หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ขอบพระคุณแทนคุณjit_cs และกราบอนุโมทนาบุญค่ะพี่ระมิงค์
     
  2. อนาคินร์

    อนาคินร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +1,437
    เรียนคุณอาระริงค์ขอรับ..ส้มฉุนมีเรื่องอยากจะขอความกรุณาขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของการถอดกายทิพย์อะคับว่าพอมีวิธีฝึกอย่างไรบ้างเพื่อให้ได้ผล
    บ้างมั้ยคับ..แต่สมาธิของส้มฉุนยังไม่ถึงขั้นไหนเลยคับ ขนิกสมาธิก็กะท่อนกะแท่น! ผลุบๆโผล่ๆแบบนี้ยังพอจะหวังผลในการฝึกได้มั้ยคับ...ขอบพระคุณคับผม
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อย่าพึ่งรีบถอดกายทิพย์เลยนะขอรับ...
    เอาเป็นว่ารีบหนีนรก ตามคำแนะนำของหลวงพ่อฤษี กันก่อนดีกว่าน้า..า...​
     
  4. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ขอกุศลเจตนาของท่าน... เป็นเครื่องรักษาท่านให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งหลาย
    ขอกุศลเจตนาของข้าพเจ้า ช่วยหนุน...ปกปักรักษาท่านอีกแรง... บุญใดที่ข้าพเจ้าทำมาดีแล้ว ขอบุญนั้น ช่วยคุ้มครองรักษาทหาร ตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายด้วยดี (ด้วยใจ) ทุกท่าน

    ***

    มีพี่เขยเป็นทหารจากลพบุรี ลงไปในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้เหมือนกันค่ะ ให้ผ้ายันต์ที่ได้มา น่าจะเป็นยันต์เกราะเพชร มีชิ้นส่วนจีวรของหลวงพี่เล็กเย็บติดธงด้วย ไม่แน่ใจว่าปลุกเสกโดยหลวงพี่เล็ก (วัดท่านขนุน กาญจนบุรี) หรือ ปลุกเสกที่วัด ถ้ำเขาวงณ์ สระบุรี แนะนำให้เขาอธิษฐาน...ขอให้ธงนั้น เป็นผ้าคลุม ผืนใหญ่คุ้มครองป้องกันภัยให้ แต่ไม่รู้เค้าจะทำตามรึเปล่า...

    เป็นห่วงทุกคนนะคะ
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    วิชชาธรรมกาย​
    (ต่อ)

    จากความพยายามอย่างผิดๆวิธี ที่ทำให้เกิดความเครียดและอึดอัดนั้น เมื่อยังฝืนทำต่อไป ก็ให้รู้สึกว่าเหนื่อย เมื่อเหนื่อยมากๆเข้า ก็เลยถอนหายใจ แต่ไม่ถอนความตั้งใจ แล้วก็คิดว่า เฮ้อ... ทำไปเรื่อยๆก็แล้วกันนะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น....ออกแนวปลงซะ ไม่ปลงจะเสียใจ...

    เมื่อนั้นก็กลับมาหายใจแบบธรรมดาๆ ส่วนเรื่องลมหายใจมันจะทะลุปอดลงไปอยู่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ได้อย่างไรก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกนะ ทำๆไปเหอะ แล้วศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อันมืดสนิทในท้องเรานี้มันอยู่ตรงไหนกันแน่ก็กะๆเอาไปละกัน เพราะว่าไม่ได้กินไม้บรรทัดเข้าไปด้วยนี่นะ คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาจริงๆ...

    จนเมื่อใจมันคลายกังวล ร่างกายก็ผ่อนคลาย เวลานั้นลูกแก้วลูกเล็กๆที่ลงไปจรดอยู่ตำแหน่งที่นึกเอาเองว่าเป็นศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ก็เกิดขยายใหญ่ขึ้น ขนาดเท่าลูกบอลขนาดเล็กหรือประมาณลูกมะพร้าวน้ำหอมเห็นจะได้ เพียงแต่ว่าเป็นแก้วใสๆ ไม่ได้มีประกายระยิบระยับ หรือว่าสว่างไสวเยี่ยงดวงอาทิตย์ก็หาไม่ (ไม่เห็นเหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมาเลยนิ) เวลานั้นก็เห็นตับ เห็นไส้ ม้าม กระเพาะอาหาร พังผืด เส้นเลือดฝอย เห็นการขยับตัวของอวัยวะภายใน พะเยิบพะยาบได้....เห็นดังนั้นผมก็คิดไปว่า ไอ้ภายในร่างกายเรานี้นี่มันสกปรกน่ารังเกียจจริงๆนะ แล้วมันก็มีสิ่งเหล่านี้ในร่างกายเราจริงๆด้วย ว่าแต่ว่าในร่างกายเรานี้นี่มันไม่มีลูกแก้วหรอกนะ ลูกแก้วก็เป็นเพียงนิมิตที่เป็นอุปทานเท่านั้นแหละ นี่ถ้าขืนไปยึดติดเข้าแล้ว ก็จะได้หลงติดหลงยึดไปใหญ่ ... อย่ากระนั้นเลย เราทิ้งลูกแก้วนี้ไปเสียดีกว่า มันไม่ใช่ของจริง มันของสมมุติ...

    นี่เป็นความฉลาดของผม ... มาภายหลังนี่ผมยังเคยคิดเลยนะว่า ถ้าเวลานั้นหลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่ เจอคนฉลาดๆอย่างผมเข้านี่ ท่านจะเงื้อขา ถีบหน้าแง ให้หงายเงิบ ไปซะตรงนั้นไหมนี่? ... เวลานั้นมันก็ไม่ได้คิดเลยนะว่า ไอ้การที่เห็นอวัยวะภายในของตัวเองได้นี่มันเกิดมาจากลูกแก้วที่กำหนดไว้ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ 7 แล้วก็ไม่เอะใจเลยว่า เพราะอยู่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ลูกแก้วเล็กๆถึงขยายใหญ่ได้ ถ้าไปอยู่ตรงอื่นมันก็เล็กเท่าสาคูเหมือนเดิม และมันก็มืดเหมือนเดิม ... นี่เวลาบทมันจะโง่ มันก็โง่ได้ขนาดนี้ จากนั้นพี่ชายก็ให้ไปเป็นเพื่อนเพื่อฝึกมโนมยิทธิ กับหลวงพ่อฤษี ที่ซอยสายลม...

    ครั้งแรกที่ขึ้นไปนิพพานได้ตามที่ครูฝึกพาไป(ครูฝึกที่จำได้คือหลวงพี่อาจินต์) ไปถึงก็เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก มีรัดปะคดตรงอก รูปเดียวกับพระธรรมกายองค์สีขาวใส ใหญ่มากๆ ขนาดตัวผมยืนขึ้นยังไม่พ้นข้อเท้าของพระพุทธรูป ว่าแต่ตอนนั้นไม่ได้เอาตลับเมตรไปด้วย ไม่งั้นจะวัดให้รู้สักทีว่าหน้าตักกว้างกี่เมตรกันแน่...

    กลับลงมาได้ก็ให้นึกว่าหลวงพ่อสดท่านเห็นแบบนี้กระมัง...ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เสียเวลา ตอนนั้นจึงจับนิมิตร ลูกแก้วขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วน้อมจิตจรดลงไปที่จุดศูนย์กลางลูกแก้ว พอจะน้อมเข้าไปก็เห็นพระแก้วใส(แต่ไม่ได้ประกายพรึกอะไรอย่างที่ท่านผู้มีบุญทั้งหลายได้เห็นหรอกนะขอรับ) องค์ท่านเล็กๆ สูงสัก2นิ้ว อยู่ในลูกแก้วที่ขนาดเท่าลูกบอลขนาดเล็ก ก็จรดเข้าไปที่ศูนย์กลางกายองค์พระ ซึ่งตอนนี้ไม่ยากแล้ว เพราะถ้าไม่เข้าศูนย์กลางกายเมื่อไรจะไม่เห็นพระ ดังนั้นพอเห็นพระก็จรดไปที่ศูนย์กลางกายไปเรื่อยๆ...

    เวลาทำจริงๆนี่เร็วมาก ไม่ทันได้นับว่าไปกี่กายแล้ว จรดจิตลงไปเรื่อยๆ...ในที่สุดจิตก็หลุดออกมายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระธรรมกายนั่งประทับอยู่ องค์ใหญ่เท่ากับที่ไปเห็นจากวิชามโนมยิทธิครั้งแรก ... ตอนนั้นก็ยังจะไปจรดที่ศูนย์กลางกายขององค์พระอีก แต่ว่าทำไม่ได้แล้ว อันนี้ก็ไม่รู้นะครับว่าเพราะอะไร เหมือนกับว่าสุดแล้ว...สถานที่ที่ไปเห็นนั้นกว้างใหญ่และเป็นแก้วขาวใสไปหมด พื้นที่ส่วนใหญ่โล่งๆ ไม่มีอะไร....
    กลับลงมาก็นึกว่าองค์พระครอบร่างกายเราอยู่ เห็นร่างกายค่อนข้างจะชัด จึงพิจารณาให้เห็นอาการ 32 บ้าง ธาตุ4 บ้าง ก็ให้อารมณ์ที่ชัดเจนแจ่มใสดี...

    จากนั้นก็ไม่ค่อยได้ทำต่อ อาจด้วยเพราะหลวงพ่อฤษีท่านเคยบอกว่า วิชชาธรรมกายเป็นวิชชาสาม ส่วนมโนมยิทธิเป็นอภิญญา กำลังอภิญญาจะมากกว่าวิชชาสาม ...
    ดังนั้นพอได้มโนมยิทธิแล้ว ก็ไม่ค่อยได้ฝึกวิชชาธรรมกายอีก แต่ก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่า วิชชาธรรมกายที่หลวงพ่อสดท่านค้นพบนั้น มีอยู่จริง ... ท่านใดที่สนใจฝึก ก็เหมือนกับคุณดาบหัก จะได้แนะนำสถานที่และเวลาในการฝึกเอาไว้แล้ว ... ถ้าถูกจริตกับท่านใด ก็ฝึกไปทางนั้น ทั้งนี้ไม่ขอแนะนำให้ไปฝึกแถวปทุมธานี...จะด้วยเหตุผลใดทุกท่านคงทราบดี...ตอนต่อไปคงได้เล่าถึง การฝึกมโนมยิทธิ ที่ผิดวิธีของผม และพี่ชายพี่สาวก็เอากะเขาด้วย...ผิดเองไม่พอนี่ผมยังไปนั่งเถียงกับหลวงพี่อาจินต์อีกนะครับ หลวงพี่ก็ใจเย็นจริงๆ ผมซักไซ้ เซ้าซี้ เร้าหรือ ขนาดนั้น ท่านยังไม่หงุดหงิดรำคาญ ... เรื่องจะเป็นยังไงขอไปเล่าต่ออาทิตย์หน้านะขอรับ...
     
  6. อนาคินร์

    อนาคินร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +1,437
    แป้ววว..ส้มฉุนเอ๊ย! อดเลย! ฮื่อๆๆ pig_cryy2
     
  7. jit_cs

    jit_cs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +183
    ขอกราบอนุโมทนาบุญครับ...สาธุ...สาธุ...สาธุ ขอขอบพระคุณมากๆครับสำหรับสิ่งดีๆและบุญกุศลทั้งหลายที่ท่านอาระมิงค์และทุกๆท่านที่มอบให้ ส่วนเรื่องภาพพระผมก็ใช้ภาพนี้ครับไว้กราบไหว้และระลึกถึงตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อ 5เดือนที่แล้วขบวนรถพวกผมถูกระเบิดเรามีกันอยุ่ 3คัน 12 นาย คันละ 4 นาย สองคันแรกเสียหายหนัก คนก็เจ็บเหลือคันผมคันเดียว ที่ปลอดภัย ช่วงเวลานั้นมันเร็วมาก เราลงจากรถ แล้วได้ยินเสียงปืนฝ่ายตรงข้ามดังขึ้น แวปแรกที่เกิดขึ้นคือ ภาพนี้ครับ มันระลึกขึ้นมาอัตโนมัติครับ คือจังหวะนั้นคิดว่าอาจจะต้องตายก็ได้ครับ เลยละลึกถึงเหมือนดั่งที่หลวงพ่อฤษีท่านว่าก่อนตายให้ติดภาพพระไว้ก่อน ภาพพระภาพนี้ครับ เกิดขึ้นก่อนที่จะได้เหนี่ยวไกปืนตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำไป ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเค้าแนะนำหนังสือหลวงพ่อฤษีลิงดำให้อ่าน ผมก็อ่านมาหลายเล่มมากครับ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าใจเรื่องภพภูมิมากขึ้น และอีกหลายๆเรื่อง แล้วยิ่งมาอ่านที่คุณอาระมิงค์โพสอีกยิ่งทำให้ผมรู้สึกอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องหิริโอตตับปะ มันเกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร เพราะกลัวลงนรกครับ แต่ก็ยังมีบกพร่องบ้าง ก่อนหน้านี้เรื่องศีลแทบไม่ต้องพูดถึงเลยครับ แต่เดี๋ยวนี้พยายามมากครับที่จะรักษา แต่ก็ไม่เต็มร้อยน่ะครับโดยเฉพาะข้อ 5 ผมจะงดเว้นเฉพาะวันพระครับคือถือเอาเอง อาจด้วยกิเลสยังหนาอยู่ หรือศีลไม่สมบูรณ์ หลายๆเรื่องในการปฏิบัติธรรมเลยไม่มีอะไร แต่ก็จะทำเรื่อยๆครับเมื่อมีโอกาส เมื่อก่อนก็คิดก็หวังว่าจะดีให้ได้ในทางธรรม แต่ในเมื่อมันได้เท่านี้ก็เท่านี้ครับไม่คาดหวังอะไรมากมายอีกแล้ว ส่วนการแผ่เมตตานั้นผมก็แผ่แบบใช้ภาษาไทยครับ...สุดท้ายนี้ก็ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงอีกครั้งครับ ขออำนาจบุญกุศล ผลศีล ผลทาน ผลเมตตาภาวนา ผลวิปัสนาภาวนา ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ปฐมชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ตั้งแต่ปฐมภพจนถึงปัจจุบันภพ ตั้งแต่ปฐมภูมิจนถึงปัจจุบันภูมิ ขอจงถึงแก่คุณอาระมิงค์ และทุกๆท่านในกระทู้หลงทางนี้ และทุกๆท่านในเวปพลังจิตนี้ ขอให้ทุกๆท่านทั้งหลายเหล่านี้จงเป็นผู้มีส่วนได้ในกุศลผลบุญทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วนี้ด้วยเทอญ...สาธุ...สาธุ...สาธุ ขอให้ทุกๆท่านจงมีความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ถ้วนทั่วกันทุกท่านเทอญ...สาธุ...สาธุ...สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • buddha3-1.jpg
      buddha3-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      97.1 KB
      เปิดดู:
      56
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2013
  8. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    มาเป็นขวัญและกำลังใจให้พี่ ระมิงค์ อัพเรื่องสนุกๆให้อ่านอีกนะครับ:cool:
     
  9. ~มัชฌิมา~

    ~มัชฌิมา~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +123
    มาติดตามถามหาทางสว่างเช่นกันค่ะ เรื่องเล่าจากการได้รู้ได้เห็นเองนี่สนุกแถมได้สาระอีกด้วยหนอ ชอบจริงเลย มาเขียนเล่าบ่อยๆนะคะท่านระมิงค์
     
  10. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    มารออ่านค่ะพี่ระมิงค์ กราบอนุโมทนาในธรรมทานนะคะ
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,482
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +70,077

    ...ขอแก้ไข เสริม หรือ แสดงความเห็นเพิ่มนะครับ

    ตัววิชชาธรรมกายดั้งเดิมมา ที่ถ่ายทอดตรงผ่านสายพระ สายแม่ชี สายฆราวาสที่ไว้ใจได้ ( กลุ่มที่ไว้ใจไม่ค่อยจะเต็มที่ ไม่ต้องการกล่าวถึง )
    มีมากกว่าวิชชาสาม ครับผม


    ...ทั้งนี้ ก็ต้องแล้วแต่พื้นฐานแต่ละท่าน ( ปัจจัยในอดีต ) อีกทั้ง ความเพียร
    ( อิทธิบาทสี่,อินทรี่ย์ห้า,พละห้า ฯลฯ) อันเป็นปัจจัยปัจจุบันด้วย




    .............รุ่นเก่าๆท่านแสดงฤทธิ์ได้อันเป็นส่วนของวิชชาแปด อภิญญาห้า อภิญญาหก ไปจนถึง วิชชาฯที่นอกตำราอันพิศดารเกินเขียนอธิบายได้ ซึ่งเป็นการสอนถ่ายทอดตรง เกินตำราก็มีครับ


    ....การจะบำเพ็ญบารมี ช่วยเหลือตนและสรรพชีวิต ต้องใช้กำลังมาก
    เพียงวิชชาสาม อาจทำได้น้อยมาก

    .......ดูตอนที่หลวงพ่อฤาษีท่านเล่าให้ฟังถึงหลวงปู่สดสิครับ

    แค่ท่านบอกว่า จะทำให้แสงดาวหรี่จนดับ ก็ทำได้เห็นจะจะกันเลย


    ..ที่ท่านเล่าว่า หลวงพ่อฤาษีบอกว่าวิชชาธรรมกายเป็นวิชชาสามนั้น อาจตกหล่นประโยคที่ว่า " หากใครจะเอาแค่มรรค ผล นิพพาน รวบลัดตัดตอนเข้านิพพานโดยเร็ว ไม่บำเพ็ญบารมีต่อ ก็สามารถเจริญเพียงวิชชาสามในวิชชาธรรมกายของแท้ ก็ได้"


    ท่านRAMMING และท่านสมาชิกที่บำเพ็ญจิตจนทรงฌาณได้แล้ว
    ก็ไปทบทวนและต่อวิชชาชั้นกลาง ชั้นสูงได้ แล้วจะทราบเองว่า

    ...........ที่ผมบอกไว้ ไม่ได้เกินความจริง.....[/SIZE]




    ขอบคุณที่ท่านให้โอกาสกระผม มาชี้แจง และบอกเล่า

    เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ตน แกท่านผู้บำเพ็ญ และสรรพชีวิต ไปจนถึง พระศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,482
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +70,077

    ...ขอแก้ไข เสริม หรือ แสดงความเห็นเพิ่มนะครับ

    ตัววิชชาธรรมกายดั้งเดิมมา ที่ถ่ายทอดตรงผ่านสายพระ สายแม่ชี สายฆราวาสที่ไว้ใจได้ ( กลุ่มที่ไว้ใจไม่ค่อยจะเต็มที่ ไม่ต้องการกล่าวถึง )
    มีมากกว่าวิชชาสาม ครับผม


    ...ทั้งนี้ ก็ต้องแล้วแต่พื้นฐานแต่ละท่าน ( ปัจจัยในอดีต ) อีกทั้ง ความเพียร
    ( อิทธิบาทสี่,อินทรี่ย์ห้า,พละห้า ฯลฯ) อันเป็นปัจจัยปัจจุบันด้วย




    .............รุ่นเก่าๆท่านแสดงฤทธิ์ได้อันเป็นส่วนของวิชชาแปด อภิญญาห้า อภิญญาหก ไปจนถึง วิชชาฯที่นอกตำราอันพิศดารเกินเขียนอธิบายได้ ซึ่งเป็นการสอนถ่ายทอดตรง เกินตำราก็มีครับ


    ....การจะบำเพ็ญบารมี ช่วยเหลือตนและสรรพชีวิต ต้องใช้กำลังมาก
    เพียงวิชชาสาม อาจทำได้น้อยมาก

    .......ดูตอนที่หลวงพ่อฤาษีท่านเล่าให้ฟังถึงหลวงปู่สดสิครับ

    แค่ท่านบอกว่า จะทำให้แสงดาวหรี่จนดับ ก็ทำได้เห็นจะจะกันเลย


    ..ที่ท่านเล่าว่า หลวงพ่อฤาษีบอกว่าวิชชาธรรมกายเป็นวิชชาสามนั้น อาจตกหล่นประโยคที่ว่า " หากใครจะเอาแค่มรรค ผล นิพพาน รวบลัดตัดตอนเข้านิพพานโดยเร็ว ไม่บำเพ็ญบารมีต่อ ก็สามารถเจริญเพียงวิชชาสามในวิชชาธรรมกายของแท้ ก็ได้"


    ท่านRAMMING และท่านสมาชิกที่บำเพ็ญจิตจนทรงฌาณได้แล้ว
    ก็ไปทบทวนและต่อวิชชาชั้นกลาง ชั้นสูงได้ แล้วจะทราบเองว่า

    ...........ที่ผมบอกไว้ ไม่ได้เกินความจริง.....[/




    ขอบคุณที่ท่านให้โอกาสกระผม มาชี้แจง และบอกเล่า

    เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ตน แกท่านผู้บำเพ็ญ และสรรพชีวิต ไปจนถึง พระศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,482
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +70,077



    ............ การเห็นอวัยวะภายใน เสมือนกับการผ่าศพ ผ่าร่างกายดู เห็นสดสด จะขยายจนเห็นเส้นเลือดจิ๋็วๆก็ได้นั้น เพียงแค่
    ทำใจให้หยุดนิ่ง ได้กำลังสมถะในระดับกายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) ไปจนถึงกายเทวดา กายนางฟ้า( กายทิพย์ ทิพย์ละเอียด) ก็สามารถกระทำได้แล้ว

    โดยทำจิตนิ่งที่กลางดวงธรรมทที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ (ดวงปฐมมรรค-สัมผัสได้จริงด้วยอายตนะที่ละเอียดเท่ากัน ไม่ใช่นิมิตแล้ว) แล้วอธิษฐานขอดูกายคตาสติ หรือ อาการ32ในกายมนุษย์ แล้วหยุดนิ่งเข้าไป ในจุดเล็กใสกลางของกลางดวงธรรมกลางกายมนุษย์ ก็จะเห็น



    ..ในทำนองเดียวกัน ถ้าจะดูอสุภะของกายมนุษย์ ก็ทำได้ ในวิธีการเดียวกัน


    ยิ่งเข้าถึงกายละเอียดเพียงใด โดยเฉพาะถึงกายธรรมตั้งแต่โคตรภูไปแล้ว

    ยิ่งจะเห็นได้ชัดเจน พร้อมทั้งรูป กลิ่น ฯลฯ เพราะ ไม่มีกิเลสหยาบของ
    กายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม มาบังได้


    -------------------------------



    การจะทราบว่า หน้าตักองค์พระธรรมกายกี่วา กี่เท่าไรนั้น ไม่ใช่วาของกายมนุษย์ หรือ สมมุติของกายต้นๆ

    แต่จะเป็นวาในอายตนะที่สถิตย์ของพระธรรมกายเอง และทราบด้วยญาณพระธรรมกายเองครับ


    การจะทราบว่า พระธรรมกายรัดประคด หรือ ทรงจีวรแบบใด ต้องเช็คหรือตรวจการเดินจิตตั้งแต่ต้น
    ว่า ที่เห็นนั้นเป็นพระธรรมกาย หรือกายพระของจริงหรือไม่ หรือ สิ่งอื่นแปลง หลอกให้เห็น ถ้าได้ต่อวิชชากับผู้ไว้ใจได้ ท่านจะแนะนำให้ครับ




    ....การเห็นองค์พระธรรมกายใสเต็มไปหมด อาจไม่ใช่ของจริงเลยก็ได้ ถ้าทราบวิธีพิสูจน์

    บางคน พอพิสูจน์ได้ ก็ต้องละที่เห็นไปก่อนหน้านั้นหมดเลย แล้วทราบความจริงที่หลังว่าที่เห็นมาก่อนหน้านั้น
    เป็นใครสร้างหลอกไว้ ก็เหมือนโดนถีบตกอาสนะอย่างไงอย่างงั้นแหละครับ


    ..............รู้ เห็น อะไร แล้วกิเลสลด ก็แสดงว่า พอจะเดินได้ตรงทางบ้างแล้ว และต้องเรียนรู้ทีจะเดินต่อไป

    เพราะ กับดัก ยังมีอีกมาก ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ


    การเห็นเบื้องต้น เห็นแล้วสงบนิวรณ์ได้ เพื่อเอากำลังจิตมาพิจารณาสภาวะธรรมให้เห็นจริงเช่นไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ห้า อายตนะหก ฯลฯ

    การเห็น เบื้องต้น แต่ไม่ตัดกิเลสสังโยชน์ ก็ยังไม่เป็นธรรมกาย---------- ก็แค่เห็น แต่ตัดกิเลสไม่ได้

    รายละเอียดมีอีกมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ตุลาคม 2013
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ในระหว่างหลงทาง ก็ยังมีป้ายบอกทางนะครับ...แต่สมัยก่อนไม่มี ต้องงมหาทางกันเอง บ้าๆบอๆ ผิดๆพลาดๆ มีมากด้วยกัน...ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขอให้ถือว่าเรื่องเล่าที่ผมทำผิดๆพลาดๆมานี้ ให้ได้เป็นอุทธาหรณ์ ว่าให้ดูเป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่าง...

    เมื่อเฮียผมชวนมาฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลม ยังได้ทันเจอหลวงพ่อฤษี...เฮียผมมีความมุ่งมาด หมายมั่นว่า ข้าฯนี้แหละจะฝึกมโนมยิทธิให้ได้ ทั้งสองคนพี่น้องนี่ ด้วยความอยากจะมีฤทธิ์ ไปเห็นโน่น เห็นนี่ อยากทำตัวให้มันวิเศษกว่าชาวบ้านเขา ไปรู้วาระจิตเขาได้ ฯลฯ... มานั่งนึกดูแล้วก็รู้สึกสมเพชตัวเองในเวลานั้น มันเสแสร้งแกล้งจะมาทำดี แต่เบื้องหลังมันมีจุดประสงค์ชั่วร้ายแอบแฝง...

    การสอนเวลานั้นก็เปิดเทปหลวงพ่อแนะนำในการฝึกมโนมยิทธิ แล้วจากนั้นครูฝึกจะนำพิจารณากายตัดความยึดมั่นถือมั่นในกาย...เมื่อนึกถึงภาพพระได้ชัดเจนแล้วก็ให้น้อมจิตลงไปกราบท่าน แล้วขอไปพระจุฬามณีเจดีย์สถาน....การฝึกครั้งแรกนั้น ผมเห็นความมืดชัดเจนแจ่มใสมาก พยายามเพ่งแล้วเพ่งอีก เพ่งจนปวดขมับ มึนๆงงๆ ก็แล้ว...ก็เท่านั้นเองแหละครับ....ถึงเวลาเลิกกลับออกมาเจอเฮียผมก็ได้ผลเช่นเดียวกัน...

    เรามากันอีกทีในวันรุ่งขึ้นคือวันอาทิตย์ คราวนี้ตั้งใจว่าทำไปสบายๆละกัน กระทันหันแบบนี้ มันก็คงไม่ต่างจากเมื่อวาน มันก็ต้องมืดเหมือนเดิม ทำใจปล่อยไป...ตอนนี้ความรู้สึกเหมือนว่าเราไปอยู่ที่แห่งหนึ่ง มีกำแพงสีขาว มีประตู มีอ่างน้ำอยู่ตรงกลาง แต่ว่าภาพมันไม่ชัด เหมือนยืนอยู่ในที่ที่หมอกลงจัด มันมัวๆ...ครูฝึกถามว่าเห็นใครบ้างไหม หรือรู้สึกว่ามีใครอยู่ตรงนั้นบ้างไหม...ที่จริงผมรู้สึกว่าครูฝึกตามมาด้วยอยู่ข้างหลังเยื้องๆไปทางขวานี่เอง...แต่ด้วยความไม่แน่ใจ และก็ดื้อเสียด้วย ผมก็ตอบไปว่า ไม่มี....กลับออกมาก็มาคุยกับเฮียผมต่อ แกว่า ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ แต่รำคาญครูฝึกจะให้เห็นให้ได้ ก็เลยตอบๆไปอย่างที่อ่านมาจากหนังสือหลวงพ่อนั่นแหละ...ตกลงวันนั้นก็ไม่ได้เรื่องอีก...

    เดือนต่อมาเอาใหม่อีก...คราวนี้ฝึกกับหลวงพี่อาจิณต์ ฝึกไปกับท่านพอจะเริ่มท่านบอกว่าคุณทำได้แล้วนี่ ทำไมไม่ลงไปฝึกท่องญาณ 8 ... แต่ผมว่า ผมยังฝึกไม่ได้น่ะครับ...ผมว่าที่ผมรู้สึกนี่มันเหมือนอุปทาน คิดไปเอง... ท่านว่าไม่ใช่อุปทานหรอก... ผมว่าใครๆถ้าอ่านมาก่อน ก็ว่าไปตามนั้น ตามความทรงจำที่มี มันก็คิดๆจินตนาการกันได้นะครับหลวงพี่...หลวงพี่อาจิณต์เวลานั้นยังหนุ่มรูปหล่อ...ท่านยังใจเย็นตอบยืนยันนั่งยันผมอย่างเดียวว่าไม่ใช่อุปทาน...เมื่อหลวงพี่ยังยืนยันอยู่อย่างนี้ ไม่มีทางเลือกก็ต้องลงไปนั่งข้างล่าง ไปฝึกรวมๆกันกับครูเปี๊ยก...ส่วนเฮียผมก็ยังเหมือนเดิม เห็นความมืดชัดเจนแจ่มใสมาก...เฮียผมนี่แกอยากได้มโนมยิทธิมาก แกกลับมาบ้านก็คร่ำเคร่งฝึกสมาธิอยู่ทุกเย็น ... เวลานั่งรถเมล์ไปทำงานก็พยายามจะทำสมาธิไปด้วย แต่เห็นว่าหลับไปซะก่อนทุกที.....

    เฮียผมมีปัญหาว่าพอจิตดิ่ง ลงไป ... ลงไป .. สักพักจะเหมือนกับตกเหว แล้วแกก็สะดุ้งพรวดขึ้นมา...พอจะทำใหม่จิตก็ไม่รวมแล้ว...ติดอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ไปไหน...แกเซ็ง...แต่ก็ไม่ทิ้งการฝึก...แกลองสูดลมหายใจลึกๆ เข้า-ออก 3 ครั้งเพื่อระบายลมเสีย ตามที่หลวงพ่อปานเคยแนะนำหลวงพ่อฤษีนั้น ทำแล้ว...ไม่หาย...ผมเองแนะนำว่าเป็นอาการที่ขาดสติ ให้เจริญสติควบคู่ไว้ มีสติในระหว่างนั้น...ไม่อยากบอกเลยว่า เวลานั้นนึกว่าตัวเองรู้เรื่องสติ ที่แปลว่า ความระลึกได้ ตามที่หนังสือทั้งหลายท่านผู้รู้ได้รจนาเอาไว้...แต่ว่ามารู้เอาทีหลังจริงๆว่า เรามันยังไม่รู้เลยว่าสติคืออะไร...

    เวลาต่อมา ตั่วเฮียผมกับพี่สาวคนโตก็ตามมาฝึกบ้าง...
    ฝึกออกมาตั่วเฮียบอกว่า ยังกะนิยายแฟนตาซี ว่าจะหัวเราะออกมาก็เกรงใจเขา ได้แต่คันปากยิบๆ....
    ส่วนพี่สาวไม่เห็นอะไร...นั่งๆไปครูฝึกมาถามว่า อยากเห็นไหม แกก็ตอบไปว่า อยากเห็นสิ...ครูฝึกยั๊วะ บอกว่าถ้าอยากเห็นน่ะ มันจะไม่ได้เห็นหรอก...ว่าแล้วก็สะบัดก้นเดินหนีไป ตามที่เจ้แกเล่าให้ฟัง...
    เจ๊แกลงมาได้ ก็มาโวยวายว่า ... ถามอะไรแปลกๆ ว่าอยากเห็นไหม...ก็ต้องอยากเห็นสิวะ ไม่งั้นจะมาฝึกทำไม ฝึกแล้วไม่อยากเห็นน่ะ...แล้วยังมาบอกอีกว่า ถ้าอยากเห็นจะไม่ได้เห็น ..อ้าว..ไม่อยากเห็นก็ไม่ต้องมาฝึกสิ....ว่าแล้วก็บ่นกันอีกยาว...ว...ทั้งตั่วเฮีย ตั่วเจ้ ก็ไม่มาฝึกอีก...เหลือผมกับพี่ชายอีกคนนึง ฝึกกันไป ผมลงไปท่องญาณ 8 พี่ชายก็ยังคงฝึกมโนมยิทธิไม่ผ่านต่อไป...

    (อาทิตย์หน้าเดี๋ยวมาเล่าต่อ...)


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2013
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    พี่ระมิงค์...อาทิตย์หน้าเชียวเหรอคะ..
    ครูติงอดทนนะ...หายใจเอาไว้....รอพี่มา ๕๕๕๕
     
  16. ยอดชา

    ยอดชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +136
    รบกวนถามท่าน raming ครับ กรณีที่เราก่อกรรมเบียดเบียนสัตว์มามาก และผิดศิลนับครั้งไม่ถ้วนนี้ จะมีวิธีไหนหนีอบายภูมิได้บ้างครับ ปัจจุบันรักษาศิล5 สวดมนต์ภาวนา และสมาธิ แผ่บุญทุกวันครับ สมาธิงูๆปลาๆครับ นั่งแบบนิ่งสงบได้ไม่นานครับ (นั่งกำหนดอะไรไม่ได้ทั้งนั้นครับ ต้องนั่งเฉยๆไห้เขาพาไปเลื่อยๆครับ(เขาก็คือสมาธินะครับ)ส่วนมากจะกลายเป็นเพ่ง ตรงหว่างคิ้วนะครับ) ขอบคุณที่ตอบนะครับท่าน
     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,482
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +70,077
    ...มีสักกี่คน ที่กล้าจะยอมรับ และบอกเล่าความผิดพลาดของตน

    เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่คนข้างหลัง ที่จะไม่เสียเวลา ในวังวน

    ขออนุโมทนา กับสิ่งที่ถ่ายทอดไว้ ด้วยจิตเจตเจตนาอันดีงาม
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ปัจจุบันได้ตั้งใจรักษาศีล5 แล้วก็นับเป็นการปิดกั้นความชั่วไม่ให้ผ่านเข้ามาได้อีก นับเป็นสิ่งที่ดีแล้วครับ...
    ต่อจากนี้ต้องรู้จักให้อภัย...
    คนแรกที่คุณต้องให้อภัยคือ ตัวคุณเอง...
    อภัยให้กับความผิดพลาดที่ผ่านมาของตัวเอง...แล้วเลิกสนใจไปเสีย...การจดจำสิ่งไม่ดีที่ผ่านมา นอกจากทำร้ายจิตใจตัวเองแล้ว ไม่ได้ทำให้เจริญในธรรมได้เลย...เอากำลังใจที่นึกถึงนั้น มาระลึกถึงผลบุญที่ได้กระทำในปัจจุบันจะดีกว่า...สิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี่สิ จะเป็นตัวกำหนดอดีต และอนาคต...ดังนั้นจึงบอกคุณว่า ต้องอภัย ตัวคุณเองก่อน...หยุดลงโทษ โกรธ เกลียด ตัวเอง...

    เรื่องกฎของกรรม มีการก่ายซ้อนกันทั้งเหตุการณ์และห้วงเวลาอยู่ซับซ้อนยิ่ง..การที่คุณมาทำผิดศีลนี้ มีหลายครั้งที่กฎของกรรมมันบีบให้เป็นไป เพื่อให้กรรมนี้ยังเป็นใหญ่เหนือสรรพสิ่ง...ผมจะยกเหตุการณ์ที่พระโมคคัลลานะ โดนโจรรุมกันทุบตีจนกระดูกแหลก...ถามว่าโจรเหล่านั้นไม่รู้หรือว่านั่นเป็นพระอัครสาวกด้านฤทธิ์ ไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ไม่รู้หรือว่าฆ่าท่านแล้วตัวเองไม่รอดจากอาญาร้ายแรง ในเมื่อขณะนั้นคนทั้งหลายรู้จัก ยกย่อง สรรเสริญ พระโมคคัลลานะ ... การจะฆ่าใครสักคนต้องไปสืบเรื่องคนผู้นั้นก่อน ฆ่าครั้งแรกไม่ได้ครั้งที่สองไม่สำเร็จยังตามฆ่า รุมฆ่า ต้องฆ่าให้ได้ ... นี่ก็เพราะกฎของกรรม ที่พระโมคคัลลานะทำไว้ ต้องบีบบังคับให้เป็นไป... ดังนั้นหลายๆอย่างที่ได้ผิดพลาดไปนั้น จึงไม่อยากให้ย้อนกลับไปครุ่นคิดมากนัก เอาประโยชน์ในปัจจุบันจะดีกว่า

    หมั่นแผ่เมตตาให้กับตัวเองก่อน...พระอาทิตย์จะส่องแสงสว่างให้กับสรรพสิ่งมีชีวิตในจักรวาลนี้ได้ ก็ด้วยอาศัยแสงสว่างที่เกิดจากที่ดวงอาทิตย์ก่อน ฉันใด คนที่จะแผ่เมตตาได้ ต้องมีเมตตาเกิดขึ้นภายในดวงจิตดวงใจของเขาเองเสียก่อนจะแผ่ออกไปให้กับสรรพสิ่งให้ได้รับเสมอกัน...

    สมาธิอย่างที่คุณทำอยู่ผมก็เคยทำมาก่อน ทำมาหลายปี เพ่งไปทั้งที่รู้ว่า สมาธิคือการตั้งใจมั่น แต่ไม่รู้ว่าใจจะตั้งมั่นยังไง มันก็เลยเพ่ง รู้ว่าเพ่งมันผิด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกจากอาการเพ่งได้อย่างไร...สุดท้ายก็ลืมตา แล้วมองพระพุทธรูปที่ผมชอบ ผมมองแล้วสบายใจ ผมเอาเพียงเท่านั้น... ใครจะเข้าสมาบัติ8 เข้านิโรธได้ ใครจะเข้าฌาณสลับฌาณกันได้คล่องขนาดไหน มันก็เรื่องของท่านผู้นั้น ผมทำได้เท่านี้ ผมพอใจเท่านี้ ผมไม่ได้มีบุญญาธิการ วาสนา บารมี อย่างท่านทั้งหลายที่มีกันมา แต่ว่าผมไม่ท้อ ผมจะทำของผมไปเรื่อยๆ ผมเดินทีละก้าว แบบเต่าเดิน แต่เดินไม่หยุด จะผิดทางหลงทางบ้าง ผมอาศัยว่าทำไปไม่หยุด วันนึงมันต้องถึงเป้าหมาย...

    เวลาทำสมาธิแล้ววันไหนจิตสงบรวมได้ ผมก็ว่าดี...
    วันไหนทำสมาธิแล้ว จิตไม่รวม สมาธิไม่ดี ผมก็ว่าดี มันได้เห็น อนิจจัง คือไม่เที่ยง ทุกขัง คือทนอยู่ในสภาวะนั้นนานๆไม่ได้ อนัตตาในที่สุดก็สลายตัวไป...
    ผมจึงน้อมมานึกว่า สมาธินี้เป็นของดี ทำได้ยากในหมู่มนุษย์ ยังหนีไม่พ้นไตรลักษณ์ แล้วร่างกายผมที่เป็นของทั่วไปในสรรพสัตว์ทั้งหลายมี ย่อมเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์เช่นกัน ร่างกายนี้ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ในที่สุดก็สลายไป...

    พอถึงเวลาสมาธิสงบรวมตัวกันดี ผมก็รู้สึกว่า ความสงบอย่างนี้เคยมีมาแล้ว มันก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดว่าเป็นเราเป็นของเราว่าตัวว่าตนของเรา แล้วไม่ต้องไปวางอะไร เพราะผมไม่รู้ว่าจะยึดไปทำไม ผมทำของผมไปเฉยๆ ใครจะว่าทำสมาธิแล้วนิ่งๆโง่ๆ ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมก้มหน้าก้มตาของผมไป ใครจะว่าอ้าว..นี่มันวิปัสสนานี่ ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะผมไม่ได้สนใจภาษาเรียกมากนัก

    ผมสนใจแต่ว่า ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง(ในตัวตน)นั้น มันลดลงบ้างไหม ลดไม่ได้ก็พอจะระงับได้บ้างไหม สิ่งที่ชาวโลกนับถือกันว่าทุกข์แสนทุกข์ผมทุกข์น้อยลงบ้างไหม สิ่งที่ชาวโลกยกย่องว่าสุขแสนสุข ผมบรรเทาสุขนั้นลงได้บ้างไหม...ผมเอาแค่นี้เอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2013
  19. ยอดชา

    ยอดชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +136
    ขอบคุณครับ ผมจะพยายามวางไห้ได้ครับ
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คำถามหนึ่งที่ผมอยากรู้ หลายๆคนก็อยากรู้เช่นกัน คือ ผมควรฝึกกรรมฐานกองไหนดี จึงจะถูกกับจริต...ช่วงบ่ายๆ ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อฤษีท่านจะออกมานั่งรับแขกที่ตึกรับแขกใหม่ คนที่เข้าไปหาหลวงพ่อมีจำนวนไม่มากนัก จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะถาม แม้ว่าจะกลัวๆอยู่บ้างก็ตาม...


    หลวงพ่อตอบว่า "ชอบกรรมฐานกองไหน ฝึกแล้วสบายใจ ก็ฝึกกองนั้น ส่วนเรื่องของจริต มีทั้งหมด 6 อย่าง ที่ว่าใครจริตแบบไหนนั้น ผู้ที่จะบอกได้มีเพียงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น" ผมกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ผมชอบกสิณไฟ" หลวงพ่อก็สวนมาว่า "ถ้าชอบเตโชกสิณก็ฝึกเตโชกสิณ" ผมถามถึงเรื่องสติปัฏฐาน 4 เพราะทราบว่าเป็นทางสายเอก...หลวงพ่อท่านตอบว่า"สติปัฏฐาน4 ไม่เกี่ยวกับเรื่องจริต ฝึกได้ทุกคน"

    นี่ก็คงพอจะตอบข้อสงสัยของหลายๆคนที่สงสัยแบบเดียวกับผมได้ ซึ่งที่จริงแล้วหลวงพ่อเทศน์สอนได้ถูกต้องแล้ว ชอบกองไหนก็ฝึกกองนั้น...แต่ว่า ผมก็ยังสงสัย ผมสงสัยว่า ตกลงแล้วจริงๆนี่ผมชอบ กสิณไฟจริงไหม? แล้วถ้าผมฝึกไปที่สุดของกองนี้แล้วจะสำเร็จจริงๆไหม? พวกขี้สงสัยแบบนี้ คือวันๆเอาแต่สงสัย ไม่ทำอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอัน คนพวกนี้แหละที่หลวงพ่อไม่เอาไว้ในสำนัก...แต่ยกเว้นผม เพราะว่าคนอย่างผมนี่หน้าด้าน ไล่ไม่ไป ผมก็จะฝึกมโนมยิทธิไปนี่แหละ...ท่องญาณ8 กับครูเปี๊ยก เขาให้ไปไหนก็ไป ไม่ค่อยตอบกับเขาหรอกครับ...เพราะผมรู้สึกว่า อาจจะเป็นอุปทาน เนื่องจากแต่ละคนตอบกันได้เร็วเหลือเกิน แล้วที่เห็นกันเนี่ย ก็เหมือนในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนเอาไว้...

    มีอยู่ครานึง ครูเปี๊ยกพาไปดูที่สำนักพระยายม แล้วถามว่า มีใครเห็นคนที่รู้จักอยู่ที่นี่ไหม? ผมเห็นตาลุงช่างประปา ขี้ขโมย ที่อยู่ในสลัมคนนึง แกไปยืนรออยู่ ผมเลยตอบไปว่า เห็นลุงคนหนึ่ง...ครูก็ถามว่า รูปร่างอย่างไร ผมก็ตอบไป ...ถามว่าใส่เสื้อผ้าอะไร...คราวนี้ผมเห็น แต่ว่าไม่ตอบ ผมก็อยากจะรู้ว่า ในนั้นทั้งหมดมีใครเขาจะตอบเหมือนอย่างที่ผมเห็นไหม...ปรากฎว่ามีคนตอบหลายคน แล้วเสื้อผ้าที่เขาเห็น ผมก็เห็นทั้งแบบและสี เดียวกัน... แบบนี้ก็น่าจะเชื่อได้ว่าจริงไหม...เปล่าหรอกนะ ผมสงสัยว่า เป็นไปได้ไหมว่า คลื่นสมองที่เราคิดถึงอะไรสักอย่างนึง แล้วมันสื่อไปให้คนอื่นคิดตามๆกันกับที่เราคิด มันคืออุปทานที่เราสร้างขึ้น เหมือนเป็นพลังงานที่แผ่ออกไป แล้วไปกระเพื่อมใส่คนรอบข้างให้เขารู้สึกเหมือนอย่างที่เรารู้สึก...

    ผมจึงถูกด่าเรื่อง วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ... เวลานั้นผมเถียงนะครับ เวลานี้ผมก็ยังเถึยง ผมไม่ได้สงสัยในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่ได้สงสัยในมรรคผล นิพพานแต่อย่างใด...ผมสงสัยตัวผมเองว่าทำได้ตรงตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนหรือเปล่า เป็นไปตามพุทธพจน์บทพระบาลีไหม? เพราะผมมันยังไม่เอาไหน อยู่ๆจะมาเห็นโน่น นี่ นั่น เป็นผู้มีญาณวิเศษ อันนี้ต่างหากที่ผมสงสัย ผมสงสัยตัวผมเอง มันผิดด้วยหรือ แล้วสงสัยนี่มันก็ก่อให้เกิดปัญหา เมื่อเกิดปัญหาก็ทำให้ขบคิดเพื่อให้เกิดปัญญา ถ้าไม่สงสัยเลย มันก็มีสองอย่าง คือ รู้แจ้งหมดจดแล้ว กับอีกพวกนึงคือ โง่จนกระทั่งไม่รู้จะสงสัยอะไร...

    ทีเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ พระสารีบุตรฟังจบแล้วก็ยอมรับว่ายังไม่เชื่อเสียทีเดียว ขอนำไปลองปฏิบัติดูก่อน นั่นแสดงว่าพระสารีบุตรก็ยังสงสัยแล้วหาทางพิสูจน์ จนพบความจริงด้วยตัวเอง อย่างนี้น่าสรรเสริญ แต่พอผมจะสงสัยบ้าง กลับโดนด่า...

    คราวนี้ลองกันใหม่ ผมไปหาแม่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ... เสร็จแล้วผมก็ลองไปถามศิษย์พี่ว่า แม่ผมอยู่ที่ไหน...ใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับอย่างไร... พี่คนนี้แกเก่งใช้ได้เลยทีเดียว บอกมาก็ตรงกับที่ผมเห็นเหมือนกัน... ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเชื่อนะ เนื่องเพราะอาจเกิดจากความคิดผมเองที่สื่อไปถึง ก็เป็นได้... ผมจึงลองใหม่ บอกว่า พี่ชายผม แกเป็นผื่นคล้ายลมพิษ เพราะอะไร? นี่เวลาถามผมจะไม่ท้าวความ อ้างอิง แต่จะยิงตรงๆไปเลย แล้วถามแบบต้องตอบโดยไม่มีฐานข้อมูล... พี่คนนี้แกบอกเรื่องที่พี่ชายผมทำกรรมไว้กับไก่ ทำอย่างไร จึงเกิดผลออกมาเป็นเช่นนี้ อันนี้ถูกหมดเลยครับ...ซึ่งขณะนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้...และศิษย์พี่ท่านนี้ไม่เคยเจอพี่ชายผม แล้วผมก็ไม่ได้เล่าเรื่องใดๆเกี่ยวกับพี่ชายผมให้ฟัง....

    จากนั้นมาอะไรที่ผมอยากรู้ ผมจะไปกราบพระ ทูลถาม...เจอเทวดาก็ถามเทวดา เจอพระยายมราชก็ถามพระยายมราช...ดาวดวงไหนมีอะไร ใครอยู่ที่ไหน ทำไมกฎของกรรมจึงทำให้เกิดอย่างนั้นอย่างนี้ ... เวลานั้นใครเข้าใกล้ผมนี่ผมรู้ว่าเขาคิดอะไร เขาพูดไม่ตรงกับที่เขาคิด ผมสวนเลยนะ หงายเงิบไปตามๆกัน ครูฝึกรุ่นใหญ่ๆ เจอหน้าผมนี่เดินหนีหมด กลัวมันรู้ไส้รู้พุง...ไอ้เราเวลานั้นมันกำลังฮ็อท...

    ผ่านมาได้ 8 เดือนเท่านั้น ไปเห็นดวงจิตภารโรง ที่โรงเรียนที่พี่สาวสอนอยู่ จิตดำสนิท อาทิสมานย์กายเป็นอสุรกาย ตาโปนแดง...แสยะ ยิ้มน้ำลายเยิ้ม...คือถ้าแกตายไปตอนนั้น ภพภูมิของจิตจะส่งแกไปเป็นอย่างนั้น... เวลานั้น คำว่า โอปนะยิโก...พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว...เกิดขึ้นมาในจิต...มันไปเห็นว่า จิตเขาเลว แล้วจิตแกดีแล้วหรือ? การดูจิตเขาว่าดีหรือเลว มันทำให้จิตใจแกดีขึ้นไหม? หรือว่าเลวลง? การรู้การเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้วทำให้กิเลส ตัณหา อาสวะ แกลดลงไหม? ...

    เวลานั้น ใจมันร้องออกมาเลย...คนอีสาน ว่า ใจมันย่าน มันเกิดกลัวขึ้นมา มันอายแสนอาย... สาบานตรงนั้นเลยว่า ถ้าจิตใจเรายังไม่ดีแต่เพียงใด เรื่องจะไปดูจิตใจคนอื่นสำหรับเราจะไม่มีอีก การจะไปเที่ยวรู้เห็นสิ่งภายนอกไม่มีประโยชน์ไม่มีความหมาย อดีตชาติก็ผ่านไปแล้ว ไปสวรรค์ ไปพรหม ได้ก็เท่านั้น ความเลวเรายังไม่ลดลง ต่อไปนี้เราจะรู้จะเห็นแต่สิ่งชั่วในดวงใจของเรา...จะไม่เที่ยวไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านอีกต่อไป...รวมเวลาที่หลงติดอยู่ในทิพยจักขุญาณทั้งสิ้น 8 เดือน แต่ว่าคุณวิเศษเวลานั้นมันน่าลุ่มหลงเสียจริง ...

    ถอยออกมาได้ก็มาเร่งรัด อสุภกรรมฐาน ด้วยเล็งเห็นว่า สันดารของตัวเองนั้น มักมากในกาม ดังนั้นกรรมฐานกองนี้ จำเป็นต้องฝึก...


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...