เรื่องเด่น อยากรู้ว่าถ้าศาสนาพุทธเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว ใครเอาโบราณสถานไปสร้างไว้อินเดีย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Deejang, 26 กันยายน 2010.

  1. ไข่นคร

    ไข่นคร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +281
    หลักที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์พิจารณาดูปัญจมหาวิโลกนะทั้ง ๕ ประการ

    ประการที่๑ พิจารณาดูกาลอันสมควร ดูอายุของสัตว์จะต้องอยู่ระหว่าง ๑๐๐ ปี ถึง ๑ แสนปี

    ประการที่๒ พิจารณาดูทวีป ซึ่งจะอุบัติแต่ในชมพูทวีปเท่านั้น

    ประการที่๓ พิจารณาดูประเทศ หมายถึง ถิ่นแดน ซึ่งจะอุบัติในมัชฌิมประเทศ และทรงกำหนดเมืองพาราณสี

    ประการที่๔ พิจารณาดูตระกูล จะอุบัติเฉพาะในขัตติยตระกูล หรือพราหมณ์ตระกูลเท่านั้น และทรงกำหนดว่า เวลานั้นตระกูลใดประเสริฐกว่า จึ่งจะอุบัติในตระกูลนั้น

    ประการที่๕ พิจารณาดูพระชนนี หมายถึงพระมารดากำหนดอายุพระมารดา คือมารดาจะต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ได้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป และพระมารดาจะมีพระชนมายุอยู่ได้อีก ๗ วัดหลังจากมีประสูติกาลแล้ว


    เหตุที่อินเดียไม่มีพระบรมสารีริกธาตุเพราะถ้าที่ใดไม่มีการนับถือศาสนาพุทธแล้วพระบรมสารีริกธาตุก็จะหายไปจากที่นั้น แล้วก็จะไปอยู่ที่ที่มีการนับถือกราบไหว้บูชา ซึ่งจะเห็นได้ช้ดว่าศาสนาพุทธเริ่มเสื่อม ซึ่งพระสมณโคดมพระองค์ทรงตรัสไว้ว่าศาสนาพุทธของพระองค์จะมีอายุ ๕๐๐๐ ปี หลังจากนั้นก็ไม่มีคนนับถือศาสนาพุทธ พระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดไม่ว่าจะที่ นาคพิภพนั้น เทวโลกบ้าง และพรหมโลกบ้าง ทั้งหมดก็จะเสด็จไปรวมกันที่มหาโพธิบัลลังก์ จะรวมประสานกันเป็นพระพุทธรูปแสดงพระพุทธสรีระของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ โพธิบัลลังก์ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์อันเป็นสถานที่ตรัีสรูป แ้ล้วเตโชธาตุจะลุกโพลงขึ้นมาเองจากพระสรีรธาตุที่เป็นพระพุทธรูปขององค์พระสมณโคดมพุทธเจ้านั้นสว่างไสวพลุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ครั้งเมื่อเปลวไฟทั้งหลายดับหมดไปแล้ว พระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายแสดงอนุภาพยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วก็อันตรธานไป พระพุทธศาสนาก็อันตรธานไปแล้่วจากวันนั้นก็ว่างจากพระพุทธเจ้า ว่าจากมรรคผลนิพพานรอพระเจ้าองค์ใหม่มาตรัส คือพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า
     
  2. VikingsX

    VikingsX ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    699
    ค่าพลัง:
    +4,668
    จารึก ชื่อ พระเจ้าอโศก นั้น มีอยู่ครับ...

    รู้สึกว่าถ้าจำไม่ผิด จะเป็นเรื่อง ม.นาลันทา ที่ถูกค้นพบ

    ที่รู้ว่าเป็น ม.นาลันทา นั้น ก็เพราะ มีรูปสลัก ธรรมจักรพร้อมกวางหมอบ

    มีขระ สลักไว้ว่า " นาลันทา วิหารี "

    ส่วนเรื่องของพระเจ้าอโศกนั้น แม้นักวิชาการอินเดียเองก็ยังยอมรับว่า

    หาชื่อของท่านได้ยากส์ แถบจะไม่มีเลย มีพบหลักฐานเพียงชิ้นเดียว

    เป็นภาพสลัก พระราชากับพระมเหสี ใต้ภาพสลักคำว่า " ราชา อโศก "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  3. tumsokpho

    tumsokpho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +469
    ที่ลุมพินีพระเจ้าอโศกได้จารึกข้อความลงในเสาหินด้วยอักษรพราหมีว่า
    สถานที่นี้คือที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
    เราเรียนมาตั้งแต่เด็กว่าพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่ชมพูทวีป
    แต่ประเทศไทยปัจจุบันคือสุวรรณภูมิมิใช่หรือ
     
  4. llOsloJ

    llOsloJ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +41
    ผมว่า สิ่งเหล่านี้หาใช่สาระสำคัญ จะเกิดที่ไหนก็แล้วแต่ จะดับที่ไหนก็แล้วแต่ แต่ใจของเรามี "พุทธะ" ก็ดีแล้วครับ หาใช่เรื่องที่ต้องถกเถียงกันเลย
     
  5. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    นี่คือสิ่งที่อยากท้าทาย ผู้มี "พลังจิต" ได้ไปพิสูจน์ ด้วยตัวเอง
    ให้สมกับที่ว่า เป็นสิ่งที่สมควรชักชวนให้ผู้อื่นมาพิสูจน์ด้วยตัวเองเถิด

    โดยเฉพาะที่ตรงนี้...

    [​IMG]

    ต้นโพธิ์ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยต้นไม้หนาม และมีหญ้าคาขึ้นอยู่ตามพื้น
    ซึ่งเป็นต้นโพธิ์รุ่นลูก หลาน เหลน ที่สืบมาจากต้นโพธิ์ที่พระพุทธองค์ประทับนั่งตรัสรู้
     
  6. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    อันนี้นะคิดนะครับ
    พระพุทธเจ้าอุบัติแค่ชมพูทวีปเท่านั้น และไม่แน่ใจว่า สังเวชนียสถานทั้ง 4 จะเกิดเฉพาะในชมพูทวีปด้วยหรือป่าว

    และประเทศไทยก็ไม่ใช่ชมพูทวีป อันนี้เคยอ่านเจอนะครับ เค้าว่ากันแบบนั้น บางก็ว่าเป็นชมพูทวีป



    แต่ที่แน่ๆแล้วพระแท่นดงรังขลังจริงแม้ว่าจะมีพระเถระบอกว่าไม่ใช่สถานที่ปรินิพพานแต่ความขลังนี้มาจากไหนหนอ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ลงจากรถยันก้าวออกจากวัด เหมือนเสียงสะอื้นจากเทวดายังคงมีอยู่...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  7. hearsay

    hearsay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +186

    อะไรจะจริงหรือไม่จริงผมไม่ทราบนะ แต่คำสอนของพระพุทธองค์นั้นเป็นจริงแท้แน่นอนเป็นหนึ่งไม่มีสองครับ

    หรือใครมีความเห็นอื่นครับ
     
  8. hearsay

    hearsay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +186








    แต่ผมว่าผมเคยได้ยินท่านผู้รู้ท่านหนึ่งคือถ้าบอกชื่อคิดว่าคงต้องรู้จักแน่ เพราะงั้นอย่าไปเอ่ยถึงท่านเลยครับ ผมจะบอกเพียงแต่ว่าท่านเล่าว่าเคยไปอินเดีย ท่านไปยังจุดที่พระเจ้าวิทูรย์นำกองทัพไปล้างเหล่าศากยะวงศ์ ท่านบอกว่าดวงวิญญาณเหล่านั้นยังอยู่ที่นั้นเต็มเลยเหมือนกันครับ ผมว่าน่าจะพอแล้วมั๊งครับเรื่องสถานที่

    ท่านไม่ลองเอาเวลามาค้นคว้าว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกอันไหนของแท้ และอันไหนที่ไม่ใช่ผมว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่านะครับ แต่ก็แล้วแต่ท่านนะครับ ผมแค่เสนอต่อท่านเฉย ด้วยความเคารพครับ
     
  9. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ในส่วนภาพนี้ก็ต้องมาวิเคราห์ ว่าพระแท่นศิลาอาสน์ หรือต้นโพธ์นี้อยู่ห่างจากแม่นําสําคัญในวันตรัสรู้มากน้อยแค่ไหน เพราะพุทธประวัติระบุไว้ว่า ทรงรับปฐมทานเป็นหญ้าคา มาจากแถวนั้นเพื่อทําบัลลังก์ หลังจากนั้นทรงรับมธุปายาส จากนางสุชาดา เมื่อทานพอประคองอัตภาพเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงอธิฐานจิตลอยถาดทวนกระแสนําเนรัญฯ (ดูจากวิเคราะห์หลายๆกระทู้ก่อนหน้านั้นคุณเอกอิสโร หมายเอาบริเวญวัดพระแท่นศิลาอาสน์ เป็นสถานที่ตรัสรู้ ก็ต้องมีเพียงแม่นําสายเดียวคือแม่นําน่านก็ต้องมาดูพิกัดของแม่นําน่านและวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ว่าห่างกันมากน้อยเพียงใด เพราะคิดว่า บริเวณสถานที่ตรัสรู้ไม่น่าจะห่างจากแม่นํามากนัก เพราะสังเกตุเห็นว่าทรงลุกจากอาสนะไปที่ริมแม่นําเนรัญฯ แล้วกลับมาเสวยข้าวมธุปายาสแล้วกลับไปลอยถาดอธิฐาน แล้วทรงกลับมาที่อาสนะชัย ระยะคงไม่ห่างจากแม่นําแน่ ระหว่าง 2 จุดนี้) แล้วประทับอาสนะชัย

    ตัวผมเองก็ไม่เคยไปวัดพระแท่นศิลาอาสน์ด้วย เลยไม่รู้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ กับวัดนี้ ก็ต้องขออภัยละครับ
     
  10. Dhanainan

    Dhanainan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,174
    อ้าวตกลงเรานับถือศาสนาพุทธเพียงเพื่อต้องการสืบเรื่องกันหรือ ถ้าพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง จะมีคนนับถือพุทธองค์ไหมนั่น ใบไม้ทั้งต้นสนใจทำไมนับใบไม่หมด นับยังไงก็ได้แค่ 4 ใบ เอ........คือ....... แล้วจะหาคำตอบไรกัน
     
  11. tobetruly

    tobetruly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +427
    เป็นกำลังใจ ให้ทำการค้นคว้าต่อไปครับ

    ประวัติศาสตร์เปลี่ยงแปลงเสมอ เมื่อพบการค้นคว้าที่ถูกต้องกว่า
     
  12. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    เรียน คุณ อาภากร ครับ เรื่องสถานที่ตั้ง ๑ ใน ๔ สังเวชนียสถาน จากการศึกษาของ ผู้ที่สนใจเรื่องนี้ ยังไม่เป็นที่ตรงกัน อยู่ ๒ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ และตรัสรู้ ครับ

    ในส่วนการศึกษา ของผม สถานที่ตรัสรู้ อยู่ ในพื้นที่ "โนนโพธิ์ใหญ่" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก บ้านโพธิ์ชัย ที่มี แหล่งโบราณคดีเมืองชัยวาน ในหมู่บ้านนี้ จะมีวัดชื่อ "เกษามคม" อยู่ที่ อำเภอโคกโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น ครับ ไม่ใช่ที่พระแท่นศิลาอาสน์ อุตรดิตถ์

    [​IMG]

    ปริศนาที่พบในการเดินทางไปบ้านโพธิ์ชัย กิ่ง อำเภอโคกโพธิ์ชัย ครั้งแรก
    เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2547 คือซุ้มประตูวัดที่เป็นภาพนางสุชาดาถวาย
    ข้าวมธุปายาส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  13. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ข้างล่างนี้ คือ แผนที่ที่จะเดินทางไปโนนโพธิ์ใหญ่ ครับ





    [​IMG]

    เมื่อเข้าไปจาก ถนน 229 จะผ่านเข้าบ้านโพธิ์ชัย มีวัดเกษามคม มี เสมาหิน และ
    เสา ๘ เหลี่ยม เดิมมีจารึก คาถา เย ธมฺมา แต่กระเทาะแล้ว เดินทางต่อไปอีก ผ่าน
    บ้านนายาว เพื่อไปโนนโพธิ์ใหญ่ ที่อยู่ห่างจากชุมชน ไปทางตะวันออก
    จะไปพบ โนนโพธิ์ใหญ่ อยู่ห่างจากแม่น้ำชีปัจจุบัน ประมาณ 1 กิโลเมตร

    ซึ่งบริเวณนี่นั่นเอง ที่ผม จะทำการขุดค้น เพื่อหาหลักฐาน ในอีก 6 เดือน ข้างหน้า
     
  14. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    เรื่องพระเจ้าอโศกมหาราช ที่คนไทยควรรู้


    โดย เอกอิสโร วรุณศรี ณ วันที่ 29 กันยายน 2010 เวลา 11:40 น.




    แปลกมั๊ยครับ ที่ ในบันทึกสมัยโบราณของคนไทย รู้วัน เดือน ปีเกิด ของพระเจ้าอโศกมหาราช และขึ้นครองราชย์ตรงตามที่ พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า


    [​IMG]
    ข้อความที่ปรากฏอยู่ในตำนานทางเหนือ แปลออกมาเป็นไทยแล้ว



    ในพระอรรถกถา ตอนหนึ่ง บันทึกไว้ว่า..

    แม้พระมหากัสสปเถรก็เล็งเห็นพระเจ้าอโศกล่วงหน้าถึง ๒๑๘ ปี

    ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะ อธิษฐานว่า พวงมาลัยอย่าเหี่ยว กลิ่นหอมอย่าหาย ประทีป
    อย่าไหม้ แล้วให้จารึกอักษรไว้ ที่แผ่นทองว่า แม้ในอนาคตกาลครั้งพระกุมาร
    พระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช ท้าวเธอจัก
    ทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายไป ดังนี้. พระราชาทรงเอาเครื่อง
    ประดับทั้งหมดบูชา ทรงปิดประตูแล้วเสด็จออกไปตั้งแต่แรก. ท้าวเธอครั้น
    ปิดประตูทองแดงแล้ว ทรงคล้องตรากุญแจไว้ที่เชือกผูก ทรงวางแท่งแก้วมณี
    แท่งใหญ่ไว้ที่ตรงนั้นนั่นเอง โปรดให้จารึกอักษรไว้ว่า ในอนาคตกาล เจ้า
    แผ่นดินที่ยากจน จงถือเอาแก้วมณีแท่งนี้ กระทำสักการะพระบรมธาตุทั้ง
    หลายเทอญ.
    ท้าวสักกะเทวราช เรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาทรงส่งไปด้วยพระดำรัส
    สั่งว่า พ่อเอ๋ย พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเก็บพระบรมธาตุแล้ว เจ้าจงตั้งกองรักษา
    การณ์ไว้ที่นั้น. วิสสุกรรมเทพบุตรมาประกอบหุ่นยนต์มีโครงร่างร้าย รูปไม้
    (หุ่นยนต์) ถือพระขรรค์สีแก้วผลึก ในห้องพระบรมธาตุ เคลื่อนตัวได้เร็ว
    เสมือนลม. วิสสุกรรมเทพบุตรประกอบหุ่นยนต์แล้ว ติดลิ่มสลักไว้อันเดียว
    เท่านั้น เอาสิลาล้อมไว้โดยรอบ โดยอาการเสมือนเรือนสร้างด้วยอิฐ ข้างบน
    ปิดด้วยสิลาแผ่นเดียว ใส่ฝุ่นแล้วทำพื้นให้เรียบ แล้วประดิษฐานสถูปหินไว้
    บนที่นั้น. เมื่อการเก็บพระบรมธาตุเสร็จเรียบร้อยอย่างนี้แล้ว แม้พระเถระ
    ดำรงอยู่จนตลอดอายุก็ปรินิพพาน แม้พระราชาก็เสด็จไปตามยถากรรม พวก
    มนุษย์แม้เหล่านั้น ก็ตายกันไป.
    ต่อมาภายหลัง เมื่อครั้งอโศกกุมารเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระธรรม
    ราชาพระนามว่าอโศก ทรงรับพระบรมธาตุเหล่านั้นไว้แล้ว ได้ทรงกระทำให้
    แพร่หลาย. ทรงกระทำให้แพร่หลายอย่างไร ? พระเจ้าอโศกนั้น อาศัยนิโครธ
    สามเณร ทรงได้ความเลื่อมใสในพระศาสนา โปรดให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐
    วิหารแล้ว ตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า โยมให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหารแล้ว จัก
    ได้พระบรมธาตุมาจากไหนเล่า ท่านเจ้าข้า. ภิกษุสงฆ์ทูลว่า ถวายพระพร
    พวกอาตมภาพฟังมาว่า ชื่อว่าที่เก็บพระบรมธาตุมีอยู่ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน.
    พระราชาให้รื้อพระเจดีย์ในกรุงราชคฤห์ ก็ไม่พบ ทรงให้ทำพระเจดีย์คืนดี
    อย่างเดิมแล้ว ทรงพาบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปยัง
    กรุงเวสาลี แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้ ก็ไปยังกรุงกบิลพัศดุ์ แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้
    แล้วไปยังรามคาม เหล่านาคในรามคาม ก็ไม่ยอมให้รื้อพระเจดีย์. จอบที่ตก
    ต้องพระเจดีย์ ก็หักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย. ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ในที่นั้น
    ก็ไม่ได้ ก็ไปยังเมืองอัลลกัปปะเวฏฐทีปะ ปาวา กุสินารา ในที่ทุกแห่งดั่งกล่าว
    มานี้ รื้อพระเจดีย์แล้วก็ไม่ได้พระบรมธาตุเลย ครั้นทำเจดีย์เหล่านั้นให้คืนดี
    ดั่งเดิมแล้ว ก็กลับไปยังกรุงราชคฤห์อีก ทรงประชุมบริษัท ๔ แล้วตรัสถามว่า
    ใครเคยได้ยินว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ ในที่ชื่อโน้น มีบ้างไหม. ในที่ประชุมนั้น
    พระเถระรูปหนึ่ง อายุ ๑๒๐ ปี กล่าวว่า อาตมาภาพก็ไม่รู้ว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ
    อยู่ที่โน้น แต่พระมหาเถระบิดาอาตมภาพ ให้อาตมภาพครั้งอายุ ๗ ขวบ
    ถือหีบมาลัย กล่าวว่า มานี่ สามเณร ระหว่างกอไม้ตรงโน้น มีสถูปหินอยู่
    เราไปกันที่นั้นเถิด แล้วไปบูชา ท่านพูดว่า สามเณร ควรพิจารณาที่ตรงนี้.
    ถวายพระพร อาตมภาพรู้เท่านี้ พระราชาตรัสว่า ที่นั่นแหละ แล้วสั่งให้ตัด
    กอไม้ แล้วนำสถูปหินและฝุ่นออก ก็ทรงเห็นพื้นโบกปูนอยู่ แต่นั้นทรงทำลาย
    ปูนโบกและแผ่นอิฐแล้วเสด็จสู่บริเวณตามลำดับ ทอดพระเนตรเห็นทรายรัตนะ
    ๗ ประการ และรูปไม้ (หุ่นยนต์) ถือดาบ เดินวนเวียนอยู่ ท้าวเธอรับสั่งให้
    เหล่าคนผู้ถือผีมา แม้ให้ทำการเซ่นสรวงแล้ว ก็ไม่เห็นที่สุดโต่งสุดยอดเลย
    จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลายแล้วตรัสว่า ข้าพเจ้ารับพระบรมธาตุเหล่านี้แล้ว
    บรรจุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร จะทำสักการะ ขอเทวดาอย่าทำอันตรายแก่
    ข้าพเจ้าเลย.
    ท้าวสักกะเทวราช เสด็จจาริกไปทรงเห็นพระเจ้าอโศกนั้นแล้ว เรียก
    วิสสุกรรมเทพบุตรมาสั่งว่า พ่อเอ๋ย พระธรรมราชาอโศก จักทรงนำพระบรม-
    ธาตุไป เพราะฉะนั้น เจ้าจงลงสู่บริเวณไปทำลายรูปไม้ (หุ่นยนต์) เสีย วิสสุกรรม
    เทพบุตรนั้น ก็แปลงเพศเป็นเด็กชาวบ้านไว้จุก ๕ แหยม ยืนถือธนูตรง
    พระพักตร์ของพระราชาแล้ว ทูลว่า ข้าจะนำไป มหาราชเจ้า. พระราชาตรัสว่า
    นำไปสิพ่อ. วิสสุกรรมเทพบุตรจับศรยิงตรงที่ผูกหุ่นยนต์นั้นแล ทำให้ทุกอย่าง
    กระจัดกระจายไป. ครั้งนั้น พระราชาทรงถือตรากุญแจ ที่ติดอยู่ที่เชือกผูก
    ทอดพระเนตรเห็นแท่งแก้วมณีและเห็นอักษรจารึกว่า ในอนาคตกาล เจ้า
    แผ่นดินที่ยากจนถือเอาแก้วมณีแท่งนี้แล้ว จงทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลาย
    ทรงกริ้วว่า ไม่ควรพูดหมิ่นพระราชาเช่นเราว่า เจ้าแผ่นดินยากจน ดังนี้แล้ว
    ทรงเคาะซ้ำ ๆ กันให้เปิดประตู เสด็จเข้าไปภายในเรือนประทีปที่ตามไว้ เมื่อ
    ๒๑๘ ปี ก็โพลงอยู่อย่างนั้นนั่นเอง ดอกบัวขาบก็เหมือนนำมาวางไว้ขณะนั้น
    เอง เครื่องลาดดอกไม้ก็เหมือนลาดไว้ขณะนั้นเอง เครื่องหอมก็เหมือนเขาบด
    วางไว้เมื่อครู่นี้เอง. พระราชาทรงถือแผ่นทอง ทรงอ่านว่า ต่อไปในอนาคต
    กาล ครั้งกุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระธรรมราชา
    พระนามว่า อโศก ท้าวเธอจักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลาย
    ดังนี้ แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้า มหากัสสปเถระเห็นตัวเราแล้ว
    ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบกับพระหัตถ์ขวา. ท้าวเธอเว้นเพียงพระบรมธาตุที่ปก
    ปิดไว้ในที่นั้น ทรงทำพระบรมธาตุที่เหลือทั้งหมดมาแล้ว ปิดเรือนพระบรม-
    ธาตุไว้เหมือนอย่างเดิม ทรงทำที่ทุกแห่งเป็นปกติอย่างเก่าแล้ว โปรดให้
    ประดิษฐานปาสาณเจดีย์ไว้ข้างบน บรรจุพระบรมธาตุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร
    ทรงไหว้พระมหาเถระแล้ว ตรัสถามว่า ท่านเจ้าข้า โยมเป็นทายาทในพระพุทธ
    ศาสนาได้ไหม ? พระมหาเถระทูลว่า ถวายพระพร มหาบพิตรยังเป็นคน
    ภายนอกของพระศาสนา จะเป็นทายาทของอะไรเล่า. ตรัสถามว่า ก็โยมบริจาค
    ทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ ให้สร้างวิหารไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ วิหาร ยังไม่เป็นทายาท
    คนอื่นใครเล่าจะเป็นทายาท. พูดว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ได้ชื่อว่าเป็น
    ปัจจยทายก ก็ผู้ใดบวชบุตรหรือธิดาของตน ผู้นี้จึงจะชื่อว่า เป็นทายาทของ
    พระศาสนา. ท้าวเธอจึงให้บวชพระโอรสและพระธิดา. ครั้งนั้น พระเถระ
    ทั้งหลายทูลพระองค์ว่า ขอถวายพระพร บัดนี้ มหาบพิตรเป็นทายาทในพระ
    ศาสนาแล้ว.

    (จาก เล่ม ๑๓ อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้า ๔๖๕-๔๗๐ ปฐมสมันตาปาสาทิกาแปล)

    พระพุทธเจ้า ก็เล็งเห็น พระโมคคัลลีบุตรติสสะ ที่เป็นประธานการสังคายนาครั้งที่ ๓ ในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช ล่วงหน้า ดังในพระอรรถกถา บันทึกไว้ว่า..

    พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นพระโมคคัลลีบุตรล่วงหน้า หลังพุทธปรินิพพาน ๒๑๘ ปี

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า เมื่อเราปรินิพพานล่วงไป ๒๑๘ ปี
    พระเถระชื่อว่าโมคคัลลีปุตตติสสะ จะนั่งในท่ามกลางภิกษุหนึ่งพัน ประมวล
    พระสูตรมาพันหนึ่ง คือ พระสูตร ๕๐๐ สูตร ในฝ่ายสกวาที พระสูตร ๕๐๐
    สูตรในฝ่ายปรวาที แล้วจักจำแนกกถาวัตถุปกรณ์ประมาณเท่ากับทีฆนิกาย
    แม้พระโมคคัลลีปุตตติสสเถระ เมื่อจะแสดงปกรณ์นี้ มิได้แสดงด้วยญาณของ
    ตน แต่แสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้โดยนัยที่พระศาสดาประทาน ดังนั้น ปกรณ์นี้
    ทั้งสิ้น จึงชื่อว่าพุทธภาษิตเหมือนกัน เพราะพระเถระแสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้
    โดยนัยที่พระศาสดาประทาน เหมือนมธุปิณฑิกสูตรเป็นต้น.

    จาก เล่ม ๗๕ อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีปกรณ์ หน้า ๑๕

    แต่ ตามที่นักประวัติศาสตร์ชาวตะวันตก ศึกษาประวัติพระเจ้าเทวานัมปิยทัสสี ที่เขาเชื่อว่า คือ "พระเจ้าอโศก" นั้น กลับประสูติ หลัง พ.ศ. ๒๑๘ ซึ่งเป็นที่ขึ้นครองราชย์ ตามที่บันทึกไว้ในพระอรรถกถา คือ ประสูติ 302 BC หรือ พ.ศ. 240 ครองราชย์ 273 BC หรือ พ.ศ. 270 ตามประวัติย่อ จาก Wikipedia นี้


    [​IMG]
    ประวัติย่อพระเจ้าอโศก ใน Wikipedia



    ใน ตำนานพระธาตุเลียะเกิง หรือ เจดียชเวดากอง ตอนหนึ่ง มีข้อความที่น่าสนใจ บันทึกไว้ว่า

    พระเจ้าศิริมาโศก (เมืองสะเทิม)

    เจดีย์เลียะเกิงตั้งแต่แรกสร้างมานั้นจนถึงกษัตริย์วงศ์ของพระเจ้าเอิกกะลาปะองค์ที่ 32 ทุกพระองค์ได้อุปถัมภ์เจดีย์ไว้จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดสนใจซ่อมแซมเลย ไม่มีบุคคลใดจนจำสถานที่สร้างพระเจดีย์ ขณะนั้นในอาณาจักรมอญศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เจริญรุ่งเรือง จึงยังไม่มีใครอุปถัมภ์พระเจดีย์ เจดียสถาน ต่อมาถูกปกคลุมด้วยป่ารกไปหมด จนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วจนถึง พ.ศ. 235 อาณาจักรมอญนี้ พระศาสนายังไม่ตั้งมั่นเริ่มจาก พ.ศ. 236 จากเมืองสิงหล (ลังกาทวีป) มีภิกษุ 2 องค์คือ โสณเถระ และ พระอุตตระเถระ เป็นผู้นำพระพุทธศาสนามาประดิษฐานที่เมืองสะเทิม จึงมีบุคคลเลื่อมใสตั้งแต่นั้นมา

    ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าศิริมาโศกทราบทูลพระโสณและพระอุตตระเถระ ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญในเมืองมอญเรา ก็มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามเณร และสามเณรี สาวกพุทธเจ้าก็มีมากพุทธศาสนาตั้งมั่นดีแล้ว แต่พระเกศาธาตุแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่มีพระคุณเจ้าขอตั้งจิตเมตตา อัญเชิญมาตามคำกราบทูลด้วยเถิด "พระมหาเถระทั้ง 2 ทราบพระดำริแล้วจึงถวายพระพรว่าข้าแต่มหาบพิตร ขณะพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอยู่ มีคนชาติมอญ 2 คนชื่อว่านายตะเปา และนายตะปอ นิมนต์พระเกศาธาตุมา 8 องค์แล้ว ประดิษฐานที่เจดีย์บนภูเขาสิงฆุตตระ ในขณะนั้นเจดีย์ถูกปกคลุมด้วยป่าไม้ไผ่และเถาวัลย์ไม่มีใครมองเห็น พระเจ้าศิริมาโศกมีความปิติโสมนัสมาก นิมนต์พระเถระทั้ง 2 รูปพร้อมแม่ทัพนายกองทหารต่าง ๆ เดินทางไปเมืองเลียะเกิงขึ้นไปบนภูเขาสิงฆุตตระและพระมหาเถระชี้เจดียสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุ เมื่อทอดพระเนตรแล้วรับสั่งให้ข้าราชบริพารต่าง ๆ ถางป่าและบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์เลียะเกิง จากนั้นมาในประเทศมอญก็มีคนกราบไหว้บูชาเจดีย์เลียะเกิงมาตราบเท่าทุกวันนี้


    แต่ ที่น่าสงสัยคือ พระเจ้าอโศกที่เขาว่าอยู่ที่อินเดีย กลับเกิดทีหลังที่คนไทยรู้ และพระมหากัสสปะ ทำนายไว้ เกือบ ๕๒ ปี ครองราชย์ หลังการสังคายนา และการบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุเลียะเกิง ที่พม่า เกือบ ๓๕ ปี แล้วอย่างนี้จะเชื่อ พระอรหันต์ เชื่อบรรพบุรุษ โคตรเหง้าของเรา หรือ จะเชื่อฝรั่งครับ?
     
  15. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ฝรั่งไม่ใช่บิดาบังเกิดเกล้าของผม ทำไมผมต้องเชื่อฝรั่งแบบคิดเองไม่เป็นหละครับ
    เอาใจช่วยนะครับ ขอให้เจอหลักฐานจากการขุดค้นที่สำคัญเพื่อยินยันสมมติฐานของท่านในเร็ววัน
     
  16. paintkiller

    paintkiller เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +946
    เอาใจช่วยครับ จะได้หักหน้าฝรั่งเลย อีกอย่างที่ อินเดียไม่เห็น มีพญานาคแบบของเราแถวนี้เลย
     
  17. xushukung

    xushukung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +465
    ก็ขออนุโมทนา ในความพยายามของหลาย ๆ ท่านที่พยายามค้นคว้าหาหลักฐานมาพิสูจน์กัน ส่วนตัวผมคิดว่า อายุผมคงไม่ยาวพอที่จะไปศึกษาถึงเรื่องเหล่านี้มากนัก แค่คำสอนของพระพุทธองค์เพื่อให้พ้นจากกองทุกข์ ก็ยังทำได้เพียงกระพี้ ขอเอาเวลาไปศึกษาธรรมที่เป็นของแน่แท้จะดีกว่า

    ผมเชื่อว่า(ส่วนตัว) พระองค์ท่านคงไม่ได้ต้องการให้ใครมาอยากรู้ว่า จริง ๆ แล้วท่าประสูติที่ไหน ตรัสรู้ที่ไหน ปรินิพพานที่ไหน ก็เมื่อรู้ไปก็เท่านั้น ก็มันเป็นอนิจจัง อนัตตา อยู่แล้ว ถึงจะพิสูจน์ได้จริง แล้วมันเกิดประโยชน์อะไร ธรรมของพระองค์ต่างหากที่เป็นของจริง

    พระองค์ได้ชี้ทางเดิน เพื่อไปพบพระองค์ไว้แล้ว ผมเลือกที่จะเดินตามทางนั้น วันหนึ่งผมคงได้พบพระองค์ท่าน โดยที่ไม่ต้องมาถามใครว่าพระองค์ท่านประสูติที่ไหน ตรัสรู้ที่ไหน ปรินิพพานที่ไหน เพราะกว่าจะกระจ่างชัด โลกนี้จะยังมีเศษเสี้ยวให้พิสูจน์อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
     
  18. kencito

    kencito เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +954
    ถ้าทำเพราะว่า รู้สึกว่า ตัดไม่ขาดจากเรื่องนี้ ทำไปเถอะครับ แสดงว่า มีหน้าที่อะไรบางอย่างเกี่ยวข้อง คนเขาสนใจเรื่องอะไร ดันให้เขาไปสนใจอีกเรื่องน่ะยาก เพียงแต่เพิ่มการปฏิบัติธรรมเข้าไปครับ ทำดี รักษาศีล ทำทาน คนทุกคนมีงานของตนครับ เวลาจะทิ้งอันนี้ไปถึงอีกอย่าง มันจะเป็นเวลาที่เรารู้สึกว่า "โอเค จบและ" ของเราเองครับ

    ความเห็นของผม เคยใช้มโนมยิทธิ ระดับ เป็ดๆของตัวเองดู เหมือนกันครับ พระพุทธเจ้ามาที่เมืองไทย ทั้งห้าพระองค์ และความรู้สึกในตอนนั้น คิดว่า เมืองไทยต้องสำคัญมากๆ แน่ๆ
    และอาจารย์ที่สอนก็พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้สักอย่าง ไม่แน่จัย

    ปล ผมอ่านหนังสือ ความลับพระพุทธเจ้า แล้ว ชอบๆ
     
  19. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809

    แก้ว่า..


    สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล



    [๑๓๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลก่อน พวกภิกษุอยู่จำพรรษา


    ในทิศทั้งหลายพากันมาเพื่อเห็นพระตถาคต พวกข้าพระองค์ ย่อมได้เห็น


    ได้เข้าไปนั่งใกล้ ภิกษุผู้ให้เจริญใจเหล่านั้น พวกข้าพระองค์ โดยล่วงไปแห่ง


    พระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ได้เห็น จักไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุผู้ให้เจริญใจ.


    ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี้ เป็นที่ควรเห็นของ


    กุลบุตรผู้มีศรัทธา. สังเวชนียสถาน ๔ เป็นไฉน. สังเวชนียสถานเป็นที่ควร


    เห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยระลึกว่า พระตถาคตประสูติในที่นี่ ๑ สังเวชนีย-


    สถานเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยระลึกว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุต-


    ตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ ๑ สังเวชนียสถานเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มี


    ศรัทธาด้วยระลึกว่า พระตถาคตยังธรรมจักรอันยวดยิ่งให้เป็นไปแล้วในที่นี้ ๑


    สังเวชนียสถานเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยระลึกว่า พระตถาคต


    เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ ๑ อานนท์ สังเวชนียสถาน


    ๔ แห่งเหล่านั้นแล เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ภิกษุ ภิกษุณี


    อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธาจักมาด้วยระลึกถึงว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้


    บ้าง พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้บ้าง พระตถาคตยัง


    ธรรมจักรอันยวดยิ่งให้เป็นไปในที่นี้บ้าง พระตถาคตเสร็จปรินิพพานแล้วด้วย


    อนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้บ้าง ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยัง


    เจดีย์มีจิตเลื่อมใส จักกระทำกาละ ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตาย


    เพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.


    (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ )
     
  20. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    แก้ว่า..

    ถ้าได้อ่าน "ศาสนวังสะ" หรือ ประวัติ พระธาตุเจดีย์ ทั้งในภาค เหนือ และภาคอีสาน ฉบับดั้งเดิม และไม่ถูกตัดทอน จะรู้ว่า บรรพบุรุษ บรรพชน ได้สืบต่อพระพุทธศาสนา มายาวนาน ตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล สืบต่อกันมา แม้ในสมัย "พระเจ้าอโศกมหาราช" ก็ได้เสด็จ ไปสร้าง พระธาตุเจดีย์หลายองค์ ในภาคเหนือ ของไทย และก็ยังปรากฏ มีอยู่จนทุกวันนี้
    หรือในดินแดน พม่า ก้มีการสร้างสืบมา ตั้งแต่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ หรือในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ก็มีหลายองค์ ที่นับเนื่องใน ๘๔,๐๐๐ องค์
    และ "วัดพระเชตวัน" ที่เศรษฐีอนาถบิณฑิกะ สรางก็อยู่ในเมือง พม่า

    แต่เราไม่เคยเชื่อหลักฐานของบรรพบุรุษ บรรพชน ของเราต่างหาก
    แต่ยอมให้ ฝรั่ง ให้แขกหลอก มาตลอด
     

แชร์หน้านี้

Loading...