"สมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก-สมเด็จพระเจ้า ตากสิน "สองมหาราชเเห่งชนชาติไทย

" นางเเก้ว เเห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ทั้งสอง พระองค์ มีนามพ้องกันชื่อ " พระเเม่มัลลิกา "

.........ผู้เขียน ขอเรียนท่าน ทั้งหลายว่า กระทู้นี้ ในความรู้สึกเองว่า " ศักดิ์สิทธิ์มาก" ( ไม่เเพ้กระทู้ของครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียน ใด้เขียนในหัวข้ออื่น )......ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนกำลัง เกริ่นหัวข้อ "พระเเม่มัลลิกา " เเล้ว เกิด ไฟฟ้ากระตุกสักสองวินาที (ข้อมูลหายไปทั้งหมด ) ก่อนเขียนจบตอนนี้ ไม่ถึงบรรทัด

นั่งทบทวนนิดหนึ่ง ก็ รู้ว่าการเขียนของตนเอง ที่เกี่ยวกับพระเเม่ "มัลลิกาทั้งสอง " ถึงเเม้จะถ่ายทอดเนื้อความด้วย "เจตนาดี" ก็อาจมีบางถ้อยคำ ทำให้เกิด ความขุ่นมัว ในกำลังใจของท่านผู้ อ่าน ซึ่งผู้เขียนคิดว่า "ในวัฎสงสารอันยาวนานนี้ " เราหลายคน อาจใด้พึ่งบารมีท่าน "เเม่ " ในฐานะ เเห่งลูก หลาน บริวาร


จะขอนำ เรื่องราวที่น่าสนใจ " ของพระเเม่ทั้งสอง " เเละหวังว่าจะพอมีประโยชน์ กับทุกท่านมาถ่ายทอดในตอนหน้าครับ

 

" พระนางมัลิกาเทวี พระราชินีเเห่ง เเคว้นโกศล "......


พระประวัติของพระเเม่ ท่าน พวกเราสามารถหาอ่านใด้ทั่วๆ ไป เเต่ที่ ผู้เขียนจะยกมานำเสนอนี้ เป็น พระประวัติ ทั่วๆไปเเละเกร็ด พระประวัติของท่านใน ชาติ ต่างๆที่พระเเม่ "มัลลิกา พระองค์ นี้ใด้ไปถือ กำเนิด ".......ในพระชาติต่างๆ .....ซึ่งข้อมูล มีที่ไปที่มาอย่างชัดเจน ..... ผู้เขียน เขียนจากความจำ ที่ใด้รู้มาในหลายปีเเล้ว เเละข้อมูล หรือข้อมูล " พิเศษ " ต่างๆ ซึ่งจะ เกริ่นหัวข้อ เอาไว้ก่อน ดังนี้ครับ

1) เมื่อพระเเม่ " มัลลิกา " สิ้นพระชนม์ เท้าท่านเเหย่ลงนรก 7 วันมนุษย์ ...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงโปรด " พระเจ้า ปเสนทิโกศล "....

2) ในพระชาติที่ " พระสวามี รบ ตัวต่อตัวกับท่านสิงห์ " พระเเม่มัลลิกา ยิงธนู สามดอกพร้อมกัน

3) ในพระชาติที่ " พระสวามี รบกับ ... " ท่านเเม่เเต่งองค์ เป็นชาย " สละพระชนม์ชีพ " ช่วยออกรบ

 

.... พระเจ้าปเสนทิโกศล .บรมกษัตริย์ ...............เมื่อ " พระชายา " ....อันเป็นที่รักยิ่ง ของ พระองค์ " ...ผู้ทรงความดี....เหมือนเเม่ ( มี ความละมุนละไม โอบอ้อมอารีย์ ....เล่ากันว่า พระเเม่เจ้า ท่าน "รัก เเละเลี้ยงดู "....ลูกที่เกิดจาก ชายาองค์รอง หรือ พระสนมอื่นๆ ....เสมือนลูกของท่านเอง.....) "สิ้นพระชนม์"


ยังความ .....เศร้าโศก....เเก่พระองค์เป็นอย่างมาก เชื่อกันว่าในตอนนั้น "พระบรมกษัตริย์ เจ้า"....ทรงรีบเข้าเฝ้า..." เบื้องบระบาทเเห่ง องค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา "....เพื่อ จะทรงกราบทูลถาม ...." คติ "...เเห่งภพภูมิอันเป็นที่ไปแห่ง "พระชายา"....

 

........เมื่อพระองค์ จะทรง ขอพระบรมพุทธานุญาต กราบ ทูลถามเรื่องนี้ .. " เเก่พระบรมศาสดา "......." องค์สมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้า " ทรงทราบว่า " พระเเม่มัลลิกาเทวี "...ผู้ทรงความดีอันบริสุทธิ์ เเม้ความชั่ว เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ทรงกระทำ โดยเจตนา ...เเต่ ก่อนท่านสิ้นพระชนม์ " พระเเม่เจ้า " ...จิตเกิด " ขุ่น " ด้วยเรื่องที่ท่านเคย " เดิน สดุดเท้า พระสวามี ในที่อันมืด ( ผู้เขียนจำใด้ไม่ถนัดนัก น่าจะเป็นตอนที่ท่านลุกออกจากที่บรรทม )...เป็นเหตุให้พระเเม่เจ้า...." ใช้เท้าเเหย่ลงในนรก 7 วันมนุษย์"

 

...." องค์สมเด็จพระจอมไตร "....ทรง "พระพุทธดำริห์ "ว่า .......หาก บอกเรื่องนี้ เเก่พระเจ้า " ปเสนทิโกศล " ( พระผู้ทรงมีพระทัยที่เด็ดเดี่ยว )....เเล้ว "พระบรมกษัตริย์ " .....จะไม่ทรง "บำเพ็ญ บุญ บารมีในพระบวรพุทธศาสนาอีกเลย"......ด้วย จะทรงคิดว่า .....พระเเม่เจ้าผู้ เป็น " ผู้บำเพ็ญบารมีบริสุทธิ์ เเต่เพียงถ่ายเดียว ยัง ...ใด้รับผลดังนี้....

( เเละพระเเม่เจ้าใด้ทรง บำเพ็ญ อสทิสทาน คือทานที่ไม่มีผู้ใดเปรียบใด้ ในพุทธสมัยเเห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 พระองค์ จะบำเพ็ญทานอย่างนี้ ใด้ 1 ครั้ง )

เเล้วพระองค์ ผู้ทรง "ทำบาปอกุศล" เนื่องด้วย การ ปกครองอาณา ประชาราษฎร์ เช่นการ รบทัพจับศึก ต้อง "ประหัตประหารข้าศึก" "ต้องทำลาย ชีวิตสัตว์เพื่อเป็นอาหารเเก่กองทัพ".....ต้องลงราชอาญาเเก่ เหล่า อาณาประชาราษฎร์ ถึงเเม้จะใด้ทรง บำเพ็ญ พระมหากุศล อย่างยากจะหาผู้ใด เทียมใด้ในครั้ง พุทธกาล ..ก็ทรง เเน่พระทัย ว่าจะมีอ้นต้องลงอบายภูมิ เป็นเเน่เเท้

 

.......ในระหว่าง 7 วันนั้น เวลาใดที่ " พระเจ้า ปเสนทิโกศล " ทรงเข้าเฝ้าเพื่อบำเพ็ญ พระราชกุศล เเละตั้งพระทัย ที่จะกราบบังคมทูลถาม " คติที่ไปเเห่ง พระเเม่เจ้า "
" สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบันดาลให้ พระบรมกษัตริย์ ทรงลืม กราบบังคมทูลถามทุกๆครั้ง "......

ครั้นเมื่อพ้น 7 วันไปเเล้ว จึงใด้.... "ตรัส "....ตอบ " พระ เจ้าปเสนทิโกศล"......"พระนาง มัลลิกาเทวี " " บัดนี้ใด้ไปบังเกิด เป็น เทพธิดาผู้มียศอันรุ่งเรือง อยู่ณ สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ "......

....ยังความ " ดีพระทัย " เเก่ " พระเจ้าปเสนทิโกศล "...เป็นอันมาก......

 

อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ รออ่านต่อนะคะ ไม่ทราบว่ามีพระมหาษัตริย์พระองค์ได้ปรารถนาพุทธภูมิไหมคะ ขออ่านแบบยาวๆอีกค่ะได้ความรู้เยอะเลย เพราะชอบประวัติศาสตร์ค่ะอยากย้อนไปดูเองแต่ทำไม่ได้ ขอบคุณนะคร้า

 

" พระบารมี ทั้งสองพระองค์ ท่านมากล้น"

เมื่อวานผู้เขียน ว่างจากกิจส่วนตัว เเล้วตั้งใจ ว่าจะ พิมพ์ "เรื่องความเป็น ผู้ยอดเเห่งบารมี ของอดีตพระบรมโพธิสัตว์เจ้า " ทั้งสองพระองค์ กำลังจะพิมพ์ ข้อมูลเเห่ง บารมีของ "พระเจ้าปเสนทิโกศลบรมโพธิสัตว์เจ้า " ซึ่งผู้เขียนเเละลูกหลาน ทราบว่าท่านใด้ลาพุทธภูมิเเล้ว ณ ปัจุบันกาล .....(ปรากฎว่า มีเหตุ ข้อความลบ จึงพิจารณาภายหลัง ว่า คงเป็นเพราะ "พระบารมีเเห่งท่าน พ่อทั้งสองพระองค์ "ท่านสงเคราะห์ " การเขียนมีความบกพร่อง คลาดเคลื่อน เเละบางข้อความอาจจะเกิด ความ ไม่เข้าใจเเก่ผู้อ่านบางท่านก็เป็นใด้)

กำลังจะพิมพ์ ถึง ความ สมบูรณ์เเบบเเห่ง พระบารมีของท่าน โดยมีท่านผู้รู้ ตั้งข้อสังเกตุว่า ณ เทวสภา เมื่อ " องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า " พระองค์ ใดมาเทศน์ จะ " เห็นพระวิสุทธิเทพ อดีตพระเจ้าปเสนธิโกศล บรมกษัตริย์ "

ท่านนั่งอยู่ณ ตำเเหน่ง อันดับ 1 ผู้ใกล้พระบาทเบื้องขวา เเห่ง "องสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า " (ในหมู่เเห่งพระวิสุทธิเทพ)

ผู้เขียนเชื่อมั่นโดยส่วนตัวว่า ท่านพ่อพระองค์นี้ พระบารมีเเห่งท่าน สมกับพระสมัญญานาม " สัมพเกษี " โดยเเท้

เเละผู้เขียน รู้สึกเสียดายว่าหากท่านไม่ "ลาพุทธภูมิเเล้ว " ในสมัยที่ท่าน "บรรลุพระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เเล้ว ความเจริญเเละความสมบูรณ์เเบบ ความยิ่งใหญ่อลังกาล เเห่งยุคสมัย เเละจำนวนผู้บรรลุ "ธรรมาภิสมัย" เป็น พระ "อริยเจ้า" จะมีจำนวนมากมหาศาล เท่าใด

หมู่ลูกหลาน ที่ติดตาม ท่านพ่อ ร1 เเละ "องค์พระเจ้าตากสิน " ใด้พึ่งพระบารมีเเห่งท่าน ทั้งสองมาอย่างยาวนาน ....เป็นที่น่าคิดว่า หากลูกหลานท่านใด ยังคงความ "ปรารถนาพุทธภูมิ" ต่อไป ชาติต่อๆไปจนกว่า "บารมีจะเต็ม " จะดำรงค์เเนวทางการสร้างบารมี อย่างไร ...

 

ธงชัยพระโพธิญาณของท่านพ่อนั้นเป็นธงชัยที่ทรงความเป็นเลิศทรงความเป็นพิเศษเหลือคนานับจนไม่อาจบรรยายได้ลูกๆของพ่อคนอื่นๆจะมองเห็นความเป็นพิเศษของพ่อหรือปล่าวนี่ผมไม่อาจรู้ได้ แต่สำหรับผม เรื่องที่ปกติธรรมดาผมคุ้นเคยเป็นปกติ เหมือนอย่างตอนเป็นเด็กแม่ใช้ให้ถูทำความสะอาดพื้นบ้าน ปกติก็คือเอาน้ำมาหนึ่งถัง เอาผ้าขี้ริ้วใส่ลงไปให้เปียกน้ำแล้วบิดพอหมาดๆ แล้วก็ถูพื้นถ้าถูหยาบหน่อยก็ทั่วบ้างไม่ทั่วบ้างสะอาดบ้างสกปกบ้างสลับกันไป ถ้านิสัยละเอียดหน่อยก็ถูทำจนทั่วและก็เทน้ำทิ้งเอาถังไปเก็บเอาผ้าขี้ริ้วไปตาก เป็นอันจบพิธี ถ้าถูแบบสะอาดพิเศษแล้วก็วิธีโบราณบ้านนอก แถมคอกนาอีก เอาละทีนี้จะถูยังไง

ต้องทำงานต่อก่อนเดี๋ยวมาต่อครับ

 

...." สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบรมพงศ์โพธิสัตว์เจ้า ผู้เป็น ผู้นำ ผู้ริเริ่มวางเเบบเเผน ผู้สืบทอด เเห่ง ชนเผ่า ไทย เเละ พระบวรพุทธศาสนา "...(ในเรื่องนี้เป็นข้อสังเกตุ ส่วนตัวของผู้เขียนเอง มีที่ไปที่มาที่ชัดเจน ครับ)

1) ..."เป็นผู้ริเริ่มการสร้าง พระพุทธรูป"..... ในสมัยพุทธกาล ท่านอดีตสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ คือ "พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์ เเละ "ท่านเเม่ศรีหรือพระเเม่มัลลิกาเทวี" ใด้ทรง ถือใด้ว่า เป็น ฆารวาสผู้เป็นหลักใหญ่ เเห่งการทำนุบำรุงเเละปกป้อง "พระพุทธศาสนา" เเคว้นโกศล เป็นเเคว้น ที่ "สมเด็จพระบรมศาสดา" ทรงเสด็จ ทำ พุทธกิจมากที่สุด
มีการสร้างวัด เเละศาสนสถานเป็น จำนวนมาก อีกทั้ง "พระเเม่วิสาขามหาอุบาสิกา" ก็อยู่ในเเคว้นนี้
" พระเเม่มัลลิกา " ท่านเป็น บุคคลเเห่งประวัติศาสตร์ พระบวรพุทธศาสนาคือ "ใด้ทรงถวาย อสทิสทาน เเด่ องค์พระจอมไตรบรมศาสดา"
เมื่อ พระเเม่ "มัลลิกาสิ้นพระชนม์เเล้ว" พระเจ้าปเสนทิ โกศลบรมกษัตริย์ ทรงมีพระราชประสงค์ ที่จะใด้เป็น พระญาติเเห่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (เนื่องด้วยพรงองค์ทรง เลื่อมใสใน พระบรมสุคตเป็นที่สุด) จึงใด้ทรงขอ "พระเเม่รูปนันทา" ผู้ "ทรงศิริโฉมงดงาม" มาเป็น "เอกอัครชายา"

 

....ในกาลต่อมา พระเเม่ "รูปนันทา" ใด้บรรลุ "อรหัตผล" จาก การฟังพระธรรมเทศนา "เเห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า " (โดยกุศโลบาย เเห่งพระเจ้า "ปเสนทิโกศล"ชักนำให้ "พระเเม่เจ้า " ใด้ฟังพระธรรม )

อีกเรื่องหลัก ที่ผู้เขียน อยากที่จะนำเสนอเเด่พวกเราคือ " การสร้างพระพุทธรูป " เป็น "องค์เเรกเเห่ง ศาสนา สมเด็จพระพุทธโคดมบรมศาสดา " เรื่องนี้
ไม่เป็นที่รับรู้กันเเพร่หลายนัก เนื่องด้วย คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า "พระพุทธรูป องค์เเรกสร้าง ในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช เเห่งเเคว้นมคธ "

เเต่อีกข้อมูลหนื่ง "พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์ ใด้ทรงโปรดให้ นายช่าง เเกะสลัก ..."พระพุทธรูป" (ซึ่งถือกันว่าเป็น พระพุทธรูป องค์เเรก เเห่งพระพุทธศาสนา สมเด็จองค์ปัจจุบัน) ....ขึ้นจาก เเก่นไม้จันทน์" เพื่อ "เป็นองค์เเทน" ไว้บูชา ในระหว่างที่
พุทธบริษัท "ในชมภูทวีป" ต่างเฝ้าคอย การเสด็จ กลับจากการทรง เทศน์โปรด พระพุทธมารดา ณ สวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลา 3 เดือน ที่ เมือง ....."สังกัสนคร"....

สมเด็จ พระพุทธมารดา ทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อ " พระสิทธัตถะ ราชกุมาร" พระชนมายุใด้ 7 วัน ทรงไป บังเกิดเป็น "เทพบุตรอยู่ ณ สวรรค์ "ชั้นดุสิต" เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จไป ทรงเทศน์โปรด นั้น "ท่านปู่พระอินทร์ เทวราชา" ใด้ทูลเชิญ "เสด็จ เทพบุตร อดีตพระเเม่ ศิริมหามายา " ..... ให้มาฟัง ....."พระธรรมเทศนา ณ ดาวดึงส์เทวโลก"

 

...มีอีก หลายเรื่องสำคัญ ที่ "อดีตพระบรมพงศ์ โพธิสัตว์เจ้า ปเสนทิโกศล" ทรงริเริ่ม เเละมีส่วนร่วม ดังนี้

ก) ทรงเป็นหลัก ในการอุปถัมภ์ " การเเต่ง เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง " ร่วมกับ "พระมหาธรรมราชา ลิไท เเห่งอาณาจักรสุโขทัย" ในสมัย "ขุนหลวงพะงั่ว" รัชการที่สองเเห่ง "กรุงศรีอยุธยา"



ข) ทรงเป็น องค์ อุปถัมภ์การ สร้าง " พระพุทธชินราช " พระพุทธรูปที่ว่ากันว่า งดงามที่สุด ( "สมเด็จองค์ปฐม" ณ วัด ท่าซุง ก็ถือกันว่า มีพุทธลักษณะงดงามมากเช่นเดียวกัน)

ค) ทรงสร้าง "กรุงรัตนโกสินทร์"


ง) ทรงปกป้อง "ราชอาณาจักสยาม" จากการล่าอาณานิคม การ " เลิกทาส "การคมนาคมทางรถไฟ" เเละ พระราชกรณียกิจ อีกมาก อันเป็นคุณูปการ เเก่พวกเรา ชาวไทย ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ของประองค์ท่าน มากล้นสุดจะพรรณา ใด้

 

...เรียนคุณActo2 วีระกษัตริย์ วีระบุรุษ ที่ปราถนาพุทธะภูมิ ในยุคต้นกรุงรัตนะโกสินทร์ ผมว่ายังมีพระยาพิชัยดาบหักอีกคนนะครับ ส่วนท่านจะเป็นครูบาอาจารย์องค์ใหนนั้น ผมไม่รู้ครับ
...วีระกษัตริย์ที่ปราถนาพุทธภูมิชัด ๆ เลยก็ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามคำแหง พญาธรรมราชาลิไทย( ผู้รจนาใตรภูมิพระร่วง ) พระมหาธรรมราชา พระเนรศ พระเอกา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ๆลๆ ผมว่าอดีตพระมหากษัริย์ไทยทุก ๆ พระองค์ ท่านเป็นพุทธะภูมิ ทั้งหมดนะ ส่วนบารมีใครจะบำเพ็ญมามากน้อยอย่างไรก็ว่ากันไปตามแต่ละบุคคล
...พระมหากษัตริย์ไทยนั้น ท่านลงมาเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ ท่านมิได้ลงมาอยู่สุขสบายนะท่านต้องลงมาตรากตรำทำงาน เพ่อให้ประชาชนของท่านอยู่สุขสบายที่สุดในแต่ละยุค แต่ละสมัย องค์ใหนที่ท่านสร้างบารมีมานาน บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข บางองค์ก็ลงมากอบกู้บ้านเมือง ลำบากมาก

 

จริงเท็จอย่างไร ไม่ขอกล่าวคัดค้านครับ

แต่ด้วยพุทธวิสัย อันเป็นพุทธประเพณี ของเหล่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต จวบจนปัจจุบัน นั้น จะต้องเป็นอย่างนี้คือ สถานที่อันเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน หรือกล่าวได้ว่า ถิ่นกำเนิด แห่งพระพุทธเจ้า และพุทธศาสนา จะถูกกำหนดไว้แล้วด้วยพุทธประเพณี คือ ประเทศอินเดียอันเป็นชมพูทวีป เท่านั้น ไม่อาจเป็นอย่างอื่นครับ

ส่วนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้น จะต้องเผยแผ่ขยายไปทั้ง7แคว้น
ส่วนการประทับรอบพระพุทธบาทนั้น ก็จะต้องกระทำพุทธอิทธิฤทธิ์ไว้เช่นกัน

ความเป็นพระพุทธเจ้า นั้นเป็นอจินไตย บุคคลผู้เดินสายพุทธภูมิเท่านั้นจะทราบในพุทธวิสัย และพุทธประเพณี ได้ดีกว่าผู้บุคคลอื่นๆ ซึ่งตรงนี้ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่เราท่านไม่สามารถทราบได้ และขอกล่าวว่า พุทธวิสัยต่างๆเหล่านั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ล้วนทราบดีและล้วนมีเหตุและผลที่ ทราบโดยนัยยะ ว่าที่กระทำไปนั้น มีเหตุและผลสำคัญประกอบเสมอ

แม้ในอนาคตกาล พุทธจริยะวัตร ก็ดี พุทธวิสัยก็ดี พุทธประเพณีก็ดี ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นเพราะก็ด้วยพระพุทธเจ้าทั้งหลายต่างปฏิบัติมาแล้วอย่างนี้ ดีงามที่สุดแล้วอย่างนี้ อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคตกาล ก็จะดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้าองค์ปฐมและองค์ก่อนๆมาทุกพระองค์ เพราะนั่นคือแบบอย่างที่ดีงามที่ประเสริฐที่สุดแล้วที่ควรดำเนินตามแบบอย่างเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ที่ดีที่ประเสริฐที่สุดครับ สาธุ

 

ขอบคุณ ท่าน joni_buddhist เเละขอโมทนา ทุก กุศลกรรมที่ท่านบำเพ็ญมา

ส่วนเรื่องข้อมูล ผมจะขอเรียบเรียงตามความเข้าใจส่วนตัวนะครับ
ท่านเจัาครอกบัว(เจ้าเเม่วัดดุสิต) นั้นเป็นพระสนมเอกของ "สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง" มีลูกในอุปการะ ดังนี้ครับ
1 . เจ้าพระยาโกษาเหล็ก (เเก่กว่าสมเด็จพระนารายณ์ 2 ปี )
2 ท้าวจุฬาลักษณ์ (เเก่กว่าสมเด็จพรานารายณ์ 2 เดือน )
3 เจ้าพระยาโษาปาน (อ่อนกว่าสมเด็จพระนารายณ์ 2 ปี)
4 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (เป็น ลูกของเจ้าครอกอำภัย พระสนมเอก ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง อีกท่านหนึ่ง เเต่เมื่อ สมเด็จพระนารายณ์ คลอด ใด้ 9 วัน เเม่ก็ตาย จึงใด้ฝาก เจ้าเเม่วัดดุสิต เลี้ยงเเละรักเสมอลูก)
5 พระเพทราชา เป็นลูก นายทหาร(พระยา)เชื้อจีน ที่เป็นเพื่อนร่วมก่อการ ยึด อำนาจ ร่วมกับ พระเจ้าปราสาทอง (ขณะพระเจ้าปราสาททองเป็น พระยากลาโหม ) ก่อนตายใด้ฝากลูกเมียให้ พระยากลาโหม เลี้ยงดู เหตุนี้ พระเจ้าปราสาททองจึง ใด้ให้ เจ้าเเม่วัดดุสิต เลี้ยงดูอีกคน


พระเจ้าเสือนั้นคือ ลูกลับๆของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฝากพระเพทราชาเลี้ยง

ส่วนพระเจ้าทรงธรรม เป็น ลูก "ของสมเด็จพระเอกาทศรถ" ที่เกิดจากพระสนม ขึ้นครองราชสมบัติ โดย การปลงพระชนม์ " เจ้าฟ้าศรีเสาวภาค" (เจ้าฟ้าศรีเสาวภาค เป็นพระราชโอรส ของ สมเด็จพระเอกาทศรถ เหมือนกัน )

 

ขอบคุณ ท่าน joni_buddhist เป็นอย่างสูงครับ