วิญญาณกสิณ คืออะไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นะมัตถุ โพธิยา, 14 ธันวาคม 2014.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปัดโถ่ คุณ เจ้าของกระทู้

    เดี๋ยวก็ ฟาดด้วยตำรา พุทธวัจนะ ที่กำลังฮิตติดบอร์ดเสียนี่

    จะยกคำสอนมาทั้งที จะยกเอาที่เป็น พระ ตลอดชีวิต ก็ไม่ได้


    อาโลกาสัญญา อาโลกากสิณ ตรงนี้มี กล่าวตรงๆเลยนะ ที่เป็น พุทธวัจนะ
    ไม่ต้องไป เอาหม้อ ที่ทำให้สึกได้ มาเจาะรู แต่ประการใด

    ก็แค่ ระลึกให้ได้ ถึงสภาพจำเดิมตอนที่แสงฉาบทา กับ ไม่มีแสงฉาบทา
    โดยที่จะต้องเป็น ภูมิทัศน โดยรอบ ณ เวลา ปัจจุบันนั้นๆ ทำบ่อยๆ ทำให้
    มากๆ ก็พอ น้อมได้ ฝึกได้ ........เล่าแค่นี้นะ ปิดศาลลลลลลล แดจาวู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2014
  2. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    นิวรณ์ ควรระลึกถึงขันธ์ [​IMG]
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า " พวกปัญญา ปะผุ ปัญญาพูดได้แบบโลกๆ
    ย่อมสวยงามต่อการประกอบขึ้นเป็นสัตว์ อยู่วันยันค่ำ "

    ปัญญา เป็นสิ่งเกิด และ ดับ
    จิต เป็รสิ่งเกิด และ ดับ

    สัตว์ย่อมไม่รู้ชัดว่า จะดับไปทำเฮียอะไร มันจะมีอะไรกับ อธิจิต อธิปัญญา
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207

    ว่ากระไรเหรอคะท่านคู่ปรับทางธรรม หรือ ท่านสหธรรมมิกดีคะ
    จิตอันยิ่ง กับ ปัญญาอันยิ่ง ย่อมมองเห็นในสิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ และ อนัตตาธรรม
    ที่ทำให้สัตว์พ้นไปจากโลก

    ด้วยกำลังจิต ด้วยกำลังปัญญา แม้อาจจะรู้เห็นเกิดสัมมาปฎิปทา หากบารมียังมีไม่ถึง
    นั้นหนา เดินทางด้วยมรรคาปฏิปทาด้วยความมั่นใจ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    ก็ถ้า ยังเป็นคนเดินทาง ก็กล่าวอย่าง คนเดินทางซี่คร้าบท่าน

    จะรีบร้อน กล่าวธรรมแบบสรุปความไปทำเฮียอะไรไม่ทราบ !!!
     
  6. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269
    คุณสมบัติของผู้แสดงธรรม       

    ผู้แสดงก่อนแสดงธรรม  พึงตั้งธรรม 5 อย่างไว้ในตน 
    แล้วจึงแสดงธรรม  คือ

    1. จักแสดงธรรมตามลำดับ  ไม่ตัดวรรคถ้อยความ
    2. จักแสดงโดยปริยาย  อ้างเหตุผลให้ผู้ฟังเข้าใจ
    3. จักอาศัยความเอ็นดูแสดงธรรม
    4. จักไม่เห็นแก่อามิส(หวังอยากได้ลาภผล)
    5. จักไม่กล่าวคำที่กระทบตนและผู้อื่น

    ที่มา : นวโกวาท (หมวดปัญจกะ)

    -----------------------------------------------------------------

    สัปปุริสธรรม ๗ อย่าง

    ธรรมของสัตบุรุษ เรียกว่า สัปปุริสธรรม มี ๗ อย่าง คือ :-

    ๑. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ
    ๒. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล
    ๓. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตนว่า
    ๔. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้ประมาณ
    ๕. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันสมควรในอันประกอบกิจนั้น ๆ.
    ๖. ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประชุมชน และกิริยาที่จะต้องประพฤติต่อประชุมชนนั้น ๆ
    ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเลือกบุคคล


    สัปปุริสธรรมอีก ๗ อย่าง

    สัตบุรุษประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ คือ

    ๑. มีศรัทธา มีความละอายต่อบาป มีความกลัวต่อบาป
    ๒. จะปรึกษาสิ่งใดกับใคร ๆ ก็ไม่ปรึกษาเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
    ๓. จะคิดสิ่งใดก็ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
    ๔. จะพูดสิ่งใดก็ไม่พูดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
    ๕. จะทำสิ่งใดก็ไม่ทำเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
    ๖. มีความเห็นชอบ มีเห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเป็นต้น.
    ๗. ให้ทานโดยเคารพ คือเอื้อเฟื้อแก่ของที่ตัวให้ และผู้รับทานนั้น

    ที่มา : นวโกวาท (หมวดสัตตกะ )
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พุทธภูมิ กระจอก ...เหตุของการเป็น พุทธภูมิ ยังมั่วซั่ว กราบไปทั่ว
    " พระในบ้าน " เหตุแท้ๆ ไม่ใช่การคิดเอา ละเมอเอา ไม่รู้จัก

    ก็เลย ยกธรรมะ สุ่มสี่ สุ่มห้า ไม่ดูตามม้า ตาเรือ

    คุณกลับไปอ่านนะ เขา ยกเราว่าเป็น " คู่ปรับทางธรรม "

    ด้วยอำนาจแห่งความพอใจ ยกเราเป็น คู่ปรับทางธรรม นั่นแปลว่า
    การใช้ถ้อยคำใดๆ นั้น ย่อมเป็นที่ ยอมรับในระดับหนึ่ง และ เขา
    ก็เริ่มทราบถึง วิธีการข้าม ได้บ้างแล้ว จึงได้ เอาคำว่า " สหธรรมิก "
    มาล่อ มาเชลีย ในลักษณะ หาพวก เข้าพวก

    แต่.....เขาไม่ทราบว่า เราจะ ยื่นอะไรไปให้เขา รับ เพื่อ รับการ เชลีย นั้น

    หากเขาทราบ ก็คงไม่เสนอคำว่า สหธรรมิก มา คงจะคงไว้แค่ " คู่ปรับ "

    ซึ่งแปลว่า พูดอะไรยังไงก็ได้ กระแทกไว้ ย่อมเป็น ฐานะ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้อ....แล้ว ตำราคำสอนของ พระอาจารย์เส็ง นั้น ให้ดี คุณอย่ายกมาสุ่มสี่สุ่มห้า

    มันเชย

    เพราะ คนที่เขาฉลาดในธรรม เขาจะทราบว่า ไม่ควรยกของท่านมา เพราะเป็น
    เรื่องของคน " แพ้ " ทั้งหมด เขาปรับว่าเป็น " คนแพ้ " เพราะ ตามตำนาน
    ท่าน สึกจากพระ ในบั้นปลาย บางกระแส ว่า ท่านไป ......ตอนอายุมาก ด้วยซ้ำ

    แต่ .........ไม่ได้ ยกขึ้นเพื่อ ปรามาสหน่าคร้าบ

    หลวงพ่อพุธ ท่าน สอนวิธีกล่าวถึง พระอาจารย์เส็ง อย่างเป็น ตัวอย่าง ของคนใฝ่ธรรมะ

    ท่านกล่าวอย่างไร ยกย่องอย่างไร เราก็กล่าวตามแบบที่ หลวงพ่อพุธ ท่านสอน
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207

    ตั้งแต่เกิดมาในชาตินี้ ไม่เคยรู้จักคำว่า เชลีย นั้นเป็นอย่างไร เพราะที่
    เป็นคนตรงมาก หากทำอะไรฝืนความรู้สึกตนเอง เท่ากับหลอกตัวเอง
    เมื่อในโลกนี้ ประกอบด้วยความไม่จริงของทุกสรรพสิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
    แล้วเรายังมาหลอกใจตัวเองอีก ชีวิตเราจะเป็นเช่นไร ที่พูดอย่างนั้น
    ก็เพราะว่าหากเราอยากได้น้ำใจจากใคร ให้เราแสดงมิตรไมตรีก่อน
    หากเราอยากให้ใครพูดดีกับ เราก็ต้องพูดดีกับเขาก่อน แต่ก็ละนะ
    สำหรับท่านแล้ว ถึงแม้คำพูดจาไม่เหมาะสม แต่ท่านไม่ได้ประสงค์ร้าย
    เลยไม่ถือสา แต่สิ่งที่ท่านอื่นยกมาแล้วแต่ท่านจะพิจารณา อยู่ที่ใจของท่านคะ

    สำหรับตัวเราเอง เรายังสังสัยตัวเองอยู่เลย คงไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดก็ได้
    ทำไปตามหน้าที่ที่มนุษย์คนนึงจะทำได้เพียงแค่นั้น คิดว่าท่านไม่น่าจะรู้ใจ
    เราได้ดีพอเท่ากับตัวเราเองหรอกเรื่องพระในบ้านนะ ทุกคนมีเหตุผลส่วนตัว
    อย่าว่าแต่ "พุทธภูมิ" เลยคะ แม้แต่คนธรรมดา ที่เป็นมนุษย์เดินดินแล้ว
    หากไร้ซึ่งความกตัญญู สัตว์เดรัจฉาน ยังดีเสียกว่า
     
  10. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ขออนุญาตเสริมให้ท่านจขกท
    ผิดถูกอย่างไรลองพิจารณานะครับ
    วิญญาณ เป็นส่วนละเอียด หากพิจารณาให้เห็นวิญญาณเกิดดับก็จะเป็นเรื่องของ ส่วนของวิปัสสนาไป จิตจะไม่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งตามวัตถุประสงค์
    การกำหนดมองวิญญาณเพื่อก่อให้เกิดสมาธิขึ้นมา จำเป็นต้องมีมหาสติปัฎฐานแก่กล้า สามารถกำหนดใจนี้ให้รู้ตั้งมั่นไว้เฉพาะ การรู้ตัวที่กลางอก วิญญาณนี้จึงยังคงสภาวะรูปอยู่ ไม่เป็นในส่วนนามไปเสียทั้งหมด
    โดยการรู้นั้นจะต้องไม่หมายมั่นไปในทางอื่นๆ แม้สัญญาที่จะกำหนดไปในเรื่องต่างๆ ทั้ง สี ขนาด สว่าง มืด ก็ต้องไม่หมายมั่น แม้ผัสสะที่เกิดก็ต้องปล่อยไปให้มีลักษณะเกิดดับ แบบไม่เป็นสาระสำคัญเพราะจิตนั้น ตั้งไว้แต่ที่การรู้ตั้งมั่น
    การกำหนดจิตให้ไม่หมายมั่นในสิ่งต่างๆ นั้นจะต้องเข้าใจสภาวะธรรม แห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามารถควบคุมกระแสจิตได้ จึงจะสามารถวางจิตได้ตรง
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ท่านคร้าบ แม้ข้อความจะมีบางส่วน พาดพิง แต่เวลา อ่าน ก็ อย่าเมาสิครับท่าน

    ใครคือ บุคคลที่ 1 บุคคลที่ 2 ที่เป็นเนื้อหาสาระแห่ง จดหมายไม่ผิดซอง หละคร้าบ

    อ่านจดหมายผิดซอง แล้ว ยังไปด่าคนอื่นเนี่ยะ หงายเงิบ เลยนะ สติ สตังค์ จะบอก
    ว่ามีเนี่ยะ ไม่มีหรอก

    มันชัดส่วนเดียวคือ จิตไหลไปคิดปั๊ป กระโดดจับ วิปลาสไปตาม สัญญาผิดซองทันที

    ภาษาปฏิบัติเนี่ยะ เขาจะทราบเลย สมาธิไม่มี ศีลก็ไม่เคยรักษา จิตมัน จึงไหลได้แม้
    กระทั่ง จกหมายผิดซอง เนี่ยะ
     
  12. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657


    พุฟฟฟฟฟฟฟ์

    กราบงามๆ ครับ ท่าน รศ.

    ไม่สนใจ ลงเล่นการเมืองน้ำดี บ้างหรือครับ !?
     
  13. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269

    -----------------------------------------------------------------

    ขอบพระคุณที่มา dharma-gateway.com
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ผิดครับ อรูปมันไม่มีรูปแล้วครับ พูดง่ายๆว่ามันทิ้งกายแล้ว
    แล้วมันจะมีอวัยวะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มารับรู้ได้อย่างไรครับ
    นึกภาพออกไหมครับ ตรรกะแบบพื้นๆ..และมันคงใช้ตาไม่ได้
    แล้วหละครับ
    ส่วนใจ ไม่ใช่ตัวรับรู้น้อยที่สุดครับ เพราะมันทิ้งร่างกาย
    มันจึงเหลือแต่ใจนั่นหละครับที่เป็นเครื่องรู้รับ..
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    วิญญานกสิณ ในทางกิริยาทางจิตและสิ่งที่มันแสดง
    คือวิญญานธาตุ เป็นโหมดอรูปฌานครับ
    เพียงแต่การไปโหมดอรูปฌานที่สามารถเข้าถึงวิญญานกสิณได้นั้น
    ปกติจะต้องผ่านกสิณกลางก่อน คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ
    เพราะถ้าจิตเราถึงโหมดวิญญานได้นั้น ทั้งความว่าง อากาศ
    และวิญญานมันจะทำงานพร้อมกันครับ..
    มันไม่ใช่กสิณที่ ๑๐ ครับมันคนละเรื่องคนละตัวกันเลยครับ..อย่ามั่ว..
    กสิณ ๑๐ นั้นคือ กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
    แสงสว่าง แดง เขียว เหลือง ขาว ครับ..
    การฝึกกสิณแรกๆจำเป็นต้องเพ่ง แต่ต่อไปไม่จำเป็นต้องเพ่ง
    เพียงแต่เรามองวัตถุ หรือ ระลึกวัตถุให้สร้างภาพ แล้วเราตามภาพ
    นั้นไปเรื่อยๆครับ..กรณีถ้าจะเพ่ง เราเพ่งในทางด้านส่งเสริมให้เกิด
    ปัญญา เช่น เพ่งไฟ ดูว่า มันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหมอย่างนี้เป็นต้น
    เพื่อให้จิตมันเห็นการเปลี่ยนแปลงหรืออารมย์ตรงนี้ครับ...
    พอเข้าใจนะครับ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    มั่วถึงมั่วที่สุดครับ...(^_^) อย่าคิดว่ากรรมฐานแบบนี้
    จะไปอ่านตำรามาแล้วนึกๆเอาแล้วก็จะมาแนะนำมาสอนไม่ได้นะครับ..
    ของคุณนอกจากปฏิบัติไม่ได้จริง ยังนอกตำรากลางไปเยอะเลยครับ
    คือหมายความว่า อ่านตำราไม่เข้าใจแล้วยังมาตีตามความเข้าใจ
    ของตนเองแบบผิดๆนั่นหละครับ เข้าใจที่พูดนะครับ

    ฝึกกสิณจริงอยู่เริ่มต้นด้วยการเพ่ง เพราะว่าพื้นฐาน
    เริ่มต้นค่อนข้างใช้สมาธิในระดับหยาบๆ บุคคลทั่วไป
    ที่ไปฝึกกสิณที่วัตถุมีแสงในตัว จึงมองว่าเป็นเรื่องง่าย
    เพราะมันส่งผลคงค้างที่ตา เช่น ไฟ แสงสว่าง ฯลฯ
    เป็นเหตุให้หลงตัวเองได้ง่าย คิดว่าภาพที่เห็นได้ค้างๆนานนั้น
    เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ความจริง กสิณไม่ว่าจะกองใดก็ตาม
    ในระดับที่ยังปรากฏเป็นภาพให้เห็นเป็นรูปร่างได้ มันเป็นกสิณโทษ
    ได้หมดครับ..โทษเพราะมันแค่ทำให้จิตสงบในเบื้องต้น
    แต่ไม่ได้มีผลเกี่ยวกับเครื่องรู้ ความสามารถทางจิตอะไรเลยครับ
    ตลอดจนทั้งกำลังจิต ความสามารถทำอะไรได้ทางพลังงานก็ไม่ได้ครับ..

    กสิณเราขึ้นต้นด้วยการเพ่งในระดับเริ่มต้น แล้วต่อมาเราค่อยหละวัตถุ
    ละให้ที่นี้ถ้าคุณหลับตาฝึกตอนแรกคุณจะมองก่อนแล้วหลับตาเพื่อให้
    ปรากฏภาพครับ ถ้าคุณลืมตาฝึกคุณมองวัตถุ คุณก็ย้ายไปมองจุดอื่นๆ
    เพื่อให้เกิดภาพขึ้นครับ....

    และเราจะรักษาภาพครับ ถ้าคุณเพ่งภาพมันจะหายไปทันที
    เราถึงต้องกลับมาระลึกรับรู้ลมหายใจเพื่อให้ภาพมันคงอยู่ครับ...
    หลังจากที่ภาพมันคงอยู่ครับ ระดับนี้เราเรียกว่า อุคหนิมิตครับ
    กำลังระดับนี้ ไม่เกินปฐมฌาน และภาพจะพอเรียกถูกว่า เป็นวงกลม
    ประมาณนี้ หลังจากนี้ จะไม่ได้เพ่งภาพต่อครับ จะไม่ได้เพ่งภาพต่อ
    อีกนะครับย้ำอีกรอบ เพราะว่า ต่อไปจิตจะพัฒนายกระดับฌานไป
    ได้ของมันเองครับ ในระดับ ฌานที่ ๒ และ ๓ ภาพมันจะหายไป
    และไปปรากฏอีกครั้ง ในระดับฌาน ๔ หยาบๆก่อนครับ
    และคุณต้องรักษาตัวจิตให้ได้ เพราะถ้าถึงระดับ ๔ จิตเรามันจะ
    ออกไปข้างนอกครับ หรือไม่เราก็จะโดนนิมิตกสินดูดเข้าไปครับ
    สรุปคือ มันเพ่งแต่ระดับเบื้องต้น และไม่มีหลักการเรื่องการเพ่ง
    ให้กสิณเท่ารูเข็มแล้วเกิดอภิญญานะครับ อย่ามั่วครับ

    และไม่มีมนุษย์ตนใดได้อภิญญาจาก การเพ่งกสิณเท่ารูเข็มหรอกครับ
    เค้ามีแต่ ตั้งกสิณไว้หน้าตัว. หนึ่งกองสำหรับต่อยอดวิชาเดินธาตุในดง
    สำหรับบุคคลที่มีสัมพันธ์กับท่านพระอาจารย์ในดงทั้งหลาย
    หรือตั้ง ๔ กองสำหรับวิชาเดินธาตุโบราณของสายผู้เป็นเลิศเมืองบาดาล
    หรือตั้งไว้ ๑๐ กองสำหรับวิชาเดินธาตุสายอดีตสมเด็จพระสังฆราชมีชื่อครับ
    ไม่ว่าจะตั้งกี่กอง เค้าจะปั่นให้รวมเป็นหนึ่ง แล้วดึงเข้ามาที่ร่างกาย
    ตามแต่หลักการของแต่ละสาย เพื่อเป็นการเริ่มต้นสำหรับต่อยอดสมาธิ
    ในระดับสูงต่อไปครับ...
    ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การเพ่งกสินให้เท่ารูเข็มแล้วมาโม้ว่าจะได้อภิญญา
    นั้นเป็นอะไรที่มั่วๆมากๆครับ
    ปล.สรุปคุณก็ยังมั่วได้อีกนะครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    นี้ก็แนะนำมั่วอีกแล้วครับ

    ถ้าคุณจะฝึกเพื่อให้เกิดปัญญาหรือฝึกเพื่อสร้างกำลังสมาธิเล็กน้อย
    ในระดับไปใช้งานในชีวิตประจำวันคุณจะฝึกกสิณอะไรก่อนก็ได้ครับ
    แต่คุณเนี่ยแนะนำอะไรก็จะได้อภิญญา เด่วก็อภิญญาโน้น อภิญญานี่
    อภิญญาจริงๆนะ แต่อ่านๆที่แนะคุณแนะนำมา ไม่มีทางได้หรอกครับ
    นอกจากอภิญญาในฝัน หรือ อภิญญาคิดเอาเอง หรือ อภิญญาหลงตัวเอง
    อย่างนี้ได้แน่นอนครับ...

    ถ้าจะฝึกกสิณให้สำเร็จ อย่างน้อยผู้ฝึกต้องพอรู้ว่าตัวเองชอบกองไหน
    หรือคนที่จะแนะนำต้องพอบอกได้ว่า ผู้ฝึกควรจะฝึกกองไหน
    และต้องดูด้วยว่า คนที่จะฝึกนั้น ฝึกแล้วจะหลงหรือไม่ด้วยครับ...

    และถ้าทั่วๆไป ถ้าเริ่มต้นฝึกกองใดกองหนึ่งแล้วแต่ไม่สำเร็จนะครับ
    จะเปลี่ยนไปลองกองโน้น กองนี้แทน ประกันได้ว่า ชาตินี้จะฝึกไม่สำเร็จ
    ซักกองครับ....
    กสิณเราฝึกได้แค่กองเดียว เด่วกองที่เหลือ เราจะทำได้เองครับ
    ทำได้ก็เพราะว่า ระดับกำลังสมาธิใช้งานบวกกับกำลังจิต
    มันอยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้น ทำได้กองเดียวกองอื่นๆก็จะสามารถทำได้

    ยกเว้นพวกที่ขึ้นด้วยกสิณไฟ หรือขึ้นด้วยกสิณกองใดกองหนึ่ง
    และไม่ผ่านบททดสอบจากภาคส่วนภพภูมิ
    จะใช้ได้แต่กสิณไฟกองเดียวหรือกสิณกองนั้นๆกองเดียว
    และมีขีดจำกัดในการใช้งาน คือ ช้า ได้ผลน้อย
    แต่ประกับได้ว่า ส่วนมาจะหลงตัวเองว่าเก่งกว่าใครครับ...


    ปล.สรุปคุณ มั่วอีกแล้วครับ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    บอกตรงๆว่า มั่วมากเลยนะครับ...
    มีหรือครับ คนที่ฝึกกสิณไม่เป็น จะสำเร็จกสิณทั้งสิบอย่าง
    เอาอะไรมาพูดครับ.ฝึกไม่เป็นมันจะฝึกสำเร็จไหมครับ.
    ไปทางอภิญญาอีกแระ เล่นฤิทธิอีกแระ
    ..ถ้าคุณไม่เลิกมั่ว
    ต่อไปไม่ใช่แค่พูดวนในอ่านนะครับ
    เด่วจะเพี้ยนเพราะความจำเสื่อมระวังไว้นะครับ

    ถ้ากสิณที่เน้นเพื่อให้เกิดทิพยจักขุคือ กสิณแสงสว่างและ
    กสิณไฟครับ ส่วนกสิณน้ำเป็นอุบายให้สร้างทิพย์จักขุในตัว
    เนื่องจากน้ำมันใส จะไปนึกคิด เอ่อเองให้เกิดเป็นน้ำไม่ได้ครับ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คุณ nilakarn เวลาคนอื่นๆเค้าบอกเค้าแนะอะไรคุณ
    ก็ฟังเค้าบ้างก็ดีนะครับ เชื่อว่ามีหลายท่านบอกคุณไปแล้ว
    คุณก็ยังจะมั่นใจตัวเองอยู่นั่นหละครับ อย่างปิติฌาน ๓ ทุกวันนี้
    ก็ยังคิดว่ามีอยู่อีก..การที่คุณจะแนะจะโพสอะไรก็สิทธิของคุณ
    จริงอยู่ครับ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าบอร์ดนี้เป็นสาธารณะ
    เราอยู่ร่วมกันภายใต้กฏกติกาครับ มีขาดบ้างเกินบ้างเรื่องธรรมดา
    ก็ตักเตือนกันไปด้วยความเป็นกัลยาณมิตร ที่ดีต่อกัน...

    แต่ถ้าเรื่องกรรมฐานถ้าเราทำไม่ได้ ปฏิบัติยังไม่ได้ ยังเข้าถึงไม่ได้
    โดยเฉพาะเรื่องกรรมฐานพิเศษต่างๆ เราควรอ้างอิงตำราแหล่ง
    ข้อมูลที่เชื่อถือได้ดีกว่าครับ...เพราะว่าการปฏิบัติมันเป็นสภาวะครับ
    ผู้ที่กำลังฝึกอยู่ หากติดขัดปัญญา ถ้ามาอ่านจะเข้าใจ..ซึ่งพวกนี้
    มันไม่ใช่ว่า เราจะมาใช้ตรรกะทางโลกๆ มาคิดเองว่าจะต้องเป็น
    อย่างโน้นนี่นั้นแล้วมาแนะนำได้นะครับ..เอาเฉพาะในส่วนที่คิดว่า
    ตนเองรู้ก็พอถึงค่อยพูดครับ..และก็ต้องใจกว้างบ้างเวลาคนเค้าติ
    เค้าแนะ ไม่ใช่จะมาอ้างว่า ให้ผู้อ่านคอยตัดสินเอาเอง..
    คือ ถ้าคุณไม่มั่วมาก และก็ โค ตะ ระ มั่ว และไม่ฟังใครเลยที่เตือน
    เค้าก็คงไม่มา อ้างมาแซะคุณหรอกครับ..
    เด่วพอบอกให้คุณแสดง คุณก็จะอ้างว่า ผมวางเรื่องอภิญญาไปแล้ว
    แต่ในทางตรงข้าม คุณแนะนำหลายๆคำตอบแบบคิดเองเอ่อเอง
    แต่คุณไปพูดถึงอภิญญา พูดถึงฤิทธิจังเลยนะครับ
    นี่หละครับ ที่เค้าเรียกว่า กิริยาแบบวนในอ่างครับ...
    ปล.พูดแค่นี้ และอ้างอิงแค่นี้หละครับ..หลายคำตอบแระ
    แค่นี้คุณก็นะ....

    คุณพูดเหมือนคนที่เหาะได้ หายตัวได้เป็นปกติ แต่ว่าในฝันนะครับ
    แต่เอามาพูดในโลกความเป็นจริงเสมือนว่าเหาะได้หายตัวได้จริงๆ
    ทั้งๆที่ความฝันที่คุณเอามาพูดในโลกความเป็นจริงนั้น
    มันเป็นแค่ฝันที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิตตัวคุณเองล้วนๆ
    จึงแสดงออกมาเป็นคำพูดและวิธีการถ่ายทอดของคุณ ณ ปัจจุบันนี้
    นั่นหละครับ
    เข้าใจที่พูดนะครับ..
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คุณ nilakarn คุณกำลังพยายามที่จะ "เกรียน" สิ่งที่ผมเอามาจาก "พระไตรปิฏก" ด้วยอาการ "คิดเอาเอง เออเอาเอง ในหัวของคุณ" เหรอ

    +++ ในหน้าที่ 2 โพสท์ที่ 21 หัวข้อ "กสิณจากพระไตรปิฏกคือ "การแผ่" ไม่ใช่ "การเพ่ง"" ไปอ่านดูใหม่ให้ดี ๆ นะ

    +++ อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๓
    ๕. กสิณสูตร อรรถกถากสิณสูตรที่ ๕ กสิณสูตรที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

    ชื่อว่ากสิณ เพราะอรรถว่าทั้งสิ้น ชื่อว่าอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเขตแห่งธรรมทั้งหลายที่มีกสิณนั้นเป็นอารมณ์ หรือเพราะอรรถว่าตั้งไว้. เหตุนั้น จึงชื่อว่ากสิณายตนะ บ่อเกิดแห่งอารมณ์ที่เป็นกสิณ.

    +++ ท่อนนี้ "ก็บทว่า อทฺวยํ นี้ ท่านกล่าวเพื่อกสิณอย่างหนึ่งไม่แปรเป็นอย่างอื่น เหมือนอย่างว่า เมื่อพระโยคาวจรเข้าไปสู่น้ำ [อาโปกสิณ] ทุกทิศก็มีน้ำอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นฉันใด. ปฐวีกสิณก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นปฐวีกสิณอย่างเดียว ไม่เจือกสิณอย่างอื่น."

    +++ ถามนิดเดียวว่า ท่อนข้างบนนี้ เป็นอาการ "เพ่งทุกทิศ หรือ แผ่ทุกทิศ"

    +++ ตรงนี้ "เมื่อพระโยคาวจรเข้าไปสู่น้ำ [อาโปกสิณ] ทุกทิศก็มีน้ำอย่างเดียว" คำว่า "ทุกทิศก็มีน้ำอย่างเดียว" ตรงนี้เป็น "เพ่ง หรือ แผ่"

    +++ หากจะกล่าวแบบรวม ๆ ตรงนี้คือ "ทุกทิศ เป็นน้ำ อย่างเดียว" ไม่มี ธาตุ อื่นเจือปน

    +++ หากคุณ nilakarn พยายามที่จะ "เกรียน" สิ่งที่ผมโพสท์ ด้วยคำว่า "เพ่ง" ของคุณแล้ว ก็ขอแนะนำให้คุณ "ลองทำ ตรงนี้ดู"

    +++ ให้คุณ nilakarn "เพ่งทุกทิศ แบบ ทุกอณู ให้เป็นแต่ น้ำ เท่านั้น ณ ขณะจิตเดียวกัน" ทำให้ได้นะ

    +++ ทำได้เมื่อไร จึงค่อยมา "เกรียน" กับสิ่งที่ผมโพสท์ทิ้งไว้ก็ได้ ไม่ว่าอะไร เพราะมันจะเกิด "ประโยชน์ในวง พระพุทธศาสนา"

    +++ แต่ถ้า "ทำไม่ได้แล้วมา เกรียน ถึงสิ่งที่ผมโพสท์" เมื่อไร ก็ให้ระวังให้ดี ๆ ก็แล้วกัน

    +++ คงรู้แล้วนะว่า ถ้าผมเห็นว่าเป็นการ "ขวางการปฏิบัติธรรม" หรือเผยแพร่ "มิจฉาทิฐิ" เมื่อไร ผม "อัดไม่เลี้ยง" แน่นอน
     

แชร์หน้านี้

Loading...