อภินิหารพระอาจารย์ในดง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 26 ตุลาคม 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอบคุณทุกท่านที่โพสต์ให้กำลังใจ เมื่อวานโพสไม่ได้ทั้งวันและทั้งคืน นึกว่าโดนแบนเสียแล้ว ที่แท้เป็นความผิดพลาดทางเทคนิคของเว็บเอง ใจหายม๊ด
     
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    มันก็ปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่องนั่นแหละครับ
    พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2467 จากไป เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2536 เหล่า ศิษย์กำลังรอคอยวันกลับมาของท่านหลังจากเสร็จกิจพระศาสนา คือเป็นพระอรหันต์แล้ว เคยมีศิษย์ที่สามารถนั่งทางในมีตาทิพย์ ได้สำรวจดู พบว่า เมื่อทางโลกทำบุญ 50 วัน ทางดงลี้ลับก็ทำเช่นกัน โดยมีเจ้าของงานคือ พระ อาจารย์อภิชิโตคอยเดินไปมา จัดเครื่องพิธีกรรมต่าง ๆ อยู่และมีหลวงตาดำในชุดขาวคอยควบคุมดูแลและเป็นหัวหน้าพิธีกรรม จะจริงหรือเท็จพวกเราไม่มีสิทธิ์รู้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2012
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ไปพบเรื่องหลวงปู่โลกอุดรในพันทิพย์ ้ลยหยิบมาฝากครับ

    เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทรหลักฐานที่ ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้า อย่างจริงจังรู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และ หลวงปู่คำคะนิงต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย - ( คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด ) แต่ก็ไม่ใช่นิยายท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัดทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่าเป็น พระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆที่ ไม่ซ้ำกันหรือปรากฏรูปเดิม

    แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดาา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปีซึ่หลวงปู่บรมครู พระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัวก็นับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมากและเล่าให้ฟังว่า ได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ ถึง 2 ครั้ง ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่คือพระเทพโลกอุดรใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” คุณดอนไม่ทันได้เตรียมตัวและไม่ได้ถามถึงข้อปฏิบัติธรรม จึงถามว่า “พระพิมพ์ที่ท่านอาจารย์ ประถมฝากมาให้เป็นของหลวงปู่อธิฐานจิตจริงหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “จริง” ต่อจากนั้นคุณดอนก็ตื่นเต้นไม่ทราบจะถามอะไรอีกต่อไปครั้นแล้วหลวงปก็ หายไป

    การที่ท่านปรากฏเช่นนั้นเรียกว่าปรากฏกายธรรม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสัมผัสได้จึงเกิดปัญหาถกเถียงกันสำหรับผู้มีภูมิปัญญาไม่ถึงขั้น ไม่รู้จักคำว่า กายทิพย์ กายธรรม


    ครั้งที่สองเป็นการนั่งทำสมาธิทั้งคณะประมาณ 5 คนด้วยกัน หลวงปู่โลกอุดรมาปรากฏอีก ท่านยืนไม่ได้เตรียมอาสนะไว้ต้อนรับท่านแสดง ธรรมย่อ และว่าคณะปฏิบัติธรรมพอจะทราบอะไรบ้างแล้วพอสมควร ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก จะให้ของไว้เป็นเครื่องระลึก แล้วท่านก็มองไปยังแก้วน้ำ ปรากฏเป็นแสงสีเขียว พุ่งออกจากดวงตาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นน้ำในแก้วได้จับตัวแข็งเป็นก้อนเล็ก ๆ หลายก้อนด้วยกันท่านบอกว่าให้แบ่งกันเก็บเอาไว้เป็น ของดีมีอะไรคุณดอนก็เล่าสู่กันฟัง เป็นที่เชื่อถือได้ และมีตัวตนจริง

    หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพ โลกอุดรพบที่โคนต้นไทรใหญ่ โดยได้รับกราบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่งเจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยนหลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากท่านพอสมควร

    บางทีคน มีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเนปาลอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทยการที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุ ปฏิสัมภิทาญาณสามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่ เขาใหญ่ ท่านอภิชิโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวันและท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นานเรื่องราวบางตอนได้อาศัย ท่านอภิชิโต ภิกข ุเป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อนลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรองค์ที่สามนั้นท่านมีนามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์” การปรากฏกายธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งฌาน ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญท่านทั้งสองท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึก” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
     
  4. Dhanainan

    Dhanainan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,174
    ขอด้วยคน...ครับ
     
  5. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    คุณดอน ซึ่งเป็นคนลาวอยู่แคนาดา มีตัวตนจริงนะครับ เขาเคยติดต่อซื้อกวาวเครือจากหมอเมืองกินประจำ ต่อมาย้ายไปอยู่อเมริกาได้หลายปีมาแล้ว จากนั้นก็มีหลานชายของเขาชื่อ TONY นามสกุล "จันดารา" ก็ซื้อยาสมุนไพรของหมอเมืองอยู่เสมอมา เมื่อผมถามถึงคุณดอนเขาก็บอกว่าเป็นลุงของเขาเอง ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าทำไมคุณดอนรู้จักกวาวเครือ เพราะเขารู้จากเรื่องท่านอภิชิโตที่สันยาสีเขียนลงโลกทิพย์เมื่อปลายปี 2538 นั่นเอง
     
  6. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อ่านไปอ่านมาจึงทราบว่าเป็นข้อเขียนของคุณตาประถม อาจสาคร เดี๋ยวนี้ท่านเกือบ 90 แล้วครับ ผมพบท่านเมื่อต้นปี 2549 ท่านเล่าว่าท่านเป็นหลานของท่านเจ้าคุณท้วม แต่เป็นทางมารดา จึงมิได้ใช้นามสกุลบุนนาค อ่า่นต่อนะครับ

    เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ในราชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอดหรือพระองค์เจ้ายอดยศ
    บวรราโชรสราชกุมาร ประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำ ปีจอ สัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธสกราช 2381ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ นับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระชนมายุได้ 14 พรรษา

    ปี 2395 เป็นการปรากฎทั้งคณะพระธรรมทูต มีดังนี้
    1.พระอุตรเถระ เรียกกันว่าพระครูโลกอุดร หลวงปู่ใหญ่หรือหลวงพ่อดำ เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เรียกท่านว่า “พระโลกอุดร”
    2.พระโสณเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดรเช่นกัน ฉายานาม ขรัวตีนโต เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านว่า “พระโสอุดร”
    3.พระมูนียะ เรียกกันว่า หลวงปู่โพรงโพ ท่านอิเกสาโร หรือ หลวงปู่เดินหน
    4.พระฌานียะ เรียกกันว่า หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า
    5.พระภูริยะ เรียกกันว่าหลวงปู่หน้าปาน

    ทราบโดยญาณของผมเองว่า พระอิเกสาโร เป็นศิษย์พระโสณเถระ ส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระ อุตรเถระ หรือพระโสณเถระยังไม่แจ้งชัด เพียงอาจารย์ผมบอกว่าท่านฌานียะ ยังมีอายุแก่กว่าพระอุตรเถระ ด้วยซ้ำไปหลวงปู่ ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปานจะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้เพียงท่านหายไปตอนแรกอาจเป็น เพียงอรหัน (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น) จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่มในรูปของหลวงหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ก็คือท่านขรัวขี่เถ้าเผาแหลก มีอะไรท่านเผาหมด เป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า “ตูนี่แหละคือขรัวขี้เถ้า” ท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดร เป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบกล่าวกัน ว่าเมื่อท่านมรณะภาพแล้วนำใส่โลงศพได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอย ก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไรที่เห็นนั่นเป็นเพียงกาย ธรรมเท่านั้น

    ส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสีหรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมดท่านก็บอกว่ามหาชวน ตายไปแล้ว ท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อ ปริศนาธรรมของท่านก็คือ มีพระบรมสาทิศของล้น เกล้า ร.5 คนก็ตีความไปต่างๆนาๆว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้างก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปี พ.ศ.2453ท่านมหา ชวนเกิดก่อนแล้ว ความจริงก็คือ “ตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5” ก็เท่านั้น

    พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯน่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิศมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัย นอกจาก จะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ การช่าง ช่างฝีมือยุทธศาสตร์จนถึงวิชาการฟ้อนรำทรงสน พระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัยขณะที่พระชนมายุเพียง14พรรษาฝึกฝนจนอินทรียพละแก่กล้าพอควร บรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตร เถระ)เห็นว่าเจ้าชายท่านนี้เคย เป็นศิษย์ในความอุปการะ กันมาจึง มาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐานโดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์ (มองเห็นได้ด้วยตาใน) จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักษุ ุแล้วจึงปรากฏเป็นกายธรรม มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ และ สามารถใช้ผัสสะจับต้องได้โดยที่ผู้ศึกษาไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อย นั้นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้

    สำหรับสำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้าก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนักเพียงแต่กล่าวกันว่า พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปคราวหนึ่งๆประมาณ 15–20 วัน คงมีแต่ เจ้าจอมมารดาเอม ซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรม พระราชวังบวรวิชัยชาญเสด็จ ทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปี พ.ศ.2428 นั้นท่านมิได้ทิวงคตจริงแต่บรมครูพระ เทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ดำพาไปอยู่ด้วยและเสกใบพลูแทนตัวไว้เรื่องออกจะเหลือเชื่อแต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลัก ฐานยืน ยันจากท่านอาจารย์ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ หรือท่านอภิชิโตภิกขุได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดร แต่ไม่ ่ใช่ถ้ำวัวแดงอย่างที่เล่าลือกัน

    ท่านวังหน้า กับ ท่านอาจารย์แจ้งฌาณ 2 รูป เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ท่านอภิชิโต มักเรียกว่า “ครูฝึก” โดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร จะมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรงต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่งๆ แล้วท่านจะต้องทดสอบความรู้และรับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไป ปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดีเรียกผมว่า"โยมประถม" ท่านอภิชิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยอง มองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่เพราะเป็นภาพของบรรพขิต แต่กลับเป็นภาพของท่านวังหน้า ส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์ พระโลกอุดรองค์ที่ 3

    เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชม ท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า "ไตรโลกอุดร" หมายถีงพระโลกอุดรองค์ที่ 3 ผมเคยเรียน ถามหลวงปู่ว่าในการอธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรกซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้า หลวงปู่ได้มาในสภาพของกายทิพย์ หรือกายธรรม ท่านตอบว่าท่านอยู่ใน รูปแห่งกายธรรม ถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใด ุท่านไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมอีกท่านหัวเราะตอบว่า คนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน
     
  7. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามีในสมัยพระเจ้าลิไทแห่งราชวงศ์สุโขทัยปี พ.ศ.1900 ห่างจากระยะแรกประมาณ1600 ปี มีบางท่าน กล่าวว่าในสมัยหริภุญไชยท่านมาเกิดเป้นครูบาบุญทาแต่เป็นเรื่องของความฝันไม่ปรากฏหลักฐานแจ้งชัดและมีผู้เล่าให้ฟังว่าในครั้งกระนั้น ผมเป็นสามเณรอาศัย อยู่กับท่านมีชื่อว่า “น้อยคำอ้าย” เป็นสล่าคือช่างปั้นพระคนเล่าเป็นพนักงานออมสินสำนักงานใหญ่โดยการผ่านร่างแต่ไม่ถึงกับประทับทรงจึงเกิดเป็นปัญหาว่า คนฝันกับคนที่เป็นร่างผ่านให้ข้อความไม่ตรงกันจึงตัดออกเอาแต่เรื่องที่มีหลักฐานมากล่าว

    และมีบันทึกคณะพระเทพโลกอุดรมีหน้าที่ดูแลทำนุบำรุงพระพุทธ-ศาสนาไปจนกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ.5000) และคราใดที่พระพุทธศาสนาอ่อนแอลงท่านมักจะมาโปรดท่านเป็นทูตเดินทางมาจากประเทศลังกาสู่ประเทศมอญ ความว่าในสมัยนั้นมีพระอาจารย์ชาวลังกาท่านหนึ่งนามว่า “พระมติมา” ซึ่ง เป็นศิษย์ในสำนักพระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราช ซึ่งมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดที่สุด ในประเทศลังกา มาตั้งสำนักที่เมืองนครพันหรือเมืองเมาะตะมะของมอญในสมัยพระสุตโสมเป็นพ่อเมือง พระเถระทางกรุงสุโขทัยได้ทราบข่าวเกิดความศรัทธา ปสาทะจึงพากันมาขออุปสมบทใหม่ในสำนักพระมติมา และข่าวได้แพร่ไปถึงพระเจ้าลิไทแห่งกรุงสุโขทัย จึงจัดส่งสมณทูตอาราธนาพระมติมามาอยู่ ณ กรุง สุโขทัย แล้วพระองค์ได้ทรงผนวชในสำนักพระมติมา ประกาศปรารถนาพุทธภูมิแล้วลาสิกขาบท เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจตามเดิม แต่งตั้งพระมติมาให้เป็น ที่พระสวามี (ตำแหน่งพระสังฆราชของลังกา) พระมติมาได้พยากรณ์ไว้ว่าพระพุทธศาสนาจะไม่ตั้งมั่นในมอญแต่จะตั้งมั่นในไทยจนถึง พ.ศ.5000 (เป็นอันแสดงว่าพระสังฆราชรูปนี้เป็นชาวลังกา) บางท่านยังอ้างข้อความบางตอนในศิลาจารึกกล่าวถึงความเค่งครัดของท่านว่า มีจริยาวัตรเยี่ยงพระอรหันต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    แต่หลักฐานในหนังสือชินกาลบาลีปกรณ์ระบุความตอนหนึ่งว่าพระสังฆราชรูปนี้ความจริงเป็น ชาวสุโขทัยชื่อ พระสุมนเถระ แต่ เดิมได้ศึกษาเล่าเรียน ธรรมจากสำนักต่าง ๆ หลายสำนักจากเมือง อโยชฌปุระ (อยุธยา) จนความรู้แตกฉานแล้วกลับมาอยู่ที่เมืองสุโขทัยตามเดิมครั้นต่อมาได้ทราบข่าวว่าพระมหาสวามีองค์เถระชาวลังกาผู้ทรงคุณอันเลิศในทางธรรมชื่อว่า “ อุทุมพร ” ได้จาริกจากลังกามาอยู่ที่รัมนะประเทศ(ในพงศาวดารโยนกเรียกชื่อว่ามืองเมาะตะมะ ในศิลา จารึกเรียกนครพัน) พระสุมนเถระ จึงชักชวนพระภิกษุซึ่งเป็นสหายทางธรรมจำนวนหนึ่งพากันเดินทางจากกรุงสุโขทัยไปนมัสการ พระมหาสวามีอุทุมพร แล้วอยู่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมกับ พระมหาสวามีอุทุมพร นั้น

    กาลต่อมาความทราบถึงพระกรรณพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงสุโขทัย (คือพรญาศรีสูรยพงศ์ราม-์ มหาธรรมราชาธิราชพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์สุโขทัย ซึ่งก็คือพระเจ้าลิไทแต่คำในลายสือไทอ่านยากมิได้จารึกคำว่า “ ลิไท ” โดยตรงมีพระนาม ว่าก่อนเสวยราชย์ว่า พรญาฤาไท อ่านอย่างภาษามคธว่า “ลิไท” คำว่าพรญาศรีสูรยพงศ์เป็นพระนามเดียวกับพระราชบิดาเพียงแต่เติมคำว่าบุตรต่อท้าย คำว่าพระมหาสวามีอุทุมพรจาริกมาจากเมืองลังกามาอยู่ที่เมืองรัมมประเทศ ก็ทรงมีพระราชประสงค์ใคร่จักได้พระภิกษุสงฆ์ผู้สามารถคงแก่เรียนกระทำสังฆกรรมได้ครบถ้วนมาประจำที่สำนักเมืองสุโขทัย จึงจัดส่งสมณฑูตไปนมัสการพระมหาสวามีอุทุมพรเพื่อขอพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมดังกล่าว พระมหาสวามีอุทุมพรจึงได้ส่ง พระสุมนเถระพร้อมด้วยคณะที่มาด้วยกันให้แก่พระมหาธรรมราชาประจำกรุงสุโขทัย พระสุมนเถระและคณะได้นมัสการพระมหาสวามีอุทุมพรแล้วเดินทาง กลับกรุงสุโขทัย

    พระมหาธรรมราชาทรงดีพระทัยยิ่งนักโปรดเกล้าให้สร้าง “วัดอัมพวนาราม” (คือวัดป่ามะม่วงในปัจจุบัน) แล้วได้ นิมนต์พระสุมนเถระให้อยู่ที่ วัดนั้น (ในศิลาจารึกไม่มีคำว่าวัด มีแต่อาวาสสุมม่วง สุม คือ ซุ้ม หมายถึง ซุ้มมะม่วง ป่าม่วง ปรากฏว่าเป็นสถานที่เดียวกัน)

    ปัญหาที่เคยสงสัยกันว่าถ้าพระมหาสวามีสังฆราชเป็นภิกษุชาวลังกาจริงแล้วได้ทำการเผยแพร่ธรรมแก่ชาวบ้าน เป็นการยากที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ (ความคิดเช่นนี้ยังไม่ลึกซึ้งพอไม่ได้ศึกษาในเรื่องปฏิสัมภิทาญาณสี่จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่และก็เมื่อตอนที่คณะพระธรรมฑูตชุดแรกที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ยังแคว้นสุวรรณภูมิเล่าท่านจะทำประการใด ท่านก็เทศน์โปรดตามภาษาพื้นบ้านนั้นเอง และในการตรวจพระพิมพ์โลกอุดรโดยพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ท่าน ไม่มีความรู้เรื่องพระโลกอุดร จึงใช้จิตถามพระพิมพ์ตอบว่า ข้าคือ บรมครูศรีสัชนาลัย ซ้ำอยู่ 2 ครั้ง ซึ่งหมดภูมิปัญญาของผู้ตรวจจึงได้รับคำอธิบายจากตัว กระผมผู้เขียนเรื่องว่าถูกแล้วเพียงศิษย์ท่านยังเป็นถึงพระสังฆราชองค์ท่านจะเป็นอะไร ก็ดี ( เลิกเรียกพระครูโลกอุดรกันเสียทีเถอะ ) และการที่พระสุมนเถระ เพียงถวายพระธรรมคำสอนแก่พระมหาธรรมราชาช่วงระยะพรรษาเดียวก็ทรงบรรลุภูมิธรรมแตกฉานก็คือภาษาไทยนี้เองต่อมาได้ทรงสถาปนา พระสุมนเถระ ขึ้นดำรงตำแหน่ง “พระสวามีสุมนเถระ”
     
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อนึ่งพิจารณาแผ่นศิลาจารึกของวัดป่ามะม่วงเป็นศิลาจารึกลายสือไทหลักที่27ได้กล่าวถึงพรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาทรงผนวช แต่อักษรจารึก ด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ชำรุดอ่านไม่ได้ความคงเหลือเพียงด้านที่ 2 และด้านที่ 4 ตัดเฉพาะด้านที่ 2 ถอดความเป็นภาษาไทยปัจจุบันดังนี้ “…อั (น)… นี้ ในกลางสุมม่วงให้ประดิษฐานกุฎี พิหาร แถลงเมื่อพระนิรพาน ทางกุสินารนคร แถลงฝูงขสินาสรพนั้งบริพารแถลงทั้งพระอารยกัสสป มาทูลฝ่าตีนพระเจ้าอันชำแรกจากโลงทองแถลงทั้งขุนมัลลราชที่คนมากระทำบูชา ประดิษฐานทั้งปฏิมากระลาอุโบสถ แลเสมานั้นโสดเทียน ญ่อมฝูงสงฆ์อันคง…ปรัชญา…ร…อันมีสังฆราชา…พระไตรปิฏกอันได้…บวชแต่…ไ…ฝูงมหาสมณลังกาทวีป น…มานั้น…นั้น ที่พรญาศรีสูรยพงศ์ ธรรมราชาธิราชออกผนวชแลแผ่นดินป่า ม่วงนี้ไหว…มหาสมณทั้งอัน…เลิก…น ปลายพ…ปาลย…น นำให้ฝูง…ทั้งหลายเห็น

    ซึ่งผมขอถอดและขยายความดังนี้ ภายในบริเวณศูนย์กลางของอาวาสสุมม่วงหรือวัดป่ามะม่วงมีการก่อสร้างเป็นกุฏีวิหารปรากฏภาพเขียนภายในผนัง พระวิหารแสดงภาพพระอรหันต์ขีณาสพมาประชุมกันหนาแน่นดุจกำแพง กั้นน้ำเพื่อเตรียมถวายเพลิงพระบรมศพพระผู้เป็นเจ้าซึ่งดับขันปรินิพพาน แสดงภาพ พระมหากัสสปเถระเจ้า ก้มถวายบังคมเบื้องพระยุคคลบาทซึ่งยื่นจากโลงทองบรรจุพระบรมศพแสดงภาพขุนมัลลราช คือ เหล่าบรรดามัลลกษัตริย์ทั้งสี่(ทรงเชี่ยว ชาญในวิชามวยปล้ำ) พระอุทุมพระสวามีสังฆราช(บรมครูพระเทพโลกอุดร)ประกฏในศิลาจารึกเนินปราสาทด้านที่ 2 บรรทัดที่ 17 – 18 “เมื่อได้สมเด็จพระมหา เถระกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายมา” พรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชมีพระบัญชาให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาสวามีอุทุมพรจากเมืองนครพันทราบว่า ท่านรับการอาราธนา และเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว(ทราบทางจิต)พระญาศรีสูรยพงศ์มหาธรรมราชาธิราชทรงจัดให้หมู่อำมาตย์มุขมนตรีและบรรดาราชตระกูลไปเตรียมการต้อนรับ ทำการสักการะบูชาพระมหาสวามีอุทุมพรสังฆราชตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ทรงจาริกผ่าน เริ่มจัดเครื่องสักการะบูชา ตั้งแต่เมืองเชียงทองเมืองจันทร์ เมืองบางพาร ตลอดมาจนถึงเมืองสุโขทัยนับว่าเป็นการต้อนรับเป็นพิธีการอันยิ่งใหญ่ของเมืองสุโขทัย

    วันทรงผนวชขณะที่พรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชรับผ้าไตรจากพระอุปัชฌาย์แล้วทรงอธิษฐานจิตปรารถนาพุทธภูมิได้บังเกิดแผ่นดินไหว ไปทั่วทุกสารทิศในบริเวณอาวาสสุมม่วงเป็นที่ประจักษ์แก่ฝูงชนทั้งหลาย ทั่วกัน พระองค์ได้รับพระฉายาในสมณเพศว่า “ปับละวะราชา” (ปลลุวราชา) แปลว่า พระราชาผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร สันนิษฐานว่าพระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราชพร้อมคณะน่าจะพำนักณอาวาสสุมม่วงชั่วระยะหนึ่งโดยธรรมเนียมพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณมักนิยม สร้าง พระพุทธรูปพระพิมพ์พระเครื่องเพื่อหวังอานิสงส์แลบรรจุกรุเจดีย์ไว้สืบพระ พุทธศาสนาจึงมีการสร้างพระพิมพ์เนื้อดินขึ้นชุดหนึ่งนิยมเรียกกันว่า พระพิมพ์ วัดป่ามะม่วง เป็นพระพิมพ์ที่พระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราชทรงอธิษฐานจิตให้ สมัยสุโขทัยหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมดยืนยันว่า พระพิมพ์โลกอุดรวิเศษ กว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ มากมาย สิ่งนี้เป็นข้อยืนยัน
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    กล่าวย้อนไปถึงอดีตกาล พุทธศักราชผ่านพ้นไป 303 ปี ( ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงศ์พงศาดารลังกา คำบรรยายของ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ( อดีตภัณฑารักษ์เอกกรมศิลปกร )และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (บันทึกอักษรเทวนาครี ขุดค้น พบ ณ ซากศิลา วัดคูบัว ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี) ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ในปีพุทธศักราช 235 ซึ่งมีระยะ เวลาห่างกันถึง 68 ปี พระเจ้าอโศกหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ การชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ครั้นแล้วจึงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ องค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันต์เถระ ออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆดังนี้
    1. พระมัชฌันติกเถระ ไปยังกัสสมิรและคันธารประเทศ (คือประเทศแคชเมียร์และอัฟฆานิสสถานปัจจุบัน)
    2. พระมหาเทวะเถระ ไปยังมหิสมมณฑล ( คือแว่นแคว้นทางใต้ ลำน้ำโคทาวดี อันเป็นประเทศไมสอหรือไมเซอร์ ์ในปัจจุบัน )
    3. พระรักขิตเถระ ไปยังวนวาสีประเทศ (คือแว่นแคว้นกะนาราเหนืออันเป็นเขตเมืองบอมเบย์ปัจจุบัน
    4. พระธรรมรักขิตเถระ ไปยังปรันตกประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนชายทะเลด้านเหนือเมืองบอมเบย์ปัจจุบัน)
    5. พระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปยังมหารัฐประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนเหนือของลำน้ำโคทาวารี)
    6.พระมหารักขิตเถระไปยังโยนกประเทศ (คือบรรดาหัวเมืองต่างๆที่พวกโยนกได้ครองความเป็นใหญ่ในดินแดน ประเทศเปอร์เซียปัจจุบัน)
    7. พระมัชฌิมเถระ ไปยังหิมวันตประเทศ (คือมณฑลซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีเนปาลราช เป็นต้น)
    8. พระโสณเถระกับพระอุตร เถระ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ

    ข้อถกเถียงเรื่องสุวรรณภูมิเป็นมาช้านาน ฝ่ายไทยอ้างนครปฐมเป็นาชธานีของ สุวรรณภูมิ พม่าอ้างเมืองสะเทิมอันเป็นมอญฝ่ายใต้เป็นสุวรรณภูมิ เขมรและลาวต่างก็อ้างว่าประเทศของตน คือสุวรรณภูมิ แต่ใครจะอ้างอย่างไร ก็ล้วนมีส่วนถูกด้วยกันทั้งสิ้น คือท่านศาสตราจารย์เดวิดส์ อธิบายว่าเริ่มแต่รามัญประเทศไปจรดเมืองญวนและตั้งแต่พม่าไปจรดแหลมมลายู หรือที่เรียกว่า อินโดจีนเป็นสุวรรณภูมิทั้งนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับสั่งว่า คำที่เรียกสุวรรณภูมิประเทศนั้น จะหมายรวมดินแดนที่มีเป็นประเทศมอญ และไทยภายหลังทั้งหมด เหมือนอย่างที่เราเรียกว่า อินเดีย เป็นชมพูทวีปกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นใครในแหลมอินโดจีนจะอ้างว่าประเทศของตนเป็น สุวรรณภูมิจึงเป็นการถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีปัญหา
     
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ที่ไทยอ้างนครปฐม เป็นราชธานีนั้นก็เพราะจังหวัดนครปฐมมีเนื้อที่ภูมิประเทศกว้างขวางและ มีโบราณวัตถุสถานสร้างไว้มาก แต่จะเรียกชื่อเมืองหลวงว่าระไรในครั้งกระนั้นได้แค่สันนิษฐาน เห็นจะเรียกสุวรรณภูมินั่นเอง ชื่อนี้จึงได้แต่เป็นที่รู้กัน แพร่ หลายไปถึงอินเดียและลังกา จนเป็นเหตุให้ใช้ชื่อนี้ในหนังสือมหาวงศ์ฯ ว่า พระโสณกับพระอุตรได้อัญเชิญพระพุทธศาสนามาประดิษฐานสถานที่ เมื่องสุวรรณภูมิ และเป็นเหตุให้เรียกชื่อมหาสถูปที่เมืองนั้นว่า “ พระปฐมเจดีย์ ” หมายความว่า เป็นพระเจดีย์องค์ ์แรกที่ได้สร้างขึ้นในแถบประเทศ ตะวันออกนี้

    ส่วนคำจารึกอักขรเทวนาครีฉบับวัดเพชรพลี ปรากฏข้อความที่พิศดารยิ่งขึ้นโดยกล่าวถึงคณะพระธรรมฑูตได้เดินทาง มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาโดย ทางเรือประกอบด้วย พระโสณะเถระ พระอุตรเถระ พระมูนิยะ พระฌานียะ พระภูริยะ สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ พระสามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสิกา อดุลยอำมาตย์และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์และนาง พราหมณี ผู้คนอีก 38 คน ได้มาพักที่วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช) เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ.235 ออกบิณฑบาต วันขึ้น 15 ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตร และได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจตุตถกรรม วาจาโดยใช้ อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำ และได้วางเพศชีไทยโดยถือ แบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิษุณีโดยบวชหรือบรรพชาไม่มีเรือนออกจาก เรือน (อาคารสมา อนาคาริย ปพพชชา)ได้วางวิธี ีสวดปาติโมกข์หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม
     
  12. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้นสุวรรณภูมิ)รับสั่งให้ ้ มนขอมพิสน อมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธ์สีมา พ.ศ. 238 เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำขณะอยู่ระหว่างการก่อ สร้างท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระปาฏิโมกข์จบหลายองค์ แล้วจึงวางวิธีสวดสาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล่อง เมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชณายกัน จริง ๆ ท่านให้มนต์ขอม ปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธีเมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบสวดมนต์ไหว้พระ เห็นดีแล้วจึงให้สร้าง พระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมา

    การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ มีพระพุทธรูปเป็นองค์สมมุติพระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมุติ สงฆ์ ส่วนพระธรรม พระพุทธรูปที่มีกวางกับธรรมจักรกลับไม่มี การสร้าง หรือ ออกแบบในสมัยนั้น มีอยู่สี่ลักษณะด้วยกันคือ (ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักรปรินิพพาน) มีอักษรเทวนาครีจารึกระบุพระนามว่า โลกกน แบบประภามณฑลมี 3 วงซึ่งเป็นเครื่องหมายพระนาม ว่า “โลก” คือ วัฎฎ 3 แบบโปรดสหาย พระยศส่วน ปางมารวิชัยและปางสมาธิมีทุกสมัย
     
  13. tantawan

    tantawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +1,756
    ...เข้ามาให้กำลังใจทุกท่าน ที่มีความตั้งใจ
    และ...กราบคณะพระอาจารย์ในดง ทุกรูปทุกนาม...ค่ะ
     
  14. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    121.ขอลงชื่ออีกเสียงครับ"ole"
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ห้องนี้กระทู้สะพัดจริง ๆ เผลอแพล็บเดียวก็หลุดหน้า 1 แล้ว ต้องคอยเอาใจใส่
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ต่อมาในปี พ.ศ. 239 พระโสณกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุไทย 10 รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็น หัวหน้า 3 รูป อุบาสก อุบาสิกา ไปเรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตรแคว้นมคธ นับเป็นเวลา 5 ปีพระญาณจรณะ (ทองดี)ท่านนี้ปรากฏ หลักฐานเพียงรูปของพระพิมพ์มีลักษณะ อวบอ้วน คล้ายพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ด้านหลังมีรูปพระ 9 องค์เป็นอนุจร หรือ บวชทีหลัง คนชั้นหลังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นองค์เดียวกับพระมหากัจจายนะ เถระเจ้า และเรียกเพี้ยนเป็นพระสังขจายเรียกกันมานานนับพัน ๆ ปี

    ศัพท์สังขจายไม่มีคำนิยามในพจนานุกรมพุทธสาวกทุกพระองค์จะมีนามเป็นภาษา บาลีทั้งสิ้นไม่มีนามเป็นภาษาไทย พระญานจรณะ (ทองดี)บรรลุอรหันต์และจบกิจนานนับพันปีแล้ว ปัญหาเช่นดังกล่าวนี้หากนำพระปิดตาขึ้นมาพิจารณา อาจจะเป็นพระควัมปติก็ได้ เป็นพุทธสาวกทรงเอตทัคคะ ด้วยกัน แต่เป็นคนละองค์ คำพระควัมบดี ไม่มี)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF4455.JPG
      DSCF4455.JPG
      ขนาดไฟล์:
      219.7 KB
      เปิดดู:
      73
    • DSCF4457.JPG
      DSCF4457.JPG
      ขนาดไฟล์:
      209.1 KB
      เปิดดู:
      67
    • DSCF4463.JPG
      DSCF4463.JPG
      ขนาดไฟล์:
      217.5 KB
      เปิดดู:
      69
    • DSCF4513.JPG
      DSCF4513.JPG
      ขนาดไฟล์:
      220 KB
      เปิดดู:
      69
    • DSCF4525.JPG
      DSCF4525.JPG
      ขนาดไฟล์:
      216.6 KB
      เปิดดู:
      68
    • DSCF4610.JPG
      DSCF4610.JPG
      ขนาดไฟล์:
      173.9 KB
      เปิดดู:
      146
    • DSCF4586.JPG
      DSCF4586.JPG
      ขนาดไฟล์:
      213.2 KB
      เปิดดู:
      64
    • DSCF4604.JPG
      DSCF4604.JPG
      ขนาดไฟล์:
      224.6 KB
      เปิดดู:
      193
    • DSCF4648.JPG
      DSCF4648.JPG
      ขนาดไฟล์:
      226.7 KB
      เปิดดู:
      84
    • DSCF4676.JPG
      DSCF4676.JPG
      ขนาดไฟล์:
      187.7 KB
      เปิดดู:
      65
    • DSCF9622.JPG
      DSCF9622.JPG
      ขนาดไฟล์:
      403.5 KB
      เปิดดู:
      66
    • DSCF9661.JPG
      DSCF9661.JPG
      ขนาดไฟล์:
      458.3 KB
      เปิดดู:
      189
    • DSCF9640.JPG
      DSCF9640.JPG
      ขนาดไฟล์:
      520.2 KB
      เปิดดู:
      83
    • DSCF9657.JPG
      DSCF9657.JPG
      ขนาดไฟล์:
      627.6 KB
      เปิดดู:
      78
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2012
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ภาพประกอบ เป็นพระเครื่องจากฐานชุกชี วัดพระแก้ววังหน้า หรืออีกนามคือวัดบวรสถานสุทธาวาส ความจริงมีมากมายหลายพิมพ์ที่เดียว มีขนาดต่าง ๆ เล็กสุดเล็กกว่าปลายนิ้วก้อย ใหญ่สุดใหญ่กว่าหัวแม่มือ มีทั้งปิดตา 2 กรณ์ ปิดตา 4 กรณ์ ปิดตาเหรียญกลม ซึ่งก็คงจะเกี่ยวกับพระในดงทั้งสิ้น

    สนใจสอบถามหลังไมค์ครับ
     
  18. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ลุปี พ.ศ. 245 พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้าราชบุตรขึ้นครองราชย์ นามตะวันอธิราชเจ้า ถึงปี พ.ศ.264 พระโสณะใกล้ นิพพาน พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิ วางรากฐานธรรมวินัย ใน พระบวรพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา 29 ปี และท่านนิพพานในปีนั้น

    หลักฐานต่าง ๆ ตามที่กล่าวจารึกด้วยอักษรเทวนาครี ขุดพบที่โคกประดับอิฐ ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี พบรูปปั้นลอย องค์ ลักษณะนั่ง ลักษณะนั่ง ห้อยเท้า มีลีลาแบบปฐมเทศนา มีเศียรโล้น ด้านหนึ่งจารึกว่า โสณเถร ด้านล่าง อุตตรเถร ด้านล่างสุด สุวรรณภูมิ มีอยู่ด้วยกัน 5 องค์ผู้ค้นพบ ทุบเล่น 3 องค์ เหลือเพียง 2 องค์ ตกเป็นสมบัติของวัดเพชรพลี ส่วนครบชุด 5 องค์ คือ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ พระมูนียะเถระ พระฌานียเถระ พระภูริยะเถระ ในท่านั่งแสดงธรรม

    สมัยต่อมาในรัชกาลที่ 4 และ ที่ 5 มีการสร้างแบบพระสมเด็จขึ้น แล้วเห็นเป็นพระสมเด็จผิดพิมพ์อีกด้วย จึงเป็นการสับสนสำหรับผู้ที่ไม่รู้จริง จะเห็นได้ว่าตามหลักฐานบันทึก กล่าวเพียงพระโสณเถระไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ (อุตรก็คืออุดร) เป็นปัญหาว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่ เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดรไม่มีใครรู้จักพระโสณะเถระ ข้อเท็จจริง ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต องค์พี่คือพระอุตร มีร่างกายสันทัด องค์น้องมีร่างกายสูงใหญ่ มีฉายาว่าขรัวตีนโต ถ้านำพระธาตุ มาตรวจนิมิตจะบอกว่า โสณ – อุตร ไม่แยกจากกัน องค์น้องบรรลุอรหันต์ก่อนองค์พี่ แต่มีความเคารพองค์พี่มากต้องกราบองค์พี่แต่เหตุที่บรรลุก่อนพี่ชาย จึงเรียกโสณ– อุตรไม่เรียก อุตร–โสณะฉะนั้น หลวงปู่ใหญ่ก็คือพระอุตรนั่นเอง เจ้าประคุณสมเด็จพุฒจารย์(โต) พรหมรังสี กล่าวพระนามขององค์ท่านว่า พระโสอุดรพระโลกอุดร
     
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่ผมประกาศนั้นหมายถึงผมจะนำบันทึกลับเคล็ดวิชาของพระอาจารย์ในดงมาเปิดเผยให้ท่านนำไปศึกษาปฏิบัตินะครับ ไม่ได้หมายความว่าผมจะสอนวิชานะครับ เพราะผมไม่เคยสนใจใฝ่ศึกษาเรื่องคาถาอาคมหรือวิชาลี้ลับแบบนี้ ผมสนใจเรื่องวิปัสนากรรมฐาน ดูจิตดูใจ ดูลมหายใจ ศึกษาพฤติกรรมของจิตใจของตนเองตลอดเวลา ยอมรับทุกอย่างที่มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ถ้าผมอยากสอนก็คงอยากสอนเรื่องวิปัสสนากรรมฐานมากกว่า แต่เรื่องพระวิเศษในดงลี้ลับเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก ผมก็ไม่ขัดข้อง ได้แสวงหาข้อมูลมาเขียนให้อ่านและศึกษากัน

    เรื่องการศึกษาปฏิบัติมันเป็นวาสนาบารมีของแต่ละคน มันทำมาไม่เหมือนกัน แม้ในสมัยพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็ไม่สามารถที่จะแนะนำสั่งสอนผู้สนใจให้บรรลุธรรมเช่นที่ตัวเองบรรลุ เพราะไม่มีญาณวิเศษรู้วาสนาของคน ต้องให้พระพุทธเจ้าสั่งสอนแนะนำจึงสามารถบรรลุธรรมได้

    บางคนชอบทางอิทธิฤทธิ์ บางคนชอบทางปัญญา เลือกเอาเลยครับ ผมอนุโมทนาลูกเดียว
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขอนำเรื่องหลวงพ่อดำ ที่เขียนโดยคุณดวงธรรม โชนเชิดประทีป เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๗มาเล่าสู่กันฟัง


    เมื่อประมาณ ๗๒ ปีมาแล้ว [ ๓๐ปี(๒๕๐๗) + ๔๒ (๒๕๔๙)]
    มีข่าวเล่าลือ แพร่สพัดกันทั่วไปว่า ผู้ใดที่ได้ทำบุญตักบาตรตอนเช้านั้น จงพิจารณาพระภิกษุที่กำลังรับบาตรให้ดี ถ้าผู้ใดพบพระภิกษุรูปนั้น มีชายจีวรเป็นสีดำสนิทอยู่ขนาดประมาณ หัวแม่มือ นั่นแหละเป็นเครื่องหมายบ่งแสดงให้ทราบได้ละว่า ท่านคือ หลวงพ่อดำ

    หลวง พ่อดำ เป็นพระภิกษุชรารูปหนึ่ง เป็นพระอรัญวาสี ชายชีวรของท่านเป็นสีดำสนิทอยู่ขนาดหัวแม่มือนั่นแหละเป็นเครื่องหมายของ ท่าน ข่าวโจทย์จันกันว่า ท่านมีวิชา "ย่นระยะทาง " ทุกเช้าท่านจะออกบิณฑบาต มีข่าวเสมอว่า บางวันมีผู้พบท่านบิณฑบาตอยู่ ณ จังหวัดลพบุรี บางคราวก็มาบิณฑบาต ที่จังหวัดพระนคร และจังหวัดต่าง ๆ อยู่เสมอทั้งนี้เพราะท่านมีวิชา "ย่นระยะทาง" หรือ "ล่องหน"

    ผู้ที่มีโอกาสพบหลวงพ่อดำ และได้เป็นถ่ายทอดวิชาการทางจิต ก็คือท่านอภิชิโตภิกขุแห่ง วัดลาดบัวขาว ถนนตก พระนคร

    เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๕ ขณะที่ท่านอภิชิโตภิกขุ ยังเป็นสามเณรอยู่นั้น ได้เดินทางไป ณ จังหวัดนครปฐม ได้พบปะเพื่อนเด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นลูกเจ้าของไร่ และชักชวนกันไปเที่ยวขุดมันขุดเผือกในไร่ จู่ ๆ พระภิกุชรารูปหนึ่งก็มาปรากฎตัวให้เห็น แล้วถามว่า จะขุดเอาอะไรกัน พระภิกษุรูปนั้นหัวเราะ แล้วกล่าวว่า เผือกมันนั่นมันสุกดีแล้ว จะเอาไปต้มทำไม

    สามเณรและเพื่อน ๆ จึงปอกมันสำปะหลังขนาดใหญ่หัวหนึ่งดุ ปรากฏว่ามันสูกจริง ๆ ตามคำบอกของพระภิกษุชรารูปนั้น และเมื่อลองขุดดูต่อไป ก็พบว่ามันเผือกแต่ละหัวที่ขุดขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นเผือกสุกแล้วทุกหัว

    หลังจากนั้นพระภิกษุรูปนั้น หรือเรียกเสียเลยในที่นี้ว่า หลวงพ่อดำ ก็ได้อธิบายว่าเป็นเพราะอำนาจดวงจิต ดวงจิตที่ฝึกดีแล้วจะทำสิ่งมหัศจรรย์ได้ต่าง ๆ ถ้าเณรและเพื่อนไม่เชื่อก็ลองเอาท่อนไม้ทุบตีท่านแรง ๆ ดูก็ได้ ท่านไม่เจ็บไม่ปวดอะไรดอก

    สามเณรและเพื่อนใคร่จะทดลองดูให้ประจักษ์ตา หลวงพ่อดำจึงเปลื้องจีวรออก แล้วอนุญาตให้ลงมือทุบตี สามเณรและเพื่อน ๆ ได้ฉวยท่อนไม้ระดมกันทุบตีหลวงพ่อดำเป็นการใหญ่จนเหนื่อยหอบ แต่หลวงพ่อดำหาได้มีอาการเจ็บปวดอย่างใดไม่ สามเณรและเพื่อน ๆ เมื่อเห็นอภินิหาร ของหลวงพ่อดำดังนั้น จึงก้มลงกราบขอขมาลาโทษแก่ท่าน

    หลวงพ่อดำจึงถามว่า เณรอยากเรียนบ้างไหม ถ้าจะเรียนละก้อให้ไปพบท่านในป่ากาญจน์บุรี ตามวันกำหนดนัด ให้ไปคนเดียว อย่าเอาใครไปด้วยเป็นอันขาด

    ต่อจากนั้นทุก ๆ ปี สามเณรเมื่อเปลี่ยนภาวะเป็นพระภิกษุตามนามว่า ท่านอภิชิโตภิกขุก็ได้ไปเรียนวิชากับหลวงพ่อดำตลอดมา ตามสถานที่ต่าง ๆ กัน เช่นในป่าราชบุรี แม่ฮ่องสอน และจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ บางครั้งยังให้ไปพบในป่าเมืองร่างกูนประเทศพม่า หรือในป่าเมืองฮานอย ประเทศอินโดจีน เป็นต้น

    เมื่อท่านอภิชิโตภิกขุ ได้เรียนวิชากับหลวงพ่อดำมาหลายปี ท่านก็สามารถใช้อำนาจจิตที่ได้ฝึกมาถึงขั้นแล้ว ช่วยเหลือประชาชน รักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคฝี แผลต่าง ๆ โรคกระดูกหักเป็นต้น

    ส่วนทางด้านเมตตามหานิยม ท่านก็มีความสามารถใช้แผ่นทองคำเปลวปิดหน้าผาก แล้วใช้อำนาจดวงจิตบังคับให้แผ่นทองคำนั้น ชำแรกฝังเข้าไปในหน้าผากได้ โดยมิได้ใช้มือแตะตั้งแต่ประการใด ท่านอธิบายว่านอกจากทองคำเปลวแล้ว จะใช้แผ่นทองแท้ ๆ หรือแผ่นตะกรุดแทนก็ได้ แต่ตอนที่วัตถุเหล่านั้น แทรกลงไปในเนื้อ ก็อาจจะต้องรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง

    ในด้านคงกระพันชาตรี และความสามารถอื่น ๆ ท่านก็สามารถทำได้เช่น รูดโซ่เผาไฟอมน้ำเดือด ร่างกายฟันแทงไม่เข้า เสกโซ่ตรวน ซัดทรายเข้าตา เป็นต้น ท่านได้ถ่ายทอดวิชาเหล่านี้ให้แก่ พ.ท. ชม สุคันธรัตน์ ซึ่งพ.อ. ชม สุคันธรัตน์ ได้แสดงให้ใคร ๆ เห็นทางโทรทัศน์และสมาคมต่าง ๆ มาแล้วจนเป็นที่เลื่องลือกันเอิกเกริกทั่วไป
    .

    ในด้านมหัศจรรย์นั้นเล่า ท่านอภิชิโตภิกขุก็กล่าวว่าพอจะทำได้ เช่นทำใบไม้ให้กลายเป็นฟักแฟงแตงกวา ๆ ได้ แต่ท่านออกตัวว่ายังไม่ถึงขั้นสำเร็จ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นไปตามอำนาจจิตแล้ว ชั่วระยะหนึ่งก็เปลี่ยนแปลงกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ยังไม่สามารถที่จะทำให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป

    จากคำบอกเล่านี้ จึงมีผู้ขอให้ท่านอภิชิโตภิกขุ ทดลองทำให้ดู ท่านขอผลัดว่า จะต้องปรึกษาอาจารย์ของท่าน

    ปรากฏว่าหลวงพ่อดำอนุญาต ได้ทำการทดลอง เมื่อวันอังคารที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ต่อหน้านักหนังสือพิมพ์ซึ่งเตรียมถ่ายภาพยนตร์ และภาพ กับสักขีพยาน
    เช่นพระยาสารกิจพิลาศ นางแนบ มหารีลานนท์ อาจารย์สอนอภิธรรม และนายบุญมี เมธางกูร เจ้าของบทความเรื่อง “ความมหัศจรรย์ทางจิต” และบุคคลอื่น ๆ
    เริ่มกระทำเวลา ๑๘.๐๐ น. แสงสว่างไม่พอ ถ่ายได้แต่ภาพนิ่ง
    ท่านอภิชิโตภิกขุ ได้เข้านั่งกระทำสมาธิ โดยหันหลังให้คนดู กลัวจิตจะไม่เป็นสมาธิ
    วันนั้นท่านไม่สมารถทำสัตว์ใหญ่เช่นงูได้

    ดังนั้นท่านจึงให้โยมคนหนึ่งไปเด็ดใบมะม่วงแห้งมาให้ท่าน ๒ ใบ ท่านจึงนำมาเด็ดออกครึ่งใบ แล้วกระทำสมาธิด้วยวิธีเดิม ประมาณ ๑๕ นาที ท่านก็หันกลับมาด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มเอ่ยว่า คราวนี้ทำสัตว์เล็กสำเร็จ แล้วสั่งให้หาเชือกมาเส้นหนึ่ง เมื่อได้เชือกมาแล้วจึงค่อย ๆ คลายมืออกแล้วผูกเชือกไว้


    ทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องตกตะลึง เพราะใบมะม่วงแห้งนั้นได้กลายเป็นนกไปเสียแล้ว ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ว่ากลายเป็นนกได้เพราะเหตุใด
    นอกจากนั้นท่านอภิชิโตภิกขุยังได้เอาใบมะม่วงที่เหลืออีกหนึ่งใบมาทำด้วย วิธีเดิมสัก ๑๐ นาทีก็กลายเป็นนกไปอีกตัวหนึ่ง นำมาซึ่งความมหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก



    ที่มา ดวงธรรม โชนเชิดประทีป , ๒๕๐๗, หลวงพ่อดำในอิทธิปาฏิหาริย์ เกจิอาจารย์ บรรณาคารจำหน่าย , พระนคร: โรงพิมพ์ประเสริฐอักษร หน้า๒๘๒ - หน้า๒๙๑
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...