หลวงพ่อมหาวิบูลย์ พุทธญาโณ พระอริยเจ้าผู้มากไปด้วยบุญฤทธิ์ แห่งวัดโพธิ์คุณ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย มันตรัย, 7 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    พระปิดตา

    พระปิดตาพิมพ์จิ๋ว ที่ศิษย์สร้างถวายครับ :cool:
    มาดูบรรยากาศที่ศิษย์จากร่มโพธิ์ไทรไปถวายเพลครั้งที่หลวงพ่อยังดำรงค์ขันธ์กันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    พระปิดตาด้านหน้าครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_~1.JPG
      _1_~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      50.9 KB
      เปิดดู:
      215
  3. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    รูปวาด

    ขออนุญาติพี่วรายุทธ นำรูปวาดหลวงพ่อมหาวิบูลย์ ของพี่มาลงโชว์นะครับ
    ด้านหลังหลวงพ่อเมตตลงอัขระให้ครับ:cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0836.JPG
      IMG_0836.JPG
      ขนาดไฟล์:
      52.3 KB
      เปิดดู:
      140
    • IMG_0838.JPG
      IMG_0838.JPG
      ขนาดไฟล์:
      54 KB
      เปิดดู:
      165
  4. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ภาพเสกล๊อกเก็ตพุทธบริษัท ๔ หลวงพ่อมหาวิบูลย์

    ภาพเสกล๊อกเก็ตพุทธบริษัท หลวงพ่อมหาวิบูลย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ๒๕๕๓

    หลังจากคุยเรื่องทอดผ้าป่ากับท่านเรียบร้อยแล้ว

    ท่านก็เมตตาให้ธรรมะ ข้อคิดต่างๆแก่พวกเรา

    เล่าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในพระธรรมจักร

    และชวนให้อยู่ร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์หอฉันหลังใหม่

    ในช่วงสายวันนั้น ระหว่างมีเวลาว่างชาวคณะจึงได้

    ลงมาเวียนเทียนรอบพระธรรมจักรและพระอุโบสถ

    ซึ่งนับว่าเป็นโอกาศอันเป็นมงคลยิ่งที่ได้เวียนเทียน

    ในวันมาฆบูชาที่วัดโพธิคุณครับ

    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    โดยในวันนั้นมีคณะนักเรียนจากโรงเรียนเซนต์โยเชฟ แม่ละมาด
    มาเข้าค่ายปฏิบัติธรรม ดูแล้วน่าปลื้มใจมากๆ ที่เด็กวัยรุ่น
    ต่างสนใจมาปฏิบัติธรรม ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ก่อนถึงเวลาวางศิลาฤกษ์หลวงพ่อก็พาพวกเรา

    ไปยังพิธี พร้อมทั้งชี้ให้ดูสถานที่ๆจะก่อสร้างพร้อมทั้ง

    กำหนดระยะเวลาในการก่อสร้างไว้ไม่เกิน 7 เดือนครับ

    เมื่อจวนจะได้เวลาท่านก็นำไม้มงคลมาปัก

    พร้อมทั้งเมตตาอธิบายให้ฟังถึงเหตุผลในการปัก

    ว่าเทวดามี 15 ชั้นฟ้า เพราะฉนั้นไม้มงคลที่ฝังนี้

    บวกกันทั้งในแนวตั้งและแนวนอนจะต้องได้ 15 ครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    งานวางศิลาฤกษ์

    หลวงพ่อท่านไม่เคยให้ยึดติดเรื่องวัตถุมงคล ใครไปกราบท่าน ก็มักจะได้ธรรมะ ข้อคิด คติเตือนใจติดตัวกลับมา แต่พระเครื่องที่ท่านมอบให้ ก็เพื่อละลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    อีกไม่นานเกินรอจะมีของดีมาร่วมสนุกกันอีกนะครับ ยังไงขอให้ส่งชื่อให้ด้วยนะครับอีกสามท่านทีเหลือ ของดีต่อไป ไม่ธรรมดานะครับ
     
  10. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    รัตนรังสี

    เหรียญรัตนรังสี เนื้อนาคครับ :cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    18,958
    ค่าพลัง:
    +53,093
    กราบหลวงพ่อมหาวิบุลย์ ครับ

    พี่มันตรัย น่าจะเผยแพร่ ตั้งแต่ปีก่อนๆ โน่นนะครับ ปีก่อนผมไป แม่ระมาด ตั้งสองครั้ง น่าเสียดายจัง .............ยังดีที่ได้ไปวัดดอนแก้ว ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC10788.JPG
      SDC10788.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      144
    • SAM_0011.JPG
      SAM_0011.JPG
      ขนาดไฟล์:
      466 KB
      เปิดดู:
      100
    • SAM_0053.jpg
      SAM_0053.jpg
      ขนาดไฟล์:
      257.6 KB
      เปิดดู:
      122
    • SAM_0050.jpg
      SAM_0050.jpg
      ขนาดไฟล์:
      299.5 KB
      เปิดดู:
      111
    • scan0004_resize.jpg
      scan0004_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      378.2 KB
      เปิดดู:
      136
    • scan0005_resize.jpg
      scan0005_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      389.9 KB
      เปิดดู:
      124
  12. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    น้อมลำลึกธรรม

    เรื่องราวความประทับใจของศิษย์หลวงพ่อมหาวิบูลย์ ขออนุญาตินำมาเผยเผ่ในเวปพลังจิตนะครับ:cool:
    ปฐมบท
    กราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อมหาวิบูลย์ พุทธญาโณ
    ใต้ร่มพระคุณ เนื้อนาบุญแห่งพระรัตนตรัย
    "หลวงพ่อ" ผู้ที่ทำให้รำลึกถึงพระสังฆคุณอันยิ่งใหญ่ในชีวิตหนึ่ง
    กรรมใดที่อาจได้อาจล่วงเกินในพระเดชพระคุณหลวงพ่อใหญ่
    ด้ายกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
    ขอองค์ท่านได้โปรดงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้น
    คำสอนใดที่ท่านได้เมตตาได้สั่งสอนไว้
    "ปริญญาชีวิต" ปัจฉิมโอวาทที่ท่านฝากไว้
    จะใคร่ครวญและเจริญรอยตามต่อไป _/|\_ _/|\_ _/|\_

    ขออนุญาตผู้ดูแลเว็บทุกท่าน
    ขออนุญาตตั้งกระทู้จากกระทู้แจ้งข่าวจากพี่หมี
    เป็นความตั้งใจเดิมของผม ที่อยากบันทึกธรรมะสั้นๆ ที่ท่านได้เคยเมตตาให้ไว้ ตามสติกำลัง
    ธรรมะของท่านที่ได้ฟังทุกครั้งจี้ลงที่ใจ ให้ยึดมั่นในคุณความดี
    และธรรมะหลายๆ ข้อที่ท่านได้แสดงไว้ บางอย่างก็ปรากฏให้เห็นชัด
    และรำลึกได้ในภายหลัง เป็นธรรมานุสติ คอยย้ำเตือนให้อยู่ในธรรมทุกเมื่อ
    จะขอค่อยๆ เขียนไว้ มิให้สูญหายเพื่อคอยย้ำเตือนตนเอง
    และหวังว่าคงเป็นประโยชน์แด่ทุกท่านครับ
    สัมผัสแรกแห่งความเมตตา

    ขอเล่านิดนึงว่า ครั้งแรกที่มีโอกาสได้กราบท่าน ประมาณปี พ.ศ. 2543
    ตอนนั้นเรียนอยู่ ม.4 โดยคำแนะนำของครูบาอาจารย์ได้ชี้แนะให้มากราบท่าน
    ที่กุฏิ วัดอินทาราม ตลาดพลู จำได้ว่าพอทราบข่าวว่าท่านลงมา กทม.
    ก็ไปพบท่านประมาณ 1 ทุ่ม ปรากฏว่า กุฏิปิดเงียบ แต่ข้างในเปิดไฟอยู่
    ท่านพระครูสุตวุฒิคุณ (พระอาจารย์มหาปรีชา) ผู้ดูแลกุฏิได้บอกว่า
    ให้เคาะประตูกุฏิได้เลย ตอนนั้นก็กล้าๆ กลัวๆ เคาะประตูกุฏิกันแบบผู้ใหม่ และเด็กด้วย

    ทันใดนั้น ท่านก็เปิดออกมา เลยเรียนท่านว่า มากราบหลวงพ่อครับ
    ท่านเมตตาให้เข้ามาในห้อง และได้กราบท่านแบบสองต่อสอง
    ท่านได้เมตตาแสดง "มหาสติปัฏฐานสูตร" คือ การพิจารณา กาย จิต ธรรม
    ด้วยสมองเด็กๆ ตอนนั้น น่าเสียดายว่า จำไม่ค่อยได้
    จำได้แต่ว่า ก็คือให้พิจารณาในกายนี้แหละ

    แต่ที่จำได้ไม่ลืม คือ ท่านเมตตามากๆ ไม่ถือเด็กที่ไม่รู้วิสาสะ ในตอนนั้นเลย
    ท่านแสดงธรรมติดต่อกันประมาณสัก2ชั่วโมงได้ จนผมเกรงใจท่านต้องขอกราบลาออกมา
    นับตั้งแต่นั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้สถิตในดวงใจตลอดมา
    หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสได้กราบนมัสการท่านบ้าง
    เมื่อทราบข่าวว่าท่านลงมา กทม.
    คิดจะบวชก็เป็นนาคแล้ว

    ถึงแม้ว่าท่านจะเมตตาลงมากรุงเทพบ่อยๆ ในช่วงนั้น
    แต่ช่วงที่ผมเรียนปริญญาตรี ก็ห่างหายไปพักหนึ่ง
    เพราะไม่ทราบข่าวของท่าน อีกทั้งติดขัดด้วยธุระการเรียน
    เมื่อลงเรียนจนครบถ้วนทุกวิชา และมีผลแน่ชัดว่าเรียนจบแน่
    ผมได้คิดจะอุปสมบทตามประเพณี ก็เป็นเหตุบังเอิญมาก
    ที่ได้มาพบกับท่านอีกครั้ง ท่านลงมา กทม. พักที่วัดอินทาราม
    ช่วงนั้นพระอุปัชฌาย์ได้ให้วันที่จะอุปสมบทแล้ว
    คือวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ตอนนั้นประมาณต้นเดือนธันวาคม
    จึงได้เข้าไปกราบเรียนท่านว่า จะอุปสมบทตามวันดังกล่าว

    เนื่องจากตอนนั้นมีญาติโยมมากราบท่านมาก
    ท่านได้ให้โอวาทสั้นๆ ว่า

    "อาตมาอนุโมทนาด้วย แค่คิดจะบวช ก็เป็นนาคแล้ว
    ให้ตั้งใจถือศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่จะบวช"


    การอุปสมบทเป็นการยกฐานะตนและหมู่ญาติ

    ภายหลังเมื่อได้อุปสมบทแล้ว 3 เดือน คือ คือเดือน มีนาคม พ.ศ. 2548
    ครูบาอาจารย์ท่านได้พามาฝากไว้ที่วัดโพธิคุณอยู่ภายใต้การปกครอง
    ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวิบูลย์เป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
    และตอนนั้นก็เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ได้มาสัมผัสวัดโพธิคุณ

    กราบท่านครั้งแรกในสมณเพศท่านก็เมตตาสนทนาเกี่ยวกับการบวช
    ว่าสมัยก่อน เขาบวชกันก็อย่างน้อย 5 พรรษา ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่
    แล้วท่านก็ถามให้ว่า "ท่านจะบวชมั้ยครับ 5 พรรษา"
    ได้แต่นิ่งกราบเรียนท่านในใจว่า
    "ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าเพศบรรพชิตที่สมบูรณ์นั้นไม่ง่ายเลยครับ"

    ท่านก็เมตตากล่าวว่า
    การบวชนอกจากจะเป็นการยกฐานะผู้บวช ที่ใครๆ ก็จะเรียกว่า "พระ" แล้ว
    ยังเป็นการยกฐานะ ทั้งครอบครัว ทั้งญาติ ด้วย
    อย่างแม่ ก็จะได้ยกย่องเป็น "แม่พระ"
    พ่อ ก็จะได้ยกย่องเป็น "พ่อพระ"
    พี่ ก็จะได้ยกย่องเป็น "พี่พระ" เป็นต้น

    ปล.จากคำถามที่ท่านถามเรื่อง 5 พรรษา
    มาคิดภายหลังท่านคงทดสอบกำลังใจต่อไป
    ว่าพระองค์นี้เอาแน่หรือไม่
    เตือนสติพระน้อย

    ตอนที่มาอยู่ที่วัดโพธิคุณ
    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พอมีกิจนิมนต์ไปสวดมนต์ในบ้าน
    ที่ตัวเมืองแม่สอดบ้าง แต่เนื่องจากยังเป็นผู้ใหม่
    จึงยังต้องฝึกหัดอยู่ที่วัดไปก่อน
    ในใจก็คิดอยากไปดูความเป็นของชาวเมืองบ้าง
    แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาสักที จนเมื่อได้โอกาสที่ได้รับนิมนต์บ้าง
    รู้สึกว่าจิตใจหึกเหิม ไปตามความอยากมีอยากเป็น
    ห่มผ้าจีวร ไปที่กุฏิหลวงพ่อมหาวิบูลย์
    เพื่อไปขึ้นรถพร้อมกับหลวงพ่อ และพระรูปอื่นๆ

    รออยู่สักพัก หลวงพ่อก็ห่มผ้าออกจากกุฏิ
    พอท่านเห็นพระน้อยจากกรุงเทพฯ ผู้นี้
    ท่านก็ส่งยิ้ม พูดสั้นๆ เย็นๆ ว่า

    "เขานิมนต์ท่านด้วยหรือครับ!"

    ตอนนั้นได้แต่ยืนตัวเกร็งชา ที่ภาวนามาไม่เห็นความโลภของตนเอง
    จนหลวงพ่อได้เตือนถึงรู้สึกครับ
    หลวงพ่อผู้มีกิริยาและวาจาอันงามสง่า

    ในช่วงแห่งการบวช หลวงพ่อมหาวิบูลย์
    ผมสามารถกล่าวถึงท่านอย่างเต็มปากว่า "หลวงพ่อใหญ่"
    เพราะท่านเป็นผู้สูงส่งด้วยวัยวุฒิ
    มากกว่าท่านอื่นๆ ที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปในสำนักของแต่ละท่าน
    และเท่าที่สังเกตจากที่ท่านสนทนากับพระรูปอื่น
    แม้แต่ตัวผมเองที่เป็นพระน้อย ท่านก็สนทนาด้วยความเมตตาเป็นกันเอง
    ทุกๆ ประโยคที่ท่านกล่าวแทนตนว่า "ผม" และจะลงท้ายด้วย "ครับ" ทุกประโยค
    และเป็นวาจาที่สุภาพทุกคำ

    และในช่วงนี้เองที่ได้มีโอกาสร่วมในงานวันเกิดหลวงพ่อ
    ในปีนั้นคือ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 หลวงพ่อมีอายุ 71 ปี
    งานจัดแบบเรียบง่าย ลูกศิษย์หลวงพ่อไม่ว่าพระเล็กพระน้อย
    ได้ทราบข่าวก็มาร่วมงาน แบบไม่ต้องมีหนังสือนิมนต์
    และหลวงพ่อก็ให้เกียรติพระทุกรูป โดยให้ขึ้นเจริญพระพุทธถวายท่านทุกองค์
    ตำแหน่งของผม ก็อยู่เกือบท้ายๆ แถวแล้วครับ

    งานจัดแบบเรียบง่าย หลวงพ่อถือไมค์กล่าวนำ มีการเจริญพระพุทธมนต์
    แล้วหลวงพ่อนอนอยู่บนโลง ให้ประธานสงฆ์ ทำบังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย
    เพื่อเป็นมรณานุสติ เสร็จแล้ว หลวงพ่อถวายไทยธรรมพระทุกรูป
    และที่ประทับใจก็คือ หลวงพ่อมอบไทยธรรมด้วยตัวท่านเองแก่พระทุกรูป
    ตั้งแต่ต้นแถว จนถึงปลายแถว ทุกๆ องค์ที่มอบ ท่านจะโค้งตัวลงเล็กน้อย
    และรับไหว้ทุกรูป เป็นกิริยาที่ประทับใจ และรู้สึกเป็นงานที่มีเกียรติอย่างยิ่ง
    ในสมณเพศนั้น

    ในปีถัดมาที่มีพิธีใหญ่ฉลองอายุ 72 ปี ภาพที่น่าประทับใจก็คือ
    ท่านรับน้ำพระพุทธมนต์ จากพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 9 รูปทุกองค์อย่างนอบน้อม
    มีพระอรรถกิจโกศล (เจ้าคุณธงชัย) วัดพระรามเก้ากาญจณาภิเษก กทม.
    ท่านไม่กล้าพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้หลวงพ่อ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์
    ท่านขอให้หลวงพ่อพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ท่านแทน ดังภาพที่แสดงครับ <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ต่อเลยครับ

    เหตุแห่งอภิญญา

    เป็นพระกรรมฐานอย่าเป็นบ้าหอบฟาง

    วิธีติดต่อกับภพภูมิเทวดา

    ข้อปฏิบัติของผู้ที่ได้รับการฝึกฝนบวชมาแล้วต้องทำให้ได้

    หลักเกณฑ์การขอลาสิกขากับหลวงพ่อ

    ข้อเตือนใจเมื่อลาสิกขา

    คติธรรมปีใหม่

    คาถาดี

    กรรมกับสัตว์ที่ควรหลีกเลี่ยง

    ปัจฉิมวาจาที่จะไม่ลืม
    เป็นพระกรรมฐานต้องมีความพอดี

    ภายหลังจากที่อยู่กับหลวงพ่อที่วัดโพธิคุณในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ.2548
    เนื่องจากต้องลงมา กทม. ทำฟันทุกเดือน ในปลายเดือนจึงลงมา กทม.
    ต่อจากนั้นก็ได้ไปศึกษาข้อวัตรตามรอยพระบูรพาจารย์ ตามความตั้งใจก่อนบวช
    ที่วัดป่าภูริทัตตถิราวาส บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    และจากนั้นก็ไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
    พอออกพรรษาในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ.2548 ต้องลาสิกขา
    ด้วยเหตุว่า จะไปรับพระราชทานปริญญาบัตร ในเดือนธันวาคมต่อมา
    จึงตั้งใจไปกราบลาครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงพ่อมหาวิบูลย์
    เพื่อให้ท่านเมตตาได้ดูฤกษ์ลาสิขาให้

    เนื่องจากบวชมาได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มรู้ว่า
    จะต้องมีอะไรบ้างให้พอสมควรแก่สมณเพศ บางอย่างก็ดูเกินพอดีไป
    แต่ก็คิดว่า ยังพอพกได้ ไม่ต้องไปหาเอาข้างหน้า
    จึงรวบรวมของเดินทางด้วยรถประจำทางขึ้นไปที่แม่สอด
    โดยบอกกับคนรถว่า พอถึงวัดโพธิคุณให้จอดด้วย กระเป๋ารถรับทราบเป็นอย่างดี

    รถเดินทางใกล้จะลงเขาตรงแม่สอด ตอนนั้นก็ก่ะไม่ถูกว่าใกล้จะถึงวัดหรือยัง
    พอดีเอะใจว่า ทำไมผ่านมานาน กระเป๋ารถไม่บอกสักที จึงเดินไปถามเขา
    เขาตกใจ บอกว่า ขอโทษทีลืมบอกไป เลยมาสักสองโค้งได้ หลวงพี่ลงตรงนี้เดินไปอีกนิดเดียว
    ก็เลยลงรถตรงนั้นแล้วค่อยๆ เดินผ่าความมืดตอนตี 4 นั้นแหละ

    ด้วยการเดินตามถนนไต่ขึ้นเขานี่แหละ จึงได้รู้ว่า
    ข้าวของบริขารที่พกมานั้นแหละ เกินพอดีเสียแล้ว
    ต้องเดินไป แล้วก็หยุดไปอยู่หลายๆ สิบครั้ง จนกว่าจะถึงวัด
    ไปถึงวัด ก็ไม่ได้บอกกับใครเลยว่า นั่งรถเลยมา เหนื่อยมาก

    พอสว่างจึงได้ไปกราบนมัสการรายงานตัวกับหลวงพ่อ
    ประโยคแรกๆ ที่ท่านเอ่ยขึ้นมาก็ถึงกับสะดุ้ง มีใจความว่า

    สมัยก่อนที่เดินธุดงค์เดินทางกัน จะพกแต่บริขารที่จำเป็น
    มีผ้าสามผืนเป็นต้น ไตรครองก็ชุดเดียว ไม่อย่างนั้นเดินทางลำบาก
    ต้องคอยรักษาสิ่งของด้วย

    เหตุแห่งอภิญญา

    เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า คราวแรกที่ได้ไปพำนักที่วัดโพธิคุณของผมนั้น
    ได้เข้าไปศึกษาและสนทนาธรรมกับหลวงพ่อน้อยมาก
    เนื่องจากด้วยความเป็นพระน้อย เป็นผู้ใหม่ของสถานที่
    อีกทั้งยังไม่ทราบอัชฌาสัยของหลวงพ่อ และข้อปฏิบัติของผู้ดูแลท่าน
    ถ้าหากทำอะไรทะเล่อทะล่าไป อาจถูกตำหนิ ไม่ใช่แค่ตนเอง
    อาจไปถึงสำนักที่ได้อุปสมบทศึกษามา
    ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนด้วย
    และเท่าที่สังเกต ท่านกำลังเตรียมความพร้อมส่วนตน
    อะไรบางอย่างของท่านอยู่ด้วย

    เมื่อมาในคราวที่สองหลังจากออกพรรษาแล้ว
    ก็เริ่มคุ้นเคยกับสถานที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    และหมู่คณะในวัดที่เริ่มเห็นความตั้งใจก็อำนวยความสะดวกเต็มที่
    หมู่คณะนั้นก็ขอขอบพระคุณ ณ ที่นี้ ได้แก่ อดีตหลวงพี่โต(ลาสิกขา)
    อดีตพระอาจารย์ชัยชนะ(ลาสิกขา) หลวงพี่คต หลวงพี่เสก(ลาสิกขา)
    หลวงพี่อภิรมย์ หลวงพี่ราม อดีตหลวงพี่อ้วน(ลาสิกขา) ลุงเอี้ยว เป็นต้น
    ยังมีอีกหลายๆ ท่าน และ หลายๆ คนที่นึกชื่อไม่ออก
    คอยแนะนำ ช่วยเหลือทั้งเรื่องการเป็นอยู่
    และดูเวลาที่เหมาะสมกับธาตุขันธ์หลวงพ่อ
    หลวงพ่อเอง ท่านก็เมตตานัดให้มาพบด้วย
    ที่นี่จัดว่าเป็นสังคมที่อบอุ่น เหมือนพี่เหมือนน้องกันอย่างแท้จริง
    ในครั้งนี้ได้เข้ากราบท่านบ่อยครั้ง บางวันเข้าทั้งช่วงกลางวัน และช่วงค่ำ
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไม่เหนื่อยเลยที่จะได้อบรม
    พระที่จะลาสิกขาผู้นี้ ครั้งหนึ่งอย่างน้อยก็เป็นชั่วโมง
    ได้อยู่วัดในช่วงนั้นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
    เป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนลาสิกขา
    แต่เป็นสัปดาห์ที่สำคัญ ที่ได้รับธรรมะจากหลวงพ่ออย่างเข้มข้น

    พอได้กราบรายงานตัวท่านเรียบร้อยแล้ว
    ก็ได้กราบเรียนถึงวัตถุประสงค์ คือ มากราบลาสิกขา
    และจะได้ขอฤกษ์มงคลในการลาสิกขา
    เพื่อจะได้ไปเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร
    หลวงพ่อไม่ว่ากล่าวอย่างไร เรื่องฤกษ์ลาสิกขา
    ท่านกล่าวว่าสำหรับวันจะให้ตรงกับวันที่เกิด
    ส่วนเวลาท่านจะตรวจให้อีกครั้ง ให้มาหาท่านใหม่

    ที่สำคัญคือ ได้กราบเรียนท่านว่า เมื่อลาสิกขาแล้วอาจจะไปศึกษาต่อ
    ท่านเห็นดีด้วยแล้วกล่าวว่า "ดีครับ" แล้วท่านก็ถามว่า
    "ท่านทราบมั้ยครับศาสตร์ต่างๆ ในโลกมีกี่ศาสตร์ครับ"
    ในตอนนั้นก็นั่งนึกตามชื่อวิชาที่เรียน และชื่อคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัย
    ได้แก่ สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น นับไปนับมามากมาย
    จนหลวงพ่อหัวเราะ แล้วท่านก็เฉลย "มี 18 ศาสตร์ ครับ"

    แล้วท่านก็อธิบายว่า พระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะออกผนวช
    ท่านได้ศึกษาศาสตร์เหล่านี้ จนสุดทางแห่งการศึกษา พระเวท และศาสตร์ทั้ง 18 ประการ
    แม้แต่พระสาวกที่ได้กล่าวกันว่า บรรลุธรรมกันมากมายนั้น
    ปรากฏว่าผู้ที่จะมีความสามารถในการเผยแพร่พระศาสนานั้น
    มีประมาณ 80 รูปเท่านั้น (ท่านน่าจะหมายถึง พระอสีติมหาสาวก)
    ท่านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้มีอภิญญา มีปฏิสัมภิทาญาณ ครบถ้วน
    สามารถนำมาใช้ประโยชน์ เพื่อพระพุทธศาสนาได้มหาศาล
    ญาณเหล่านี้มิได้จะเกิดขึ้นเอง ต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญไว้แล้ว
    เหตุหนึ่งคือ พระสาวกเหล่านี้ล้วนศึกษาศาสตร์ทั้ง 18 ประการมาอย่างแตกฉาน
    ดังนั้นถ้าหากมีโอกาสศึกษา ให้รีบศึกษาไว้ ทั้งปริญญา-ตรี-โท-เอก

    ท่านยกตัวอย่างตัวท่านเองว่า เมื่อท่านได้เปรียญธรรม 4 ประโยคแล้ว
    ท่านยังได้ไปศึกษาวิชาสามัญประโยคครูพิเศษมูล ไว้เป็นความรู้
    แต่เสียดายว่า ภาษาอังกฤษ ท่านเพียงท่องได้แต่ A-Z เท่านั้น
    สำหรับการศึกษา ท่านสนับสนุนเต็มที่ เพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาในภายหน้า

    ศิลปะศาสตร์ 18 ประการที่กล่าวถึง ประกอบด้วย

    1.อักษรศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาหนังสือ สามารถอ่านคัมภีร์ศาสนา ตำราวิชาการและประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้แต่โบราณกาลได้
    2. นิติศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชากฎหมายและจารีตประเพณีต่าง ๆ
    3. ฉันทศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาการประพันธ์ การแต่งหนังสือทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
    4. นิรุกติศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาภาษา รู้ภาษาของตนเองดี และรู้ภาษาของชาติอื่นที่ติดต่อเกี่ยวข้องกัน
    5. รัฐศาสตร์ ในศิลปศาสตร์ 18 ประการ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาการปกครอง รู้จักบริหารบ้านเมือง ทำให้ราษฎรมีความจงรักภัคดีและมีความสุข
    6. ยุทธศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ การใช้อาวุธ ต่าง ๆ ในการรบอย่างชำนาญ
    7. ศาสนศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาศาสนา รู้ประวัติความเป็นมาของทุกศาสนา และรู้คำสอนในศาสนาต่าง ๆ
    8. โหราศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาโหร รู้จักการพยากรณ์ เหตุการต่าง ๆ และรูจักทายชะตาราศรีของคน.
    9. โชยติศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาดูดวงดาวต่าง ๆ ให้รู้ว่าดวงดาวนั้น อยู่ทางทอศไหน รู้จักสีแสงของดวงดาว อันจะบอกลางดีลางร้าย
    10. คณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาคำณวน สามารถคิดเลขตั้งแต่จำนวนน้อย ๆ จนถึงเลขหลักสูง ๆ เกี่ยวกับราคาสินค้า พื้นที่ ปฏิทินและยุคต่าง ๆของโลก.
    11. คันธัพพศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาคนธรรพ์ คือวิชาร้องรำที่เรียกว่า นาฏยศาสตร์ และวิชาดนตรีปี่พาทย์ที่เรียกว่าดุริยางคศาสตร์.
    12. เหตุศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชารู้เหตุว่าจะเกิดผลดีหรือร้าย.
    13. เวชศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาหมอยา รู้จักสมุนไพรและวิธีปรุงยาแก้โรคต่าง ๆ.
    14. สัตวศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชารู้ลักษณะของสัตว์และเสียงของสัตว์ว่าร้ายหรือดี
    15. วาณิชยศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาการค้าขาย ให้รู้จักชนิดของสินค้า วิธีและเส้นทางการค้า
    16. ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาพื้นที่ ให้รู้จักแผนที่ของประเทศต่าง ๆ
    17. โยคศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชาช่างกล รู้จักกลไกของยานพาหนะและเครื่องมือต่าง ๆ
    18. มายาศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ วิชารู้กลอุบายหรือรู้ตำรับพิชัยสงคราม
    การพิสูจน์ภพภูมิ

    เนื่องจากความกังวลในช่วงจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ถ้าหากเสร็จธุระแล้ว
    และมีโอกาสสูงที่อาจจะหารถไปส่งที่สถานีรถประจำทางในเมืองไม่ได้
    จึงเกิดความเครียด ได้นำธูปมาจุดอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย
    ตลอดจนเทพยดาทั้งหลาย ได้ให้ความอนุเคราะห์พระน้อยนี้
    ให้มีรถไปส่งซื้อตั๋ว และไปส่งที่ท่ารถประจำทางวันกลับด้วยเถิด
    บ้างครั้งเรื่องเล็กๆ ของโยม ก็ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ของพระนะครับ

    พอดีวันนั้นได้เข้าไปฟังโอวาทจากหลวงพ่อมหาวิบูลย์
    ในช่วงหนึ่งท่านได้กล่าวถึงเรื่องภพภูมิเทวดาพอดี
    ท่านได้กล่าวว่า ปกติเทวดาทั้งหลาย เขารังเกลียดกลิ่นกายมนุษย์มาก
    โดยเฉพาะมนุษย์เป็นผู้มีกิเลส และไม่มีศีล กลิ่นยิ่งแรง
    ถ้าหากจะเข้าใกล้ จะใกล้มากที่สุดก็อยู่ห่างๆ
    เป็นสิบๆ เมตร (เรื่องระยะท่านกล่าวชัดเจนแต่จำไม่ได้)
    วิธีการที่จะทำให้สามารถใกล้ชิดเทวดาและภพภูมิพวกนี้
    คือเราต้องเป็นผู้เจริญเมตตาภาวนา ด้วยการแผ่เมตตาออกไปบ่อยๆ
    เมื่อเราเป็นผู้มีกระแสเมตตา เทวดาและภพภูมิต่างๆ
    ก็จะสามารถมาอยู่ใกล้เรามากขึ้น
    บางทีเราก็อาจสามารถติดต่อกับภพภูมิเหล่านี้ได้
    ที่สำคัญก็คือ จะทำให้เราเชื่อว่าภพภูมิเหล่านี้มีอยู่จริง
    และจะทำให้เชื่อในกรรม เชื่อผลของกรรมอย่างเห็นจริง


    ในภายหลังเมื่อเดินทางกลับ ท่านก็ได้เมตตาเป็นธุระเรื่องรถ
    และยังได้จัดรถเพื่อให้ไปกราบลา พร้อมส่งเสบียงไปที่
    หลวงพ่อสุจินต์ สุจิณฺโณ ครูบาอาจารย์ผู้เมตตาพาผม
    มาฝากตัวอยู่ในปกครองของหลวงพ่อมหาฯ
    ที่วัดหนองน้ำเขียว ที่อยู่ห่างจากวัดโพธิคุณ
    ไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร อีกด้วย
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ต่อครับ

    หลักเกณฑ์การลาสิกขากับหลวงพ่อ (1)

    สัปดาห์สุดท้ายนี้ ยังได้มีโอกาสลงฟังปาฏิโมกข์ร่วมกับคณะสงฆ์วัดโพธิคุณ
    รวมทั้งพระสงฆ์จากวัดอื่น โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อมหาวิบูลย์ เป็นประธานสงฆ์
    ก่อนหน้าวันดังกล่าวหนึ่งวัน ได้ขออนุญาตหลวงพ่อถ่ายรูปด้วยกล้องที่ติดมาด้วย
    ภายหลังจากฟังปาฏิโมกข์เสร็จแล้ว

    ปกติการลงปาฏิโมกข์ของวัดโพธิคุณ จะลงกันที่พระอุโบสถชั้น 3
    ชั้นที่มี พระตรีโลกเชษฐ์ เป็นพระประธาน บริเวณยกพื้นพรมแดง
    ผู้สวดจะนั่งบนตั่งไม้ ลงรักปิดทองประดับกระจกสี
    ในตอนสวด หลวงพ่อจะนั่งอยู่ด้านหลังตั่งทอง
    ปาฏิโมกข์ในครั้งนั้น มีพระอาจารย์ชัยชนะ (ลาสิกขา) เป็นองค์สวด
    ก่อนจะเริ่มสวด หลวงพ่อจะปลงอาบัติกับพระผู้สวด
    แล้วท่านจะถวายกระทงดอกมะลิ
    พร้อมติดปัจจัยแบบติดกัณฑ์เทศน์ให้พระผู้สวดด้วย
    ในช่วงเวลาที่ฟังสวด หลวงพ่อจะพนมมือนิ่งฟังด้วยความเคารพ

    ภายหลังการสวดเสร็จ หลวงพ่อให้โอวาทหลายอย่างหลายประการ
    เช่น ท่านถามลูกศิษย์ท่านรูปหนึ่งที่พึ่งไปอยู่ปาริวาสกรรม
    แต่ท่านรูปนี้ไปอยู่ปาริวาสค่อนข้างบ่อย จนหลวงพ่อได้อรรถาธิบายว่า
    การอยู่ปาริวาสที่แท้จริงเป็นอย่างไร
    เรื่องลูกศิษย์ท่านรูปหนึ่งที่ไปลาสิกขาโดยมิได้มาบอกลาท่าน
    มีพระในวัดที่ได้ขออนุญาตหลวงพ่อไปกราบสังขารพระเกจิในแม่สอดรูปหนึ่ง
    ไปแล้วได้ธรรมะหรือข้อคิดอะไรบ้าง เป็นต้น
    เหมือนพ่ออบรม ถามความประพฤติลูกๆ ของท่าน

    เรื่องหนึ่งที่ผมได้ฟังเป็นความรู้ และจะเป็นสิ่งที่จะต้องมาถึงตนเองในเร็ววัน
    คือ มีพระที่บวชในพรรษารูปหนึ่งจากวัดอื่นที่กำลังจะลาสิกขากับองค์หลวงพ่อในอีกไม่กี่วัน
    หลวงพ่อได้ย้ำให้พระรูปนั้นเกี่ยวกับการลาสิกขากับองค์ท่านเอง ว่า

    "จะลาสิกขากับผม ต้องท่องคำขอลาสิกขาให้ได้เองนะครับ
    ท่องไม่ได้ผมไม่บอก และไม่สึกให้นะครับ"

    "ก่อนลาสิกขา ต้องท่องทิศ 6 ให้ได้นะครับ ผมจะทดสอบก่อน
    ผมไม่มีโอกาสสอนท่านมากนัก
    ก็ขอให้นำหลักการของทิศ 6
    ไปใช้ในชีวิตฆราวาสครับ ท่องไม่ได้ผมก็ไม่สึกให้ครับ"

    "พอกล่าวคำลาขอสึกแล้ว ให้ท่องคำแสดงตนเป็นพูทธมามกะเอง
    แล้วก็อาราธนาศีล 5 เองด้วย ผมไม่กล่าวนำนะครับ จะได้นำไปใช้ในศาสนพิธีด้วยครับ"

    "ก่อนวันลาสิกขา ให้ทางบ้านหาเสื้อขาวกางขาวและหมวก
    ให้ซื้อแบบดีดีให้สึกแล้วใส่ไปไหนมาไหนได้
    ให้รู้ว่าเราเป็นบัณฑิต ผ่านการบวชเรียนแล้ว
    ให้นำบาตรใส่น้ำให้เต็ม ไปไว้ที่หน้ากุฏิผมด้วยครับ"


    ภายหลังจากที่ท่านแสดงโอวาทจบ ท่านจะลุกขึ้นกลับ
    ก็ได้กราบเรียนท่านเรื่องถ่ายรูป ท่านรับทราบ
    แล้วท่านก็หยิบผ้านิสีทนะ คือผ้ารองนั่งที่ท่านนั่งฟังปาฏิโมกข์ลงมาด้วย
    ทีแรกก็งงๆ ว่าท่านถือลงมาเพื่ออะไร แล้วก็มาเข้าใจ
    เมื่อท่านมาลงมือปูผ้าเอง ที่หน้าพระพุทธทศพลญาณ
    พระประธานในอุโบสถชั้นที่ 2 ดังที่เห็นในรูปนี้แหละครับ
    ตอนนั้นก็ได้ขอโอกาสหลวงพ่อถ่ายภาพเดี่ยวไว้
    พอดีมีโยมมากราบท่านพอดี เลยสถาปนาให้โยมท่านนั้นเป็นช่างภาพจำเป็น
    ถ่ายรูปหลวงพ่อคู่กับผม และต้องขอขอบคุณว่า ถ่ายออกมาได้ดีด้วย
    เป็นมหามงคลอีกประการในชีวิตสมณเพศนั้น
    ทิศ 6


    คำว่า ทิศ 6 หมายถึง บุคคลประเภทต่างๆ ที่เราต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ดุจทิศที่อยู่รอบตัวจัดเป็น 6 ทิศ เป็นข้อธรรมที่ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตนต่อบุคคลต่างๆรอบตัวเรา แบ่งได้ดังนี้
    1. ปุรัตถิมทิส (ทิศเบื้องหน้า) ได้แก่ บิดา มารดา
    2. ทักขิณทิสทิศ (ทิศเบื้องขวา) ได้แก่ ครูอาจารย์
    3. ปัจฉิมทิส (ทิศเบื้องหลัง) ได้แก่ สามีภรรยา
    4. อุตตรทิส (ทิศเบื้องซ้าย) ได้แก่ มิตรสหาย
    5. อุปริมทิส (ทิศเบื้องบน) ได้แก่ พระสงฆ์ สมณพราหมณ์า
    6. เหฏฐิมทิส (ทิศเบื้องล่าง) ได้แก่ ลูกจ้างกับนายจ้าง
    และที่สำคัญ ที่ท่องยากหน่อย แต่ต้องจำและปฏิบัติให้ได้ คือ

    1. บิดา มารดา สิ่งที่ควรปฏิบัติมีดังนี้

    มารดาบิดาอนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้
    ๑. ห้ามปรามจากความชั่ว
    ๒. ให้ตั้งอยู่ในความด
    ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
    ๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
    ๕. มอบทรัพย์สมบัติให้ในโอกาสอันสมควร

    บุตรธิดาพึงบำรุงมารดาบิดา ดังนี้
    ๑. ท่านเลี้ยงเรามาแล้วเลี้ยงท่านตอบ
    ๒. ช่วยทำกิจของท่าน
    ๓. ดำรงวงศ์สกุล
    ๔. ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
    ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วทำบุญอุทิศให้ท่าน


    ๒. ทักขิณทิสทิศเบื้องขวา ได้แก่ ครูอาจารย์ :

    ครูอาจารย์อนุเคราะห์ศิษย์ ดังนี้
    ๑. ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี
    ๒. สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
    ๓. สอนศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง
    ๔. ยกย่องให้ปรากฏในหมู่เพื่อน
    ๕. สร้างเครื่องคุ้มกันภัยในสารทิศคือ สอนให้ศิษย์ปฏิบัติได้จริง นำวิชาไปเลี้ยงชีพทำการงานได้

    ศิษย์พึงบำรุงครูอาจารย์ ดังนี้
    ๑. ลุกต้อนรับแสดงความเคารพ
    ๒. เข้าไปหา
    ๓. ใฝ่ใจเรียน
    ๔. ปรนนิบัติ
    ๕. เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ


    ๓. ปัจฉิมทิส ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ สามีภรรยา :

    สามีพึงบำรุงภรรยา ดังนี้
    ๑. ยกย่องสมฐานะภรรยา
    ๒. ไม่ดูหมิ่น
    ๓. ไม่นอกใจ
    ๔. มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้
    ๕. หาเครื่องประดับมาให้เป็นของขวัญ ตามโอกาส

    ภรรยาอนุเคราะห์สามี ดังนี้
    ๑. จัดงานบ้านให้เรียบร้อย
    ๒.สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
    ๓. ไม่นอกใจ
    ๔. รักษาสมบัติที่หามาได้
    ๕. ขยันไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง


    ๔. อุตตรทิส ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย :

    พึงบำรุงมิตรสหาย ดังนี้
    ๑. เผื่อแผ่แบ่งปัน
    ๒. พูดจามีน้ำใจ
    ๓. ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
    ๔. มีตนเสมอร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วย
    ๕. ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน

    มิตรสหายอนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
    ๑. เมื่อเพื่อนประมาทช่วยรักษาป้องกัน
    ๒. เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน
    ๓. ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้
    ๔. ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
    ๕. นับถือตลอดถึงวงศ์ญาติของมิตร


    ๕. อุปริมทิส ทิศเบื้องบน ได้แก่ พระสงฆ์ สมณพราหมณ์ :

    คฤหัสถ์พึงบำรุงพระสงฆ์ ดังนี้
    ๑. จะทำสิ่งใดก็ทำด้วยเมตตา
    ๒. จะพูดสิ่งใดก็พูดด้วยเมตตา
    ๓. จะคิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา
    ๔. ต้อนรับด้วยความเต็มใจ
    ๕. อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย ๔

    พระสงฆ์อนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดังนี้
    ๑. ห้ามปรามจากความชั่ว
    ๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
    ๓. อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี
    ๔. ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
    ๕. ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง
    ๖. บอกทางสวรรค์ สอนวิธีดำเนินชีวิตให้ประสบความสุขความเจริญ

    ๖. เหฏฐิมทิส ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ ลูกจ้างกับนายจ้าง :

    นายจ้างพึงบำรุงลูกจ้าง ดังนี้
    ๑. จัดการงานให้ทำตามกำลังความสามารถ
    ๒. ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและ ความเป็นอยู่
    ๓. จัดสวัสดิการดีมีช่วยรักษาพยาบาลในยาม
    เจ็บไข้ เป็นต้น
    ๔. ได้ของแปลกๆ พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
    ๕. ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาส อันควร

    ลูกจ้างอนุเคราะห์นายจ้าง ดังนี้
    ๑. เริ่มทำงานก่อน
    ๒. เลิกงานทีหลัง
    ๓.เอาแต่ของที่นายให้
    ๔. ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
    ๕. นำความดีของนายไปเผยแพร่

    จาก http://atcloud.com/discussions/60166
    หลักเกณฑ์การลาสิกขากับหลวงพ่อ (2)

    พระสงฆ์ที่ขอลาสิกขากับองค์หลวงพ่อ ถ้าหากกราบเรียนขอเมตตา
    ถ้าท่านอนุญาต และรับเป็นธุระแล้ว ถือว่าท่านจะทำให้อย่างดี
    แต่ก็ต้องผ่านกฏเหล็กดังที่ได้กล่าวไปแล้ว โดยเฉพาะพระที่บวชสั้นๆ
    ท่านจะเน้นย้ำเป็นพิเศษ คือเมื่อลาสิกขาไปแล้วจะไม่ได้อะไรออกไป

    เริ่มต้น ท่านจะบอกกฏเหล็กของท่าน แล้วท่านจะดูฤกษ์ยามให้
    โดยวางลักขณา ให้เหมาะสมถูกโฉลกกับผู้ลาสิกขา
    น้ำมนต์รวมทั้งชุดบัณฑิต ท่านจะเมตตาลงเตรียมไว้ให้ก่อนวันลาสิกขา

    ผมได้มีโอกาสนั่งเป็นพระลำดับ ผู้ที่จะลาสิกขาในหัวข้อก่อน
    เมื่อถึงฤกษ์ยามที่ท่านกำหนดไว้ พระทั้งวัดจะลงนั่งประชุม
    โดยหลวงพ่อเป็นประธาน ผู้ที่จะลาสิกขา นั่งตรงหน้าหลวงพ่อ
    เริ่มต้น หลวงพ่อจะทดสอบการท่องและความเข้าใจในทิศ 6 ก่อน
    แล้วท่านจะให้กล่าวคำลาสิกขา เสร็จแล้วไปผัดผ้ากาสาวพัตร์ออก
    เปลี่ยนเป็นชุดขาว ให้ทิดสึกใหม่ กล่าวคำแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
    อาราธนาศีล 5 และสมาทานศีล 5 เอง

    เสร็จแล้วให้ทิดสึกใหม่ ลงไปที่หน้าโบสถ์หันหน้าไปทิศตะวันออก
    หลวงพ่อเป็นผู้ลดน้ำพระพุทธมนต์เอง พร้อมกับพระสงฆ์ทั้งหมดในพิธี
    ลงไปเจริญชัยมงคลคาถา (ชะยันโตฯ)
    แล้วไปเปลี่ยนชุดขาวที่เปียกออกเป็นอีกชุด
    แล้วขึ้นไปรับ "ของดี" จากท่านเป็นอันเสร็จพิธี
    ซึ่ง "ของดี" ดังกล่าว หลวงพ่อจะเน้นย้ำว่า
    ไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไร แต่ให้เป็นสิ่งเตือนใจรำลึกถึงความดี

    ผมเองไม่ได้ลาสิกขากับองค์หลวงพ่อ
    เนื่องจากตั้งใจจะลงมาลาสิกขากับพระกรรมวาจาจารย์
    และเป็นพระผู้ปกครองผมด้วย ที่วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร
    แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมหาวิบูลย์
    ท่านได้เมตตาวางฤกษ์ และเขียนลักขณาไว้ให้แล้ว

    ศักดิ์ศรีของผู้บวชเรียนมาแล้ว:cool::cool::cool:

    แรกทีเดียวหลวงพ่อท่านกำหนดให้ลาสิกขาในวันอาทิตย์
    แล้วให้เพียรมาถามท่านอีกครั้งว่า จะให้เป็นช่วงเวลาเท่าใดของวัน
    แต่สุดท้ายท่านเปลี่ยนให้ไวขึ้นเป็นวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันอธิบดีของปีนั้น
    และท่านได้กำหนดเป็นเวลา 5.00 น.
    เมื่อได้วันเวลา จึงได้โทรไปกราบเรียน ท่านเจ้าคุณพระวิมลศีลาจาร
    พระกรรมวาจาจารย์ และพระผู้ปกครอง ที่วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร กทม.
    ที่แปลกก็คือ ท่านบอกว่า วันพฤหัสบดีดังกล่าว ตอนเช้าท่านว่างอยู่
    แต่พอสายๆ ท่านจะเดินทางไปต่างจังหวัด ไม่อยู่จนถึงวันจันทร์
    เป็นอันว่า ถ้าไม่ได้เปลี่ยนวัน คงไม่ได้ลาสิกขากับพระกรรมวาจาจารย์
    โดยที่ก็มิได้ทราบกำหนดการของท่านมาก่อน

    อย่างที่ได้อธิบายไว้ในเบื้องต้นว่าสัปดาห์สุดท้ายในวัดโพธิคุณมีคุณค่ามาก
    เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ให้โอกาส ให้ศึกษากับท่านอย่างเต็มที่
    ส่วนใหญ่เรื่องที่ท่านอรรถาธิบาย นอกจากธรรมะการดำเนินชีวิตแล้ว
    ก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับประวัติของท่าน ตั้งแต่เริ่มต้นที่จะบวช
    เรื่องโยมพ่อของท่าน การไปภาวนากับหลวงปู่แหวน
    หลวงปู่แหวนเล่าเรื่องหลวงปู่มั่นที่ถ้ำน้ำบัง
    การเดินธุดงค์ของท่านในสมัยก่อน เป็นต้น
    น่าเสียดายว่า หลายๆ เรื่องจำรายละเอียดไม่ค่อยได้มากนัก
    เป็นธรรมะบรรเทิง จากองค์หลวงพ่อที่คงหาไม่ได้อีกแล้ว

    แต่ธรรมะที่ท่านเน้นย้ำเมื่อลาสิกขาไปแล้ว
    ผู้ผ่านการบวชเรียน ฝึกฝน ศึกษามาแล้ว อย่างน้อยต้องทำให้ได้
    และต้องหมั่นถามตนเองบ่อยๆ ว่าทำได้หรือยัง คือ

    "ถ้าหากพ่อหรือแม่ของเรา ท่านจะต้องไปก่อนเรา
    เราจะต้องเป็นผู้นำทางให้ท่านให้ได้"

    "แต่ถ้าหากเราจะต้องไปก่อน
    เราจะต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรีนักปฏิบัติให้ท่านได้เห็น"

    ข้อคิดในวันลา (1)

    และวันสุดท้ายในวันโพธิคุณในสมณเพศก็มาถึง
    คืนก่อนที่จะออกเดินทางไปกรุงเทพฯ ได้ไปกราบทำวัตรหลวงพ่อ
    ในตอนนั้นไม่มีธูปเทียนดอกไม้ ขออนุญาติใช้สิบนิ้วประนม

    "มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวาระตะเย นะกะตังฯ"

    หลวงพ่อให้พร "สัพพีฯ" และ
    "โสอัถถรัทโท สุขิโตวิรุณโห พุทธสาสเนฯ" เป็นต้น
    หลวงพ่อยังได้กล่าวข้อคิดเป็นข้อสุดท้ายว่า

    "คนเราชอบขว้างความสุขไปข้างหน้า"
    คือ เมื่ออยู่ในภาวะใดที่ไม่ประสงค์ แล้วสามารถไปสู่ภาวะที่เคยต้องการแล้ว
    เมื่ออยู่ในภาวะนั้น ก็มักไม่พอใจ แล้วก็ยังคิดถึงภาวะที่ต้องการต่อไปอีก
    ถ้าไปถึงจุดนั้นอีก ก็คิดว่าน่าจะมีวามสุขกว่านี้
    นี่คือลักษณะของการขว้างความสุขไปข้างหน้า

    แล้วก็ได้ขอ "ของดี" หลวงพ่อไปบูชาเมื่อลาสิกขาไปแล้ว
    หลวงพ่อเมตตาให้ "รูปหล่อลอยองค์ พระเจ้าตากสิน"
    เมื่อได้ของแล้ว ได้กราบเรียนท่านว่า "ผมนับถือพระเจ้าตากครับ"
    หลวงพ่อได้กล่าวตอบกลับว่า "ผมก็นับถือ ท่านมีพระคุณมากครับ"

    สุดท้าย ท่านได้เมตตาบอกว่า
    "ต่อไปเมื่อลาสิกขาแล้ว จะไปทำอะไร สุขทุกข์อย่างไร ให้ส่งข่าวมาบอกบ้าง"

    เป็นสัปดาห์อันทรงคุณค่าที่ได้อยู่ใกล้ชิด
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผู้ทรงทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิ
    ได้ทราบถึงความเป็นอยู่ อัชฌาสัย และความเมตตาขององค์ท่าน
    กราบท่านตอนที่ผมยังเป็นฆราวาส ต่างกับตอนเป็นพระอย่างริบลับ
    ดูท่านจะเอาจริงเอาจังกับพระเป็นอย่างมาก

    ในอีกวันจึงได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ
    จึงได้ไปลา ท่านเจ้าคุณพระเทพวรคุณ
    เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร พระอุปัชฌาย์
    พระวิมลศีลาจารย์ พระกรรมวาจาจารย์
    พระครูสุจิณธรรมประยุต พระอนุสาวนาจารย์
    ตลอดจนพระเถรานุเถระที่เคารพนับถือในวัด

    ในตอนเช้าจึงได้ประกอบพิธีลาสิกขาตามฤกษ์ของหลวงพ่อ
    และอยู่วัดต่ออีก 3 วัน เพื่อรับใช้พระและเก็บความเรียบร้อยของกุฏิเดิม
    จากนั้นจึงได้เดินทางกลับบ้าน เป็นอันจบสมณเพศในครั้งนั้น
    ข้อคิดในวันลา (2)

    มีเรื่องเสริมเกี่ยวกับข้อคิดที่หลวงพ่อให้ในวันลา
    ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน และอาจจะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
    มีเรื่องที่ได้ยินมาจากผู้ที่ไปกราบลา และขอฤกษ์ลาสิกขาจากหลวงพ่อ
    เป็นอดีตพระที่ผมรู้จักสมัยบวชอยู่เหมือนกัน
    เมื่อท่านคิดจะลาสิกขา ก็ได้มาปรึกษาผมที่ลามาก่อนแล้ว
    ผมก็แนะนำว่า ให้ไปขอฤกษ์จากหลวงพ่อ
    ตลอดจนให้ฟังธรรมจากท่านด้วย

    เขาผู้นี้ได้มาเล่าให้ฟังภายหลังจากที่ไปกราบหลวงพ่อ
    เมื่อไปถึงก็ได้ขอความเมตตาหลวงพ่อ
    หลวงพ่อก็เมตตาให้ตามความประสงค์เช่นกัน
    และท่านยังให้ข้อคิดด้วยเช่นกันว่า
    ถ้าลาสิกขาไปให้ ให้อยู่ในฆราวาสธรรม อันประกอบด้วย

    1.สัจจะ แปลว่า จริง ตรง แท้
    2.ทมะ แปลว่า ฝึกตน ข่มจิต และรักษาใจ
    3.ขันติ แปลว่า อดทน
    4.จาคะ แปลว่า เสียสละ

    โดยเฉพาะในข้อจาคะ ให้เสียสละให้มาก
    ให้บำรุงพระพุทธศาสนาด้วย
    และที่สำคัญ ท่านเน้นศีล 5 โดยเฉพาะข้อกาเม
    อันจะเป็นทางให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อีกด้วย


    ภายหลังทิดผู้นี้ ได้ทราบข่าวจากคนรู้จักว่า
    ไปประกอบธุรกิจกับทางบ้านที่มีฐานะอยู่แล้ว
    และยังประสบความสำเร็จดี

    แต่ว่า เขามีหน้าตาที่เป็นลูกครึ่ง วาจาคมคาย
    จึงได้ข่าวว่า มีเรื่องชู้สาวบ้าง
    ไม่รู้ว่า ยังระลึกถึงคำเตือนจากหลวงพ่อหรือไม่?
    คติธรรมปีใหม่

    ปลายปี พ.ศ. 2551 หลวงพ่อได้ลงมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ
    ท่านเจ้าคุณพระเทพสังวรวิมล อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม ตลาดพลู
    ท่านลงมาพักที่กุฏิที่วัดอินทาราม ในครั้งนั้นท่านได้บอกว่า
    ต่อไปคงจะอยู่ยากขึ้นทุกที บ้านเมืองก็ไม่ค่อยปกติ
    ให้พวกเรามีคติประจำใจ นำไปปฏิบัติในปีใหม่ พ.ศ. 2552 ในครั้งนั้น
    ประกอบด้วยคำสี่คำ จำง่ายๆ คือ

    คาถาดี

    ตอนที่เริ่มกราบหลวงพ่อใหม่ๆ สมัย ม.ปลาย
    คิดว่า หลวงพ่อเป็นพระกรรมฐานภาวนาอย่างเดียว
    คงไม่เน้นเรื่องวัตถุมงคล คาถาอาคมมากนัก
    แต่มาทราบในภายหลัง โดยเฉพาะในช่วงบวชว่า
    นอกจากท่านเป็นนักภาวนาแล้ว
    ท่านยังสืบทอดสรรพวิชาจากพระบูรพาจารย์
    โดยเฉพาะในสายจังหวัดพิจิตร บ้านเกิดของท่าน
    คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เป็นอาทิ

    ในช่วงงานสวดมนต์ข้ามปี ประจำปีใหม่ปี พ.ศ.2554
    ได้สนทนากับหลวงพ่อ หลวงพ่อได้เอ่ยถึงคาถาท่านพ่อลี วัดอโศการาม
    ซื่อมีอรรถแห่งพระคาถา คือ

    "อะระหังพุทโธ อิติปิโสภควา นะมามิหัง"

    ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านไปอินเดีย กับท่านเจ้าคุณพระอรรถกิจโกศล
    (เจ้าคุณธงชัย ธมฺมธัชโช) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก กทม.
    ศิษย์ของท่านตั้งแต่สมัยท่านเจ้าคุณยังเป็นฆราวาส ในตอนนั้นท่านเจ้าคุณ
    เป็นเหมือนผู้อุปฐากหลวงพ่อไปต่างประเทศ เพราะท่านสามารถสื่อสาร
    ภาษาต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

    แต่ปรากฏว่า ครั้งหนึ่ง แขกได้ตั้งด่านตรวจของ
    และเป็นที่รู้กันว่า ด่านแขกเรื่องมาก และผ่านยากมาก
    หลวงพ่อจึงภาวนาคาถานี้ ก็ปรากฏว่าผ่านได้สบายมาก
    ท่านเจ้าคุณธงชัยตามมาทีหลัง จนท่านเจ้าคุณฯ ถามหลวงพ่อ
    "หลวงพ่อทำอย่างไร ทำไมผ่านได้ง่ายอย่างนี้ครับ"

    ผมจึงถามท่านไว้ แล้วคาถานี้ใช้อย่างไรครับ
    ท่านกล่าวว่า "ให้ท่องบ่นแล้วอธิษฐานเอา"

    ในช่วงสวดมนต์ข้ามปี ประจำปีใหม่ พ.ศ.2555
    ได้คุยกับคุณลุงผู้ที่ดูแลหลวงพ่อ หลวงพ่อก็เคยให้คาถาไว้กับเขาเหมือนกัน
    คุณลุงเล่าว่าใช้ตอนจะเข้าหาผู้ใหญ่ ให้ท่องบ่นจนจิตเป็นสมาธิ
    แล้วก็ไปปฏิบัติตามหน้าที่ เป็นอันสำเร็จทุกครั้ง
    คาถานั้น คือคาถาหัวใจยูงทอง คือ

    "นะโมวิมุตตานัง นโมวิมุตติยา"
    พระแท่นพระพุทธเจ้า

    ในช่วงสวดมนต์ข้ามปี ประจำปีใหม่ปี พ.ศ.2552
    ได้ไปพักค้างคืนกันที่วัดโพธิคุณ และได้กราบเรียนท่านว่า
    จะไปกราบพระธาตุ ที่พระธาตุดอยหินถี่ ริมเมย
    องค์ท่านได้กล่าวว่า ให้แวะไปกราบพระแท่นประทับนั่งของพระพุทธเจ้าด้วย
    ท่านเล่าว่า ในบริเวณพระแท่นดังกล่าว จะมีสัญลักษณ์ คือลอยบุ๋ม
    ที่เหมือนลอยก้น และด้านหน้าจะมีหุบเหวอยู่
    ท่านว่า บริเวณหุบเหวนี้ เป็นเหวทิ้งโจร และพระแท่นดังกล่าว
    เป็นที่พระพุทธเจ้า เทศน์โปรดโจร

    ภายหลังจากที่ไปไหว้พระธาตุดอยหินถี่แล้ว
    ก็ได้ไปตามหาพระแท่นดังกล่าวซึ่งชาวบ้านเรียกว่า
    "แท่นฤษี" เพราะกล่าวกันว่า เคยเห็นฤษีมาบำเพ็ญอยู่ที่นี่
    ส่วนการเดินทางยังค่อนข้างลำบาก
    เราโชคดี ที่เจอหน่วย ชรบ.กำลังลาดตะเวนอยู่แถวนั้น
    จึงได้เขานำทางไป เขาบอกว่า ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก
    เขาเคยปวดบวมที่แก้ม รักษาเท่าไรก็ไม่หาย
    ได้ยินว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ จึงนำยาทามาวางไว้แท่นฤษีนี้
    แล้วอธิษฐาน พอสิ้นคำอธิษฐานเท่านั้น ที่บวมอยู่ก็ยุบ
    หายเป็นปกติ ไม่ต้องใช้ยาทาเลย เล่าเสร็จเขาก็กราบไหว้
    พระแท่นดังกล่าวด้วยความเคารพ

    เมื่อกลับมาแล้ว จึงได้ไปกราบเรียนหลวงพ่อว่าได้ไปมาแล้ว
    แต่ก็มีข้อสงสัยว่า ไม่เห็นว่าที่ดังกล่าวมีอยู่ในประวัติศาสตร์
    หรือที่ใดจะกล่าวถึง

    หลวงพ่อหัวเราะ แล้วกล่าวว่า

    "พระพุทธเจ้าท่านมีมาแล้วกี่พระองค์
    ถ้ารวมกันทุกพระองค์แล้ว เชื่อว่าท่านเดินมาทั่วโลกแล้วทั้งนั้น"

    กรรมกับสัตว์ที่ควรหลีกเลี่ยง

    ในช่วงสวดมนต์ข้ามปี ประจำปีใหม่ พ.ศ.2554
    ในช่วงนี้เองที่หลวงพ่อเริ่มป่วยมาเรื่อยๆ
    และเริ่มสงสัยว่า ท่านอาจจะเป็นมะเร็งที่ปอด
    ท่านต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาเจาะเนื้อปอดพิสูจน์
    ซึ่งท่านได้รับทุกขเวทนามาก จนท่านได้พิจารณาว่า
    เหตุที่เป็นอย่างนี้เกิดมาจากอะไร

    จนท่านรำลึกได้ว่า สมัยท่านเป็นเด็ก
    มีโพรงไม้อยู่ใกล้ๆ กับลำธาร ปรากฏว่ามีอยู่วัดหนึ่ง
    มีตัวเงินตัวทอง ไปรอดโพรงไม้ดังกล่าว แต่หลอดไม่ผ่าน
    ลำตัวไปติดคาอยู่กับโพรงไม้อย่างนั้นออกไม่ได้
    ท่านก็นึกสนุก เอามีดประจำตัวของท่านไปปักที่อกตัวเงินตัวทอง
    ให้คาอยู่กับโพรงไม้อยู่อย่างนั้น แล้วท่านในตอนนั้นก็จากไป

    ท่านว่ากรรมที่ทำกับตัวเงินตัวทองนี้ อาฆาตแรงมาก
    และสัตว์อีกประเภท คือ งู เป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงอย่าไปทำอะไระเขา

    หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสพบหลวงพ่ออีก
    จนกระทั้งในเดือนธันวาคม พ.ศ.2554
    จึงได้ทราบข่าวการอาพาธหนักจากพี่หมี
    และได้มีโอกาสขึ้นไปกราบหลวงพ่อเป็นระยะสุดท้าย...
    หลวงพ่อมหาวิบูลย์ ขณะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก
    เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554
    เป็นครั้งสุดท้ายที่ได้บันทึกภาพหลวงพ่อ

    ปัจฉิมวาจาของข้าพเจ้า

    เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2554 พี่หมีได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า
    หลวงพ่อมหาวิบูลย์ กำลังอาพาธหนังด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ยากต่อการรักษา
    หัวใจแทบสลาย เมื่อครูบาอาจารย์ผู้เป็นดั่งร่มโพธิ์ใหญ่กำลังล้มลง
    ที่ก่อนหน้านี้ ก็นึกประมาทจากการที่หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า ยังไงท่านก็คงอยู่อายุ 80 ปี
    ไม่เกินพระพุทธเจ้า แต่อายุของท่านก็ยังอีกหลายปี กว่าท่านจะอายุ 80 ปี
    อย่างไรก็มีหลักให้พึ่งพึง จนตั้งอยู่ในความประมาท
    ไม่นึกว่า มรณานุสติ กำลังจะทดสอบในอีกไม่ช้า

    เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 ด้วยความช่วยเหลือจากพี่เต้ย
    จึงได้เดินทางขึ้นไปกราบหลวงพ่อที่โรงพยาบาลแม่สอด
    เป็นครั้งแรกที่ทราบข่าวการอาพาธของท่าน
    โดยพี่หมีได้ประสานงานพี่ทหารศิษย์หลวงพ่ออยู่ทางนั้นด้วย
    และพวกเราก็ได้เข้าไปกราบท่านในตอนเช้า เวลา 7.00 น.
    พวกเราได้ถวายจตุปัจจัยถวายท่าน ในใจคิดว่า จะรบกวนหลวงพ่อให้น้อยที่สุด

    พี่ทหารที่ผมเองก็เพิ่งรู้จักในวันนั้น
    ได้กราบเรียนหลวงพ่อแล้วชี้มาทางผมว่า
    "หลวงพ่อจำได้ไหมครับ เคยบวชกับหลวงพ่อ"
    หลวงพ่อตอบว่า "จำได้"
    พร้อมรอยยิ้มที่ตราตรึงตลอดไป

    ผมจึงได้รีบกราบเรียนหลวงพ่อ
    "หลวงพ่อครับ ผมเรียนจบปริญญาโทแล้วครับ"
    หลวงพ่อตอบกลับเป็นเชิงคำสั่ง
    และเป็นประโยคสุดท้ายที่ท่านได้เมตตากระผม

    "ได้ปริญญาทางโลกแล้ว ให้ได้ปริญญาชีวิตด้วย"

    และนี่คือปัจิฉิมวาจาจากหลวงพ่อ ที่ให้ไว้กับผม
    และหลังจากนั้น ก็ไม่มีโอกาสได้สนทนากับหลวงพ่ออีกเลย

    ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554
    จึงได้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่วัดโพธิคุณ โดยการนำของพี่หมี
    ที่ได้กราบเรียนหลวงพ่อไว้ในคราวก่อนว่าจะขึ้นไปปฏิบัติธรรมถวายหลวงพ่อ
    หลวงพ่อก็ได้เมตตา อนุโมทนา ไว้แล้ว
    พวกเราได้สมาทานศีล 8 ทำวัตร สวดมนต์ ภาวนา กันตามกำลัง

    ในเช้าวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554
    จึงได้เข้าไปกราบ หลวงพ่อที่โรงพยาบาลแม่สอด
    ในครั้งนี้ หลวงพ่อก็ได้เมตตาลุกขึ้นมานั่งปฏิสัณฐาน
    อนุโมทนาการปฏิบัติธรรมของพวกเรา
    เป็นช่วงเวลาไม่นาน ก็ได้กราบลาท่าน
    เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนธาตุขันธ์ของท่านจนเกินไป

    ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ได้กราบหลวงพ่อ ในสภาพที่ดูท่านเป็นปกติ
    ซึ่งเบื้องหลังทราบว่า ท่านได้รวบรวมพละกำลัง
    เพื่อให้ลูกศิษย์มิต้องเป็นห่วงถึงธาตุขันธ์ข้างในอันแปรปรวนรุนแรง
    ซึ่งเราทราบดีว่า สภาพจิตใจธรรมดา คงทนรับได้ยากยิ่ง
    เมตตาธรรมจากหลวงพ่อ

    ประเพณีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมหาวิบูลย์ได้ริเริ่มประกอบพิธีขึ้นมา
    และได้จัดพิธีสืบเนื่องกับติดต่อมา คือ การปฏิบัติธรรม สวดมนต์ข้ามปี
    ที่เริ่มต้นทำครั้งแรก เมื่อปลายปี พ.ศ. 2550 มีกำหนด 7 วัน
    ในครั้งนั้น หลวงพ่อตั้งใจว่า ให้เป็นการฉลองวัด เพราะเสนาสนะต่างๆ
    ได้สร้างแล้วเสร็จตามแผนหมดแล้ว แต่ยังไม่เคยมีการฉลองเลย
    และในปีนั้น เป็นปีที่มาบรรจบครบสามสิบปี ที่หลวงพ่อได้เริ่มมาพัฒนาวัดนี้
    จึงได้ใช้นิมิตดังกล่าว จัดงานฉลองวัด และได้กระทำต่อเนื่องเรื่อยมา
    เพื่อให้ญาติโยมได้มาเข้าวัดภาวนา แทนการไปฉลองดื่มเหล้าแล้วเกิดอุบัติเหตุกัน

    สามารถชมภาพงานปฏบัติธรรมสวดมนต์ข้ามปีปีแรกได้ที่
    http://larndham.org/index.php?/topic...8%97%E0%B8%98/

    งานปฏบัติธรรมสวดมนต์ข้ามปีปีที่สอง ได้ที่
    http://aongar.multiply.com/journal/item/26

    ชมภาพงานปฏบัติธรรมสวดมนต์ข้ามปีปีที่สี่ ได้ที่
    http://www.romphosai.com/forums/%e0%...%e0%b8%81.html

    และชมภาพงานปฏบัติธรรมสวดมนต์ข้ามปีปีล่าสุด ได้ที่
    http://www.romphosai.com/forums/%E0%...%E0%B8%94.html

    ด้วยภาระงานและการศึกษา มีเวลาไปกราบนมัสการหลวงพ่อได้น้อยมาก
    ก็ได้อาศัยช่วงสวดมนต์ข้ามปี ซึ่งเป็นช่วงหยุดยาว ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ
    และร่วมกิจกรรมของวัดด้วย วัดโพธิคุณเป็นวัดที่อยู่ในใจในตลอดว่า
    เป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่ง อันอบอุ่น มีโอกาสต้องมาให้ได้

    ในอดีตนอกจากกิจกรรม ปฏิบัติธรรมสวดมนต์ข้ามปีแล้ว
    ก่อนหน้านี้ หลวงพ่อยังมีกิจกรรมใหญ่ๆ และขึ้นชื่อเรื่องรือในแม่สอด
    คือ การบวชเณรภาคฤดูร้อน เป็นเวลาหนึ่งเดือน
    โดยการให้ ตชด. หรือ วัดต่างๆ ในชายแดน
    ได้นำเด็กๆ จากหมู่บ้านชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวกะเหลี่ยง
    มาบวช โดยมีการอบรมธรรมะ นอกจากนั้นท่านก็ได้ประสานงานกับหน่วนงานต่างๆ
    ได้เข้ามาให้ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต
    เสร็จพิธีเมื่อเหล่าพ่อทิดเณรลาสิกขา ท่านยังแจกทุนการศึกษา
    เสื้อผ้าชุดใหม่ และ"ของดี" เลี่ยมพร้อมสร้อยเรียบร้อย
    ให้เป็นพุทธานุสติ อีกด้วย ระยะเวลาหนึ่งเดือน ถือว่ายาวนานมาก
    ปกติวัดอื่นๆ ในแถบนั้นจัดเพียง 7 วันเท่านั้น
    ทุกๆ วันยังมีกิจกรรมให้เหล่าเณรทั้งหลายได้ความรู้
    และไม่เหงา ไม่หนีกลับบ้านด้วย

    จากการบวชเณรภาคฤดูร้อนดังกล่าว
    ยังได้สร้างศาสนทายาธต่อมา คือ มีเณรบางรูปที่ไม่ขอลาสิกขอ
    หลวงพ่อท่านก็เมตตาส่งเรียนต่อ โดยหลวงพ่อส่งให้ไปเรียนที่
    วิทยาลัยสงฆ์พระพุทธชินราช ที่จังหวัดพิษณุโลก
    หลวงพ่อเป็นผู้ปกครองเอง ท่านก็ติดตามความประพฤติ
    และตักเตือนเมื่อทราบว่าเณรออกนอกลู่นอกทางอยู่ตลอด

    การบวชเณรภาคฤดูร้อนได้จัดติดต่อกันมาหลายปี
    ก็ได้งดเว้นไป ได้มีกิจกรรมใหม่มาทดแทน คือ การเข้าค่ายปฏิบัติธรรม "พุทธบุตร"
    โดยให้โรงเรียนในเขตพื้นจังหวัดตาก ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัด
    หมุนเวียนกันมาทุกสัปดาห์ โดยหลวงพ่อจะเป็นผู้อบรมปิดการอบรมทุกครั้ง
    ที่สำคัญ ก่อนปิดการอบรมท่านจะให้เด็กนักเรียนทั้งหลาย เขียนเรียงความ
    ความรู้สึกที่ได้มาปฏิบัติ และให้ระบายถึงความทุกข์ของตนเอง

    เรียงความเหล่านี้ หลวงพ่อท่านจะตั้งใจอ่านทุกอัน
    จากเรียงความดังกล่าว ทำให้หลวงพ่อได้รับทราบปัญหาของเด็กๆ
    เป็นอีกหนึ่งแรงกระตุ้น ที่ทำให้หลวงพ่อต้องเร่งทำงานเผยแผ่มากขึ้น
    บางเรียงความที่หลวงพ่อได้พิจารณาแล้วว่า เป็นปัญหาที่สาหัสมาก
    ท่านต้องเรียกเด็กคนนั้นมาสนทนาด้วย ตลอดจนพ่อแม่ของเด็กคนนั้น
    มาแก้ไขปัญหาร่วมกัน

    นอกจากโครงการที่ได้กล่าวมาแล้ว หลวงพ่อยังมีโครงการเพื่อสังคมอื่นๆ ได้แก่
    โครงการรักษาพื้นที่ป่า เพื่อรักษาต้นน้ำของวัด, สร้างห้องสมุดสำหรับพระเณรที่ไปศึกษาต่อ
    สงเคราะห์วัดต่างๆ ที่มาขอเมตตาจากหลวงพ่อ เป็นต้น

    กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ เมื่อลูกศิษย์ได้ทราบว่า หลวงพ่อมีดำริโครงการใด
    ลูกศิษย์ทั้งพระ และฆราวาส ก็จะมารวมกันสนองงานหลวงพ่อกันสุดความสามารถ
    เพราะแต่ละท่านแต่คน ก็ล้วนแล้วแต่เคยได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อมาแล้วเช่นกัน
    การสวดมนต์ข้ามปี ในปีใหม่ พ.ศ.2555
    บริเวณที่หลวงพ่อเคยนั่ง ว่างเปล่า
    หลวงพ่อรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแม่สอด

    การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป

    ในการปฏบัติธรรมสวดมนต์ข้ามปีประจำปีใหม่ พ.ศ.2555
    ผมได้พยายามขวนขวายมาร่วมงานนี้ให้ได้
    ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ได้เข้าไปกราบเยี่ยมหลวงพ่อ
    ที่โรงพยาบาลแม่สอด ขณะนั้นท่านมารักษาตัวที่ห้อง ICU
    ภาพที่ผมเห็นผ่านกระจกหน้าห้อง คือ หลวงพ่อนอนตะแคงหลับตา
    เมื่อมีหมอหรือพยาบาลเข้าไปกราบเรียนท่าน ท่านถึงจะลืมตา
    และตอบอย่างน้อยคำ แล้วหลับตาลงอีก

    โดยปกติ เมื่อท่านทราบว่ามีลูกศิษย์ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณไหนก็ตาม
    เมื่อท่านทราบ ท่านจะนุ่งห่มจีวรให้เรียบร้อย แล้วจะนั่งรับ
    พบเห็นน้อยครั้งมาก ที่ท่านจะห่มอังสะให้เห็น หรืออยู่ในอิริยาบถนอน

    จากสภาพที่เห็น จึงอนุมานได้ว่า ท่านคงได้รับทุกขเวทนามาก
    สังขารอิดโรยมากกว่าครั้งก่อนๆ และคงอยู่ในการภาวนา
    คณะผู้ดูแลท่านขอความร่วมมือ
    งดเว้นการเข้าเยี่ยมท่าน ก็เหมาะสมสมควรแล้ว
    เพื่อถวายความเป็นอิสระแด่องค์ท่าน
    และในครั้งนั้นก็เป็นการกราบองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย
    ผ่านหน้ากระจกห้องผู้ป่วยวิกฤตนั้น


    ในหัวค่ำวันนั้น จึงได้เข้าร่วมพิธีสวดมนต์ข้ามปี
    คณะศิษยานุศิษย์ ได้ปูอาสนะของหลวงพ่อไว้ในตำแหน่ง
    ที่หลวงพ่อได้เคยนั่งเป็นประธานสงฆ์อยู่ทุกปี
    แต่ปีนี้คงเป็นอาสนะที่ว่างเปล่า พร้อมด้วยความหวังของศิษยานุศิษย์
    ที่หลวงพ่อจะได้นำกายสังขารมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้อีก


    พระสงฆ์ลูกศิษย์หลวงพ่อจาก กทม. ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อ
    ให้มาเป็นต้นเสียงในการสวดมนต์ข้ามปี
    ได้กล่าวนำถึงที่มาและความสำคัญของมนต์แต่ละบทที่จะได้สวดร่วมกัน
    ท่านเองได้เล่าว่า ก่อนจะมาร่วมงาน ได้เข้าไปกราบหลวงพ่อที่โรงพยาบาล
    หลวงพ่อได้เน้นว่า สวดมนต์ข้ามปีปีนี้ ให้สวดบท "ปฐมพุทธภาสิตคาถา"
    แล้วให้สวดบทแปลด้วย


    พิธีได้ดำเนินไปจนถึงตีสามของวันและปีใหม่ พ.ศ.2555
    เพื่อส่งแรงใจน้อมถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    ได้มีสุขภาพแข็งแรงในเร็ววัน

    แต่แล้วในเย็นวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 ข่าวอันเป็นความจริงที่ต้องเกิดขึ้นในสังขาร
    ที่ผมเองก็มิอาจรับได้ ก็จู่โจมให้รำลึกใน "มรณานุสติ" ทุกเมื่อก็จู่โจม
    ขณะที่ทุกชีวิตกำลังสารวนอยู่กับ
    การจัดเตรียมกิจกรรมในเทศกาลตรุษจีนกับครอบครัว
    บ้างก็จัดการสารทุกข์สุขดิบของตนเอง
    พี่หมีโทรมาแจ้งข่าวการมรณภาพของหลวงพ่ออย่างสงบ และองอาจ
    สมภูมิความเป็นนักปฏิบัติให้พวกเราได้เห็น
    ขอกราบน้อมรำลึกธรรม น้อมรำลึกบุญ
    หลวงพ่อใหญ่ห้วยเตย พระผู้เมตตาไม่รู้ลืมคุณ

    ปฐมพุทธภาสิตคาถา

    (หันทะ มะยัง ปะฐะมะพุทธะภาสิตะคาถาโย ภะณามะ เส)
    เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาพุทธภาษิตครั้งแรกของพระพุทธเจ้าเถิด

    อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง
    เมื่อเรายังไม่พบญาณ, ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสารอันเป็นอเนกชาติ

    คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง,
    แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน,
    คือตัณหาผู้สร้างภพ, การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป


    คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปุนะ เคหัง นะ กาหะสิ
    นี่แน่ะ นายช่างปลูกเรือน, เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว,
    เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป


    สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วิสังขะตัง,
    โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว, ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว

    วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา
    จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป,
    มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา (คือ ถึงนิพพาน)

    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->

    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  15. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    สุดท้ายขอกราบขอบพระคุณและขอบคุณ

    หลวงพ่อสุจินต์ สุจิณฺโณ
    หลวงพ่อครูบาอาจารย์ผู้เมตตา นำพาให้เข้าไปกราบหลวงพ่อเป็นครั้งแรก
    และยังได้เป็นธุระพาไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ อยู่ในการอบรม
    ของหลวงพ่อมหาวิบูลย์ เมื่อครั้งผมอุปสมบทอยู่

    พระครูสุตวุฒิคุณ (พระอาจารย์มหาปรีชา)
    พระอาจารย์ผุ้เมตตา ที่อนุญาตให้ขึ้นไปเคาะประตูกุฏิหลวงพ่อในครั้งแรกนั้น

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช
    หลวงพ่อครูบาอาจารย์ผู้เมตตา ที่ทำให้ผมได้รู้จักกิตติคุณ
    ของหลวงพ่อมหาวิบูลย์ เป็นครั้งแรก
    เป็นเหตุนำพาให้ได้ไปกราบนมัสการองค์หลวงพ่อในครั้งแรก

    คณะสงฆ์และพุทธบริษัท วัดโพธิคุณ
    ที่ได้อนุเคราะห์การเป็นอยู่ อาหารการกิน สารทุกข์สุขดิบ ด้วยดีเสมอมา

    พี่หมี
    ผู้เป็นสะพานบุญ ได้ร่วมบุญกับหลวงพ่อในช่วงหลัง
    และส่งข่าวความเป็นไปอยู่เรื่อยๆ

    พี่เต้ย
    ที่เป็นธุระจัดหารถพาไปกราบหลวงพ่อ
    ที่ทำให้ได้รับปัจฉิมวาจาในครั้งนั้น

    ตลอดจนญาติธรรมทุกท่านที่มิได้เอ่ยนาม
    พระผงตรีโลกเชษฐ์ มีสองสีครับ ขาว กับ ชมพู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  16. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    รูปครับ โพสไม่ติดครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ธุลี-ดิน

    ธุลี-ดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2012
    โพสต์:
    12,650
    ค่าพลัง:
    +12,202
    กราบหลวงพ่อมหาวิบูลย์ครับ

    ขอบคุณท่านอาจารย์มันตรัย ที่นำชีวประวัติของหลวงพ่อมาเผยแพร่ให้รู้จักหลวงพ่อมหาวิบูลย์มากขึ้นครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012
  18. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    เหรียญรัตนรังสี

    เหรียญรัตนรังสี
    ของพี่ตู่ แม่สอด ขอภาพมาให้พี่ๆน้องชมกันครับ ถ้าเจอที่ไหนอย่าให้พลาด คนที่เดินสนามพระบ่อยๆอาจจะพบเจอในราคาถูกครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_8584.jpg
      IMG_8584.jpg
      ขนาดไฟล์:
      144.4 KB
      เปิดดู:
      407
  19. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    อนุโมทนาครับที่นำบทความดีๆมาเผยแพร่:cool:
     
  20. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ขอบคุณมากๆครับที่ติดตามตลอด เหลืออีกสามท่านที่ยังไม่ส่งที่อยู่ให้ ยังไงพรุ่งนี้ขอด้วยนะครับ จะได้ส่งของให้ทุกท่านเลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...