให้กับตัวจิต
    ด้วยการให้จิตสร้างภาพขึ้นมาและเล่นกับภาพนั้นในกำลังสมาธิระดับสูงร่วมด้วยครับ..
    เพราะในสภาวะปกติแบบลืมตาทั่วไป หากจิตเรามีความคุ้นเคยจะสามารถเห็นเส้นสาย
    เห็นภาพเห็นแสงได้..แต่ในกำลังระดับนี้ยังไม่ใช่เพราะว่าจิตมีกำลังจิตเป็นสภาวะที่
    จิตมีความเป็นทิพย์เล็กๆน้อยๆ.ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดไต่ระดับฌานได้.ขึ้นอยู่กับ
    ว่าจะถนัดหรือชอบทางด้านไหน.เช่น ทางพระในอาจารย์ในดง ทางสายผู้เป็นเลิศ
    เมืองบาดาล หรือทางสายอดีตพระสังฆราชมีชื่อ.ได้หมดครับ..

    ซึ่งการเห็นแสงได้ เห็นเส้นสายได้ เป็นเพียงพื้นฐานกำลังสมาธิในสภาวะลืมตาปกติ
    ที่ยังไม่ถึงระดับฌานที่ ๑ ครับ.
    เวลาเราฝึกในโหมดวิญญานธาตุแสงจะมาตั้งแต่ระดับฌานที่ ๑ แล้วครับ
    และสว่างโล่งแม้ว่าเราจะอยู่ที่มืดๆก็จะเหมือนสปอรต์ไลท์ส่องมาที่ตัวเราได้
    เพราะฉนั้นจึงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องแสงมาก เพราะเด่วจะทำให้ผู้ที่เคยเข้าถึง
    อาจจะเผลอคิดและหลงตัวเองหรือคิดไปเป็นอื่นได้ครับ..
    และเราจึงพบว่าแม้ว่าบุคคลใดๆก็ตามจะเห็นเส้นสายได้
    เห็นแสงได้ เห็นภาพได้ในสภาวะปกตินี้..จะพบว่าท่านจะยังไม่มีความสามารถในการ
    นำพลังงานต่างๆขึ้นมาใช้งานให้บุคคลอื่นๆสัมผัสได้ รับรู้ได้นั่นเองครับ....
    การใช้งานได้อีกอย่างนอกจากบุคคลที่เข้าถึงเรื่องพลังงานกสิณกองต่างๆได้.
    ก็คือการรวมพลังงานกสิณพวกนี้เชื่อมเข้ากับระบบพลังงานครับ..จึงพบว่า
    มีมนุษย์หลายท่านที่สามารถทำอะไรดูแล้วเหนือธรรมชาติได้ง่าย เพราะว่าจิตเดิม
    ของท่านนั้นเค้ามีคุ้นเคยมา เคยบำเพ็ญบารมีมาทางด้านพลังงานครับ
    แต่ถ้าค้นทางต้นกำเนิดดวงจิตแล้วมักจะพบว่าบุคคลกลุ่มนี้มักไม่ได้มีต้น
    กำเนิดอยู่ในไตรภพนี้ครับ...
    และการที่เราจะเข้าถึงวิญญานกสิณได้ดีที่สุดก็คือ การปฏิบัติครับ.อย่างน้อย
    ก่อนที่จะถึงได้ จิตจะตัดเรื่องการยึดติดร่างกายได้แล้วอย่างน้อยเป็นทุนครับ...
    ส่วนใครจะเข้าใจอย่างไร หรือจะตีความอย่างไร ตามประสบการณ์ของตนเอง
    ไม่ว่าจะจากการอ่านมา ได้ยินมา ได้ฟังมา หรือปฏิบัติได้บ้างบางส่วนก็เป็น
    เรื่องเฉพาะบุคคลครับ....
    ที่นี้ถ้าท่านผู้ใดอยากจะตรวจสอบตัวเองว่า ดวงจิตของเรานั้นเข้าสู่โหมดวิญญาน
    ได้แล้วหรือยัง..ในสภาวะปกติแบบลืมตาทั่วๆไปในระดับกำลังสมาธิไม่มาก
    ให้ท่านตรวจสอบความสามารถทางจิตของท่านดังต่อ
    ไปนี้ว่า ท่านสามารถทำอย่างที่จะเขียนให้อ่านเป็นข้อๆต่อ
    ไปนี้ได้เป็นปกติในชีวิตประจำวันหรือไม่ครับ...ส่วนเรื่องส่งจิต ถอดจิต
    นั้นเป็นพื้นฐานปกติบางท่านไม่ต้องก็ทำกันได้ แต่มันก็ยังไม่พ้นการปรุงแต่ง
    เพราะยังเป็นภาพได้อยู่เนื่องจากมันสร้างจากตัวสัญญาในจิตไม่ว่าจากภายนอก
    จากภายในหรือทั้งภายนอกภายในร่วมกันได้ครับ...
    ๑.ท่านสามารถเรียกพลังงานของกสิณแต่ละกองขึ้นมาไว้บนมือท่านได้หรือยังครับ
    ระดับนี้ถือว่าพื้นฐานมากๆครับ...
    ๒.ท่านเข้าใจลักษณะการหมุนของพลังงานกสิณแต่ละกองหรือไม่...
    ๓.ท่านสามารถเพิ่มขยาย พลังงานกสิณแต่ละกองได้หรือไม่..
    ๔.ท่านสามารถเชื่อม และดึง พลังงานกสิณจากภายนอกได้หรือยัง
    เช่น ดึงจากน้ำ จากไฟ จากดิน เป็นต้น...
    ๕.ท่านสามารถดึงพลังงานความร้อน จากดวงอาทิตย์ และพลังงานความเย็น
    จากดวงจันทร์ได้หรือยังครับ...
    ๖.ท่านสามารถรวมพลังงานกสิณเป็นกลุ่มๆได้หรือไม่ เช่น รวมดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
    และรวมกสิณสี เขียว แดง เหลือง เป็นต้น..
    ๗.ท่านสามารถใช้พลังงานกสิณในการดึง ดูด ส่ง เพิ่ม ไปยังวัตถุหรือสถานที่ต่างๆได้หรือยัง..
    ๘.ตัวจิตท่านมีความสามารถในการเชื่อมกระแสพลังงานกับวัตถุอื่นๆหรือไม่เช่นพระพุทธรูปต่างๆ
    ๙.ตาท่านในสภาวะปกติ.มองเห็นเส้นสายมองเห็นกระแสได้หรือยังครับ..
    ๑๐.เวลาท่านนั่งสมาธิไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา มีกระแสเป็นเส้นสายออกจากร่างกาย
    ท่านขึ้นไปเชื่อมข้างบนหรือไม่ ที่สำคัญสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าครับ..
    ๑๑.สายตาท่านดีพอหรือยัง ที่จะแยกแยะพลังงานภายนอกแบบต่างๆได้ครับ...
    ๑๒.ท่านสามารถ รวมและเพิ่มกระแสพลังงานไว้ที่ท่าน และส่งไปเพิ่มให้กับแหล่ง
    พลังงานภายนอกอื่นๆได้หรือไม่...
    ฯลฯ....
    ความจริงมีอีกเยอะครับ.ยังไม่ต้องพูดถึงการนำไปใช้งานด้านต่างๆครับ..
    .แต่เขียนเพื่อให้ท่านๆได้อ่านไว้ครับ.ว่ามันเป็นเรื่องปกติครับ.
    ถ้าตัวจิตท่านถึงโหมดวิญญานกสิณจริงๆไม่มีทางที่ท่านจะทำไม่ได้ครับ...
    และถ้าท่านทำได้อย่างที่กล่าวมาข้างต้น..ในส่วนของแดนไตรภูมิ.ถึงจะถือว่า
    ท่านพอจะมีพื้นฐานบ้าง และพอจะเรียกว่า เริ่มเดินเข้าสูโหมดวิญญานได้ครับ..
    และในโหมดท่านที่สำเร็จจิตธาตุนั้น..เพียงแค่คิดและสามารถทำให้เป็นรูปธรรม
    ขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่แบบที่สัมผัสได้ภายนอก รับรู้ได้ภายนอกจากทางกายครับ..
    ความสามารถระดับจิตธาตุยกตัวอย่างเช่น...
    เช่น ท่านที่หยิบรูปภาพจากหนังสือออกมาเป็นพระเครื่องจริงๆได้ ท่านที่ยื่นมือ
    ลงไปขวดทรายหยิบออกมาเป็นพระบูชาออกมาได้ ท่านที่โยนสิ่งของเข้ากองไฟถ้าท่านไม่
    ศรัทธาสิ่งนั้นจะไปอยู่บนหัวเตียงท่านได้เป็นต้นครับ.
    แต่เชื่อไหมครับว่า..ท่านทั้งหลายเหล่านี้เวลาสอนเรื่องสมาธิ.ท่านจะเน้นไปที่เรื่องของการ
    เจริญสติและเรื่องการเดินปัญญา สอนให้เราเป็นคนดีๆ และที่สำคัญก็คือ ท่านมีผู้เป็นเลิศ
    ทั้ง ๓ ภพเป็นที่สุดเหมือนๆกันทุกๆท่าน โดยไม่เคยแบ่งพรรค แบ่งแยก หรือแบ่งฝ่ายครับ
    .
    ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติเราควรจะวางความเห็นต่างๆส่วนตัวไว้ก่อน วางเรื่องความถือเนื้อ
    ถือตัวต่างๆของเราเอาไว้ก่อนครับ.อย่าพึ่งรีบร้อนไปตั้งแง่ อย่าขี้สงสัยมากและ
    รีบไปตัดสิน แยกแยะอะไรครับ.
    แล้วให้ไปปฏิบัติเพื่อให้ได้รู้ เพื่อให้เข้าถึง รู้แล้วก็ละ รู้แล้วก็วาง.ไม่ว่าเรื่องอะไร
    ก็ตามครับ
    ปล.ทำตัวให้เหมือนน้ำครับ อยากรู้อะไรให้ดูที่จิตตัวเองครับ..
    ท่านๆกล่าวว่าตัวจิตที่จะมีความสามารถรู้เหนือจิตอื่นๆ.
    ในทุกเรื่องๆนั้น..ควรจะต้องตัดเรื่อง
    ความต้องการการได้รับการยอมรับจากสังคมออกจากจิตให้ได้
    .ตัดเรื่องการผูกหรือสร้างเรื่องอันเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะเบาะแวงใดๆ และไม่ควร
    คลุกคลีอยู่ในที่ๆมีเสียงอึกทึกครึกโครม.ซึ่งเป็นพื้นฐานวิสัย
    ปกติของตัวจิตที่จะมีอะไรๆพิเศษครับ.
    ..
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง และเป็นความเห็นส่วนบุคคลครับ...
     
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สงสัยจังคะ สังเกตุมาหลายรอบแล้ว เวลาอ่านข้อความของท่านนิวรณ์
    ถ้าอ่านจากบนลงล่าง ต้องใช้ความพยายาม และตั้งใจแปลความหมาย
    ว่าท่านต้องการสื่อให้รู้ถึงอะไร เข้าใจยากมากเลยคะ จับต้นชนปลาย
    ไม่ค่อยถูก แต่ถ้าอ่าน จากท้ายขึ้นไปหาต้น อ่านได้ง่ายและสบายและ
    เข้าใจดีว่า หมายความว่าอย่างไร

    เหมือนกันเวลาเรียนหนังสือถ้าให้รู้เรื่องเข้าใจเลย โดยเฉพาะวิชาที่
    มีหลักสูตรต่อเนื่องจากบทแรกมาบทสุดท้าย ถ้าทำความเข้าใจตั้งแต่
    ท้ายลงไป จะเข้าใจดีกว่าคะ เป็นคนแปลกไหมคะ ใครเป็นอย่างนี้บ้าง
    ขอเจ้าของกระทู้ออกนอกเรื่องหน่อยนะคะ อาจจะเกี่ยวกับวิญญาณ(การรับรู้)
    ก็ได้คะ เพราะวิทยาศาสตร์บอกว่า ภาพที่เรามองเห็นอยู่ว่าปกตินี้
    ที่จริงเป็นภาพหัวกลับ นะคะ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่าไปสังเกต ตรงรส " ความแปลก แตกต่าง "

    ให้สังเกต วิตก3 หรือ ความสงบ ที่จิตมันเกิดการเห็น สิ่งที่สงบสงัด
    แล้ว จิตก็เกิดความพอใจ และถ้า สติ สัมปชัญญะ ยังอยู่ครบ มันจะ
    สละความพอใจนั้นออก ทั้งๆที่ มีอยู่ แต่ สละออกได้ เพราะ มีความเป็นกลาง
    ต่อความพอใจ

    ทีนี้ ถ้าจะเอาหัวมาหาง มันจะตรงข้ามกัน คือ จะไปเห็นความไม่พอใจ
    แล้ว ถ้าสติ สัมปชัญญะ ยังมี ก็จะ เห็นความไม่พอใจนั้นด้วยใจเป็นกลาง

    ให้กำหนดรู้ "ความพอใจ" "ไม่พอใจ" และ "อะ เฉยๆ" แล้ว จะเห็น
    ตัว " สมาธิธรรม "

    ถ้าเห็นตัวสมาธิธรรม เห็น กำลังจิตที่ไม่ห่าง ฌาณ หรือ เห็น ฌาณจิตแล้ว
    เสพ ค่อยปรารภว่า เป็นคนมี ปัญญา

    คนมี ปัญญา เราไม่ได้หมายเอา ความรู้เรื่องรู้ราว

    ปัญญา ธรรมนั้น เป้าหมายคือ ลงมาที่ จิต เข้ามาเห็น ฌาณ และ เสพฌาณได้

    เหมือน ท่านโปฐิละ ท่านรู้ของท่านแต่แรกว่า จิตมันขาด ฌาณ หาช่องเข้า
    ไม่ได้ พอเณรแนะนิดหน่อย ท่านก็เห็น ความสงบ ความสงัด สลัด วาง
    ที่ถูกต้อง และ " เงียบกริบ " อันเป็น หนทางที่จะนำไปสู่ ปัญญาแท้ๆ ที่ไม่
    ต้องก๊อปปี้กันถึง สี่พุทธันดร




    ปล. ถ้าอ่านโพสนี้ กลับหลัง ฮานาก้า !!!
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    วิญญาณ(การรับรู้) เพราะวิทยาศาสตร์บอกว่า ภาพที่เรามองเห็นอยู่ว่าปกตินี้
    ที่จริงเป็นภาพหัวกลับ นะคะ


    อุปมาอุปไมย การย้อนกลับ คือ การทวนกระแสอารมณ์คะ

    ย้อนกลับโดยทวนกระแสโลก ไม่ไหลไปตามกระแสโลก

    อวิชชา คือ ความไม่รู้ เป็นเบื้องต้น ต้องย้อนกลับ โดยมีวิชชา รู้ ทวนย้อน
    กลับไปหาความไม่รู้

    วิญญาณ ที่เป็นผู้รับรู้ ทวนย้อนกลับไป โดยให้รู้ก่อนจึงรับ รู้แล้วจะได้รู้ว่า
    ต้องรับอย่างไร

    ความเข้าใจนะคะ

    กสิณวิญญาณ ที่ตั้งของวิญญาณ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ทั้งสี่นี้
    เป็นที่ตั้งของวิญญาณ ท่านเรียกว่า ฐิติภูตัง ถ้าเรากำหนดรู้อารมณ์อย่างใด
    อย่างหนึ่งรวมถึงจุดตั้งมั่นอารมณ์หนึ่งเดียว เอาจิตไปรู้ไว้ตรงกลางอก (ใจ)
    แล้วแผ่ขยายไม่มีประมาณ เหลือแต่ความว่าง (อากาส) แล้วเพิกถอนจากรู้
    ความว่าง จนจิตตั้งมั่นเหลือแต่ตัวรู้เพียงหนึ่งเดียว สงบตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น
    เรียกว่า กสิณวิญญาณ หรือไม่ เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ต่างจากแนวทาง
    ที่ท่าน รโชหรณัง กล่าวไว้ก่อนข้างต้น

    อ่านพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ และผู้รู้หลาย ๆ ท่าน สรุปใจความได้อย่างนี้คะ

    วิญญาณกสิณ ประณีตกว่ากสิณอื่นทั้งหมด

    เพราะความสงบแห่งหทัย ทำให้ทรงเห็น
    1. เบื้องต้น สมุทัยสัจจ์
    1. โทษ ทุกขสัจจ์
    1. ธรรมเครื่องสลัดออก นิโรธสัจจ์
    1. มรรคญาณทัศนะ คือ มรรคสัจจ์
    ทรงกล่าวว่า บุคคลผู้รู้ชัดนี้เป็นเลิศ สัตว์ทั้งหลายผู้มีสัญญาก็มีความแปรผันไปได้
    กสิณเป็นบาท ทีพระองค์ไม่ได้หยุดที่สมาบัติ 8 พิจารณาที่กสิณตนเองได้
    กลายเป็นวิปัสสนา โน้มจิตโน้มหทัย พิจารณาความแปรปรวนไม่เที่ยงแห่งภพภูมิสัตว์
    เวียนไปเวียนมาไม่รู้จบสิ้น หาต้นเหตุแห่งปลายไม่ได้ ของการอุบัติการจุติ
    และโน้มหทัยไปเพื่ออาสวขยญาณ ญาณสิ้นไปแห่งกิเลส

    เมื่อวิญญาณกสิณเลิศที่สุด กสิณอื่นก็........

    ธรรมเกิดจากโยโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย หากไม่มีมนสิการ
    ธรรมไม่เกิด อ่านมาจากพุทธวจนคะ
     
  20. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269
    หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๘ : วิธีเพ่งกสิณ ( ๒ )
    โ ด ย : พระอริยคุณาธาร สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนกวาง

    (พระอริยคุณาธารหรือหลวงปู่เส็ง เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน รวมทั้งเป็นผู้เขียนตำราทิพยอำนาจ)

    ๙. อากาสกสิณ วงกลมอากาศ
    วิธีทำ เจาะฝาเป็นรูปกลม วัดเส้นผ่าศูนย์กลางคืบ ๔ นิ้ว หรือเจาะเสื่อลำแพนขนาดเดียวกัน
    นั้นก็ได้ เพ่งดูอากาศภายในช่องวงกลมนั้น หรือจะขดไม้เป็นวงกลมขนาดนั้นตั้งไว้บน
    ปลายหลักในที่แจ้งแล้วเพ่งดูอากาศภายในวงกลมนั้นก็ได้

    ๑๐. อาโลกกสิณ วงกลมแสงสว่าง
    วิธีทำ เจาะก้นหม้อเป็นรูกลม วัดเส้นผ่าศูนย์กลางคืบ ๔ นิ้ว ตามตะเกียงหรือเทียนไว้ภายใน
    หม้อ ให้แสงสว่างส่องออกมาตามรูที่เจาะไว้ และหันทางแสงสว่างนั้น ให้ไปปรากฏที่ฝา
    หรือกำแพง แล้วเพ่งดูแสงสว่าง ที่ส่องเป็นลำออกไปจากรูที่ไปปรากฏ ที่ฝาหรือกำแพงนั้น

    อาโลกกสิณนี้ ปรากฏในสมถกรรมฐาน ตามที่พระโบราณาจารย์ ประมวลไว้ แต่ที่ปรากฏใน พระบาลี ในพระไตรปิฎก หลายแห่งหลายที่ ข้อนี้เป็นวิญญาณกสิณ คือเพ่งวิญญาณ

    ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะ กสิณ ๑ - ๘ เป็นรูปกสิณ ส่วนกสิณ ๙ - ๑๐ เป็นอรูปกสิณ ซึ่งใช้เป็นอารมณ์ของอรูปฌาน คืออากาสานัญจายตนะ และ วิญญาณัญจายตนะ ตามลำดับกัน

    แสงสว่างน่าจะใกล้ต่อเตโช หรือมิฉะนั้นก็ใกล้ต่อวิญญาณ ซึ่งมีลักษณะสว่างเช่นเดียวกัน เมื่อเพ่งลักษณะสว่างแล้วน่าจะใกล้ต่อวิญญาณมากกว่า

    ถ้าเป็นวิญญาณกสิณ จะทำวงกลมด้วยวัตถุไม่ได้ ต้องกำหนดดวงขึ้นในใจที่เดียว ให้เป็นดวงกลมขนาดวัดเส้นผ่าศูนย์กลางคืบ ๔ นิ้ว อาโลกะ และ วิญญาณ มีลักษณะใกล้กันมาก และอำนวยผลแก่ผู้เพ่งทำนองเดียวกัน คือนำทางแห่งทิพยจักษุอย่างดีวิเศษ ผิดกันแต่ลักษณะการเพ่งเท่านั้น คือ วิญญาณกสิณ ต้องเพ่งข้างใน ไม่ใช่เพ่งข้างนอกเหมือนอาโลกกสิณ และอำนวยตาทิพย์ดีกว่าวิเศษกว่า
    อาโลกกสิณ วิธีปฏิบัติ พึงชำระตนให้สะอาดนุ่งห่มผ้าสะอาด ไปสู่ที่เงียบสงัด ปัดกวาดบริเวณให้สะอาดตั้งตั่งสูง คืบ ๔ นิ้วสำหรับนั่งอันหนึ่ง สำหรับวางวงกสิณอันหนึ่ง นั่งห่างจากวงกสิณประมาณ ๔ ศอกนั่งในท่าที่สบายวางหน้าให้ตรงทอดตาลงแลดูดวงกสิณพอสมควร แล้วหลับตานึกดูถ้ายังจำไม่ได้ ก็พึงลืมตาขึ้นดูใหม่แล้วหลับตานึกดู โดยทำนองนี้ จนกว่าจะเห็นวงกสิณในเวลาหลับตาได้ .......


    ------------------------------------------------------------------

    ขอบพระคุณที่มา
    ��Ҹ� : Dhamma Department Store : Dhammathai.org
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...