เรื่องเด่น อยากรู้ว่าถ้าศาสนาพุทธเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว ใครเอาโบราณสถานไปสร้างไว้อินเดีย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Deejang, 26 กันยายน 2010.

  1. xushukung

    xushukung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +465
    ขอบคุณ คุณเอกอิสโร ที่ชี้แนะครับ
     
  2. jeerus

    jeerus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +146
    ผมว่าคุณเอกอิสโร คิดมากไปรึป่าวคับ ไม่งั้น หลวงพ่อลีธรรมธโรวัดอโศการาม หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน หลวงพ่อกัสสปะมุนี และอีกหลายท่านจะไปอินเดียทำไม และท่านยังบอกว่าพบสิ่งมหัศจรรย์ที่นั่นอีก พระสุปฏิปันโนทั้งนั้นยังยืนยัน เราจะเชื่อใครดีล่ะ คิดเอา และเมื่อสัก20กว่าปีก่อน อาจารย์หลวงพ่อจรัญท่านนึงก็เคยทำนายไว้ว่าอนาคตจะมีคนบิดเบือนว่าศาสนาพุทธเกิดในไทย ไม่ได้เกิดที่อินเดียหรือเนปาล ในที่สุดคำทำนายนั้นก็เป็นจริงแล้ว เห็นมีทำเว็บด้วยเป็นดร. ก็พิสูจน์ละกัน แต่ผมว่าเอาเวลาค้นคว้าไปฝึกกรรมฐานให้ดียิ่งๆขึ้นไปดีกว่านะ
     
  3. ritta

    ritta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +228
    เอ...กระผมจำได้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ถ้ามีพระอรหันต์แสดงว่า ยังมีมรรคผลนิพานอยู่นะครับกระผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2010
  4. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    พระไตรปิฏก น่าจะเป็นภาษาไทย
    หรือว่าภาษาไทยตอนนี้ ไม่ใช่ภาษาเรา
    งั้นพวกเราไม่ใช่คนไทย
    หรือพวกอินเดียคือคนไทย

    >__<
     
  5. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    จากการปฏิบัติระดับเป็ดๆไม่แพ้กัน เราก็เชื่อของเรา และสนับสนุนความคิดนี้
    และที่มองว่าไม่ธรรมดาคือวัดพระพุทธบาทสี่รอย จ.เชียงใหม่ ทำไมจึงมาประดิษฐานในประเทศไทย ต่อไป...

    เป็นธรรมดาที่ยุคนี้จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ หมุนเวียนไปตามกาล

    ธรรมได้จัดสรรไว้ดีแล้ว ^^
     
  6. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขออนุญาตคุณ jeerus นะครับ ที่ผมก็สงวนสิทธิ ที่จะไม่เชื่อตามนั้น และไม่อยากให้ดึงครูบาอาจารย์ลงมา เพราะหากวันหนึ่งวันใด หากการพิสูจน์ทราบทางหลักฐาน ปรากฏว่า ความคิด ผมถูก จะกระทบกระเทือนต่อศรัทธาครูบาอาจารย์ได้

    ดังนั้น หาก ผม จะผิด หรือ ถูก ก็ให้เป็นการพิสูจน์ด้วยหลักฐาน ที่คนธรรมดาๆ จับต้องได้ และรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสธรรมดา นะครับ

    ที่สำคัญ เรื่องนี้ ไม่ต้องใช้ญาณสัมผัส ก็ย่อมจะรู้ได้ ว่า มีความผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไปจากพระไตรปิฎก และอรรกถา เว้นแต่ เราจะ คิอว่า พระไตรปิฎกและอรรถกถา ผิด ครับ

    อยากให้ลองอ่าน เรื่องต่างๆ ที่ผม รวบรวม เรียบเรียง มาให้พิจารณา อย่างตั้งใจครับ และไม่ยึด ในสิ่งที่ถูกทำให้เชื่อมา ในช่วง ๑๐๐ กว่าปีมานี้ ผมเชื่อ ว่า ท่านก็จะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง เช่นที่ผมรับรู้ครับ
     
  7. ไข่นคร

    ไข่นคร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +281
    ตอบคุณ ritta

    พระสมณโคดมทรงพูดกับพระอานนท์

    ดูก่อน อานนท์ เมื่อศาสนาของคถาีคตอันตรธานแล้ว ก็จะบ้ังเกิดสัตถันตรกัป (เป็นชื่อของกับหนึ่งที่พินาศด้วยศาสตรา เพราะโทสะ จึงต้องฆ่าฟันกันตาย) ในช่วงอายุของคนในขณะนั้น ซึ่งจะมีอายุขัย ๑๐ ปี ถือว่าคนเสื่อมจากศีลธรรมอย่างที่สุด กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการจะอันตรธานหายไปจากจิตใจของหมุษย์หมดสิ้น การทำบุญทำกุศลต่าง ๆ ก็ไม่มี แม้แต่เพียงพูดว่าบุญหรือกุศลก็ไม่มี ไม่มีคนรู้จักบุญกุศล อกุศลกรรมบถ ๑๐ จะรุ่งเรืองมากขึ้นเ้ข้าครอบงำจิตใจของสัตว์ทั้งหาย สัตว์ทั้งหลายปราศจากหิริความละอายต่อบาป และโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของบาป ผลของความชั่วที่ทำไว้ มีแต่ความไม่ละอาย และไม่เกรงกลัวต่อผลบาป มีความเป็นอยู่เช่นเีดียวกันกับสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ในบิดา ในสมณะ ในพราหมณ์ การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล จะไม่เคารพบิดา มารดา ลุง ป้า น้า อา พี่น้อง ครูอาจารย์ สัตว์่โลกจะมีการสังวาสสมสู่ปะปนกันไปทั่ง ไม่เลือกว่าจะเป็นใคร เหมือนดังสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย


    ซึ่งที่บอกว่า พระพุทธศาสนาก็อันตรธานไปแล้่วจากวันนั้นก็ว่างจากพระพุทธเจ้า ว่าจากมรรคผลนิพพานรอพระเจ้าองค์ใหม่มาตรัส คือพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า

    ที่บอกว่างจากมรรคผลนิพพานคือบนโลกมนุษย์
     
  8. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    คำตอบ และความเห็น หลายๆ ความเห็น อาจจะ ออกนอกเขต ของคำถาม
    จึงขอประมวล ตอบ คุณ สุรสิงห์ จากคำถามที่ว่า..

    อยากรู้ว่าถ้าศาสนาพุทธเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว ใครเอาโบราณสถานไปสร้างไว้อินเดีย

    ว่า...

    ผู้ที่สร้าง โบราณสถาน หรือ สังเวชนียสถานจำลอง ขึ้นที่ แผ่นดินฟาก "INDIA INTRA GANGES" โดย ลอกเลียนแบบ ไปจาก โบราณสถาน ที่ "พระเจ้าอโศกมหาราช" ทรงโปรดให้สรางขึ้น เพื่อเป็นพุทธบูชา ณ สังเวชนียสถานที่ ๔ ในดินแดน ฟาก "INDIA EXTRA GANGES" ก็คือ....กษัตริย์ที่ปกครอง "INDIA INTRA GANGES" ที่มีพระนามว่า "เทวานัมปียทัสสี" ตามจารึก ที่ปรากฏอยู่ในอินเดีย-เนปาล ปัจจุบันนี้ ซึ่ง ประสูติ และครองราชย์ หลังพระเจ้าอโศกมหาราช ในอรรถกถา

    กิตติศัพท์ของ "พระเจ้าอโศกมหาราช" ที่ปรากฏแพร่หลาย ไปทั่ว คงจะดังไปถึง "พระเจ้าเทวานัมปิยทัสสี" จึงได้ ลอกเลียนแบบไปสร้างที่นั่น

    หรือ อีกกระแสหนึ่ง "พระเจ้าเทวานัมปิยทัสสี" อาจจะได้รับคำแนะนำ จาก ภิกษุปลอมบวข ที่พระเจ้าอโศกมหาราช จับสึก และขับไปให้พ้นจากเขตพระราชอำนาจ ให้สร้างขึ้นใน แผ่นดินฟาก "INDIA INTRA GANGES"

    ดังนั้น สิ่งทั้งหลาย ที่อยู่ในอินเดียปัจจุบัน จึงอยู่ผิดที่ ผิดทาง ไม่ตรงกับ ในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2010
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241

    แหลมมั๊กๆ

    แต่...สงสัย ถี่ลอดตากรรมการ
     
  10. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +369
    ความคิดผมนะ หน้าที่ของเราแต่ละคนได้มาไม่เหมือนกัน บางคนรู้แต่ไม่มีหน้าที่พูด
    บางคนพูดได้นิดหน่อย แล้วบางคน รับหน้าที่มาให้คิดและค้นหา

    การค้นหาย่อมก่อให้ทฤษฏีใหม่ๆเกิดขึ้น บางครั้งเราก็ยอมรับหรือเชื่อ ในเรื่องที่เราเคยได้มาก่อนไม่ได้ ทุกวันนี้เทคโนโลยีรวมทั้งหลักฐานต่างๆก็ปรากฏออกมา ให้เราได้คิดแนวทฤษฏีใหม่ๆ เพราะฉนั้นเราก็ควรที่จะยอมรับฟัง และหาข้อโต้แย้งในทฤษฏีใหม่ๆ ด้วยหลักของเหตุและผลมากกว่าคำบอกเล่าที่คนเก่าๆบอกต่อๆกันมา
     
  11. Pure_Heart

    Pure_Heart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2005
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +171
    น่าจะไปดูสารคดี ตามรอยพระพุทธเจ้า ของสุทธิชัย หยุ่นนะครับ
    เค้าตามรอยที่อินเดีย เจาะลึก
    นำหลักฐาน พยานบุคคล รวมทั้งโบราณสถานที่ขุดพบ
    โบราณวัตถุต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ
    ซึ่งตรงกับข้อมูลของพระไตรปิฏก และของพระถังซำจั๋ง

    ผมคิดว่า พระพุทธศาสนาถือกำเนิดมาจากประเทศอินเดียอย่างแน่นอน
     
  12. nopopathorn

    nopopathorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +2,065
    ยังอยู่อีกหรอm79ไม่ได้ถูกยึดไปหลังปิดราชประสงค์หรอครับ(smile)
    (เอาฮา)
     
  13. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    แก้ว่า..

    แน่ใจเหรอครับ ว่า "ตรงกับพระไตรปิฎก" ผมอยากจะท้าท้าย ให้มานั่งเปิด พระไตรปิฎก ถกกันเลย แล้วผมจะชี้ให้เห็น ว่า มันขัดแย้งกัน ตรงไหนบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2010
  14. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    พบพระคัมภีร์พุทธเก่าแก่ที่สุด... ในถ้ำอัฟกานิสถาน!

    เอาไปอ่านเล่น
    เดือนธันวาคม
    2539 เจนส์ บราร์วิก ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่ง ศูนย์การศึกษาก้าวหน้า, นอร์เวย์ ได้ไปร่วมประชุมวิชาการที่เมืองไลเดน ผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งได้เล่าให้เขาฟังว่า แซม ฟ็อกก์ พ่อค้าของเก่าแห่งนครลอนดอน ได้ขายชิ้นส่วนเอกสารโบราณของพุทธศาสนาจำนวน 108 ชิ้น แก่นักสะสมชาวนอร์เวย์ชื่อ มาร์ติน สเคอร์ยัน(Martin Schoyen) ผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์เอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดของโลก พอได้ยินดังนั้น บราร์วิกเกิดความสนใจอย่างแรงกล้า จึงได้ไปพบกับสเคอร์ ยันเพื่อขอศึกษาเอกสารดังกล่าว ซึ่งสเคอร์ยันก็ยินดีให้ความร่วมมือ และยังบอกเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่ฟ็อกก์จะขายเอกสารให้เขานั้น ฟ็อกก์ได้ ติดต่อนักโบราณคดีชื่อ ลอเร แซนเดอร์ ให้ช่วย เขียนอธิบายความเป็นมาของเอกสารนี้ ซึ่งเมื่อแซนเดอร์นำไปวิเคราะห์ก็พบว่า มันถูกจารึกขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต ในช่วงราว พ.ศ.540-940 เป็นพระคัมภีร์ในพุทธศาสนา ที่ว่าถึงพระสูตร พระวินัย ตลอดจนจารึกเหตุการณ์ต่างๆ หลากหลาย บางเรื่องก็เป็นที่ทราบกัน ดีอยู่แล้ว แต่เอกสารอีกหลายชิ้นมีเรื่องราวที่ไม่เคยปรากฏให้โลกรู้มาก่อน และเรียกได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญ ที่เก่าแก่ที่สุดของพุทธศาสนา(ที่มีหลักฐานเหลืออยู่)
    พระคัมภีร์พุทธศาสนาเหล่านี้จารึกอยู่บนแผ่นวัสดุต่างๆ ได้แก่ ใบลาน เปลือกไม้ และหนังแกะ เจาะรูแล้วร้อยด้ายรวมไว้เป็นเล่ม บางเล่มอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยนั้นมีจำนวนมาก และเมื่อสืบหาข้อมูลต่อไป บราร์วิกก็พบว่า แหล่งที่มาของเอกสารสำคัญลํ้าค่านี้มิใช่อื่นไกล แต่ เป็นถํ้าต่างๆ แห่งเขาบามิยัน ในอัฟกานิสถานนั่นเอง! ก็ต้องเล่าย้อนถึงอดีตกาล ณ สถานที่แห่งนี้กันหน่อยละครับ
    สมัยนับพันปีก่อนโน้น อัฟกานิสถานเป็นดินแดนอยู่บนเส้นทางสายไหม อันลือลั่นเชื่อมทอดระหว่างยุโรปกับจีน และยังเป็นทางผ่านจากจีนไปสู่อินเดียด้วย ภิกษุในพุทธศาสนาได้จาริกจากอินเดียไปเผยแผ่ธรรมะยังเมืองจีนด้วยเส้นทางนี้ และเนื่องจากเป็นหนทางอันยาวไกล จึงได้พำนักระหว่างทางโดยอาศัยถํ้าต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ณ เชิงเขาบามิยัน ซึ่งไม่ ไกลจากกรุงคาบูล นครหลวงของอัฟกานิสถาน เท่าใดนัก
    ผู้จาริกศาสนาและนักเดินทางทั้งหลาย ต่างได้พบปะสนทนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านอารยธรรมระหว่างกัน ในถํ้าพำนักนี้ จึงมีการจารึกพระคัมภีร์ ในพุทธศาสนาเป็นภาษาต่างๆ ทั้งจีน เตอรกี ทิเบต มองโกเลียน เมื่อมีเอกสารศาสนาเพิ่มมากขึ้น ก็ได้มีการจัดตั้งเป็นหอสมุดเก็บรักษาไว้ ซึ่งนานนับ 1,400 ปีมาแล้ว ที่เอกสารเหล่านี้ยังคงอยู่ในสภาพดี เนื่อง จากภาวะอากาศอันหนาวเย็น และแห้งแล้งของอัฟกานิสถานได้ช่วยรักษาสภาพไว้ไม่ให้เปื่อยผุไปได้ง่าย ถ้าจะเทียบนะครับ พระคัมภีร์พุทธในถํ้าที่บามิยันนี้ ก็มีลักษณะดุจเดียวกับ ม้วนพระคัมภีร์ในตุ่มแห่งเดดซี (Dead Sea Scrolls) ของชาวยิวนั่นเอง
    ถ้าหากบ้านเมืองสงบสุข พระคัมภีร์พุทธเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ในถํ้าไปได้อีกนาน ทว่าหลังจาก พ.ศ. 1300 เป็นต้นมา พวกมุสลิมได้รุกรานยึดครองอัฟกานิสถาน เอกสารบางส่วนในหอสมุดได้ถูกทำลายเสียหายขาดวิ่น ชิ้นส่วนที่ยังเหลือรอดอยู่ ได้พบว่าถูกนำไปเก็บไว้ในถํ้าแห่งหนึ่ง ห่างจากบามิยันไปทางเหนือราว 300 กม. และเมื่อมุสลิมรุกรานหนักขึ้น ชาวพุทธเห็นว่าพระคัมภีร์เหล่านี้อยู่ใน สถานะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว จึงได้แอบนำคัมภีร์ลํ้าค่าบรรทุกหลังลาลอบหนีออก จากอัฟกานิสถานเมื่อราว 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเดินทางผ่านช่องเขาฮินดูกูษ และได้มีการส่งทอดกันต่อๆ ไปจนถึงลอนดอน และไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่นอร์เวย์ ในท้ายที่สุด
    ขอเล่าถึงพิพิธภัณฑ์สเคอร์ยันแห่งนี้สักนิดนะครับ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์นี้ คือนายมาร์ติน สเคอร์ยัน นั้น สนใจในการสะสม โบราณวัตถุมาตั้งแต่อายุ 15 แล้ว เขาเล่าว่าผมได้ไปเที่ยวฟลอเรนซ์, อิตาลี กับบิดามารดา ผมเห็นหนังสือเก่ากองหนึ่งสุมอยู่บนรถเข็นผัก ขายในราคาเล่มละไม่กี่ตังค์ ปรากฏภายหลังว่ามันเป็นหนังสือเก่าตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 16 โน่น เขาจึงเริ่มสะสมเอกสารโบราณ เรื่อยมา ซึ่งนอกจากเอกสารที่เป็นกระดาษโบราณแล้ว ก็ยังมีที่จารึกอยู่บนดินเหนียว โลหะไม้ กระดูก หิน แก้ว ฯลฯ ชิ้น ที่เขาภูมิใจที่สุด มีอาทิ เอกสารกฎหมายเก่าแก่ ที่สุดในโลก ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อราวสี่พันปีมาแล้ว เป็นภาษากรีกโบราณ เอกสารที่มีนามผู้นิพนธ์ ซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งสุเมอร์ เมื่อ 4,200 ปีก่อน นอกจากนี้ ยังมีเอกสารลุ่มนํ้าอารยธรรมโบราณครบทั้ง 4 แห่ง คือเอกสารเฮียโรกลิฟของอียิปต์ อายุ 5,600 ปี เอกสารภาพของสุเมอร์เมื่อราว 5,200 ปีก่อน อักษรจารึกของลุ่มนํ้าสินธุ อายุราว 4,100 ปี และจารึกบนแจกัน ของจีน เมื่อ 4,000 ปีก่อน
    หลังจากที่โปรเฟสเซอร์บราร์วิกได้รู้ถึงแหล่งที่มาของพระคัมภีร์พุทธแล้ว คราวนี้พิพิธภัณฑ์ที่สเคอร์ยันก็ได้พยายาม ขนย้าย พระคัมภีร์ที่ยังเหลือตกค้างอยู่ในอัฟกานิสถาน ออกมาเก็บรักษาเอาไว้ โดยใช้วิธีการทุกรูปแบบ กระทั่งนำเอาออกมาได้เกือบหมด ก่อนหน้าที่พระพุทธรูปบามิยันจะถูกทำลาย และอัฟกานิสถานถูกกองทัพสัมพันธมิตรถล่ม
    เอกสารพระคัมภีร์ที่ทยอยนำมานั้น เมื่อรวมกันตั้งแต่ต้นแล้ว ปัจจุบันมีอยู่ราวๆ 5,000 ชิ้น ที่ยังเป็นรูปเป็นร่าง กล่าวคือเป็นชิ้นส่วนของแผ่นจารึก ใบลาน เปลือกไม้และหนังแกะ ที่มีขนาดตั้งแต่2 ตารางเซนติเมตร ไปจนเป็น แผ่นที่สมบูรณ์ นอกนั้นเป็นเศษกระจิริดอีกราว 8,000 ชิ้น เมื่อได้รับชิ้นส่วนพระคัมภีร์มาแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์จะทำความสะอาดจัดเตรียมเก็บ ทำก๊อบปี้ และลงหมายเลขกำกับแต่ละชิ้นไว้ เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป
    ซึ่งในการ ชำระ สังคายนาพระคัมภีร์ที่ได้มานี้ มิใช่ของง่ายเลยครับ จัดเป็นงานระดับยักษ์ที่ต้องอาศัย ผู้รู้จริงจำนวนมาก ทางพิพิธภัณฑ์ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2540 โดย มีการสัมมนาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2540 และท้ายสุดครั้งที่สี่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2542 ที่เมือง เกียวโต, ญี่ปุ่น โดยมีการเชิญนักโบราณคดีนานาชาติมาร่วมงาน มีการจัดพิมพ์เผยแพร่บางเรื่องที่ได้แปล และเรียบเรียงเสร็จแล้ว เช่น เรื่องของพระเจ้า อโศกมหาราช พระเจ้าอชาตศัตรู มหาปรินิพพานสูตร เป็นต้น


    ปล.ที่เอามาให้อ่านก็ให้พิจารนาเอานะครับว่าหลักฐานที่มีในประเทศมีอายุเท่าที่เค้าค้นพบหรือเปล่า

    ศิลาจารึกเก่าที่สุดพบในประเทศไทย เท่าที่มีหลักฐานทางศักราชปรากฏอยู่ด้วยคือ "จารึกเขาน้อย" พบที่เขาน้อยอำเภออรัญประเทศจังหวัดปราจีนบุรี สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช๑๑๘๐ ศิลาจารึกชิ้นนี้เป็นหลักฐานเอกสารโบราณที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมทางด้านการใช้ รูปอักษรที่ปรากฏบนผืนแผ่นดินไทยครั้งแรก และเป็นยุคเริ่มต้นสมัยประวัติศาสตร์ของไทยด้วยนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สอด คล้องตรงกันกับหลักฐานทางด้านศิลปกรรมในประเทศไทย ซึ่งร่วมสมัยกับพุทธศิลปะสมัยทวารวดี ศิลปกรรมสมัยแรกของประเทศไทย
     
  15. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 16

    เอาไปอ่านอีก

    จารึกที่พบในประเทศไทย
    อดีตกาลนานกว่า ๒,๕๐๐ ปีล่วงมาแล้วประเทศอินเดียมีความเจริญทางอารยธรรมสูงยิ่งอีกทั้งยังได้เผย แพร่อารยธรรมสู่ประเทศข้างเคียง ทั้งโดยทางทะเลและทางบก ผู้เผยแพร่อารยธรรมเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าวาณิชซึ่งเดินทางไปมาค้า ขายในท้องถิ่นต่าง ๆ เมื่อมาถึงบ้านเมืองใดก็หยุดพักอาศัยปฏิบัติภารกิจของตนช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในระหว่างนั้นก็ได้นำสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ อันมีอยู่ในประเทศของตน บอกเล่าถ่ายทอดสู่ชนพื้นเมืองต่าง ๆ ในแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ ทำให้สังคมในท้องถิ่นมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญแบบอินเดีย
    อารยธรรมอินเดียซึ่งแพร่อิทธิพลไปสู่ประเทศใกล้เคียงดังกล่าวแล้ว มีหลักฐานทั้งในทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์รับรองว่า บริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วยนั้น เป็นแหล่งที่อารยธรรมของอินเดียเข้ามามีบทบาทแล้ว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ เป็นต้นมา ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงสมัยราชวงศ์ปัลลวะของประเทศอินเดีย ด้วยเหตุนี้รูปแบบอักษรอินเดียสมัยราชวงศ์ปัลลวะจึงได้แพร่หลายทั่วไปใน กลุ่มประเทศต่าง ๆตลอดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบอักษรชนิดนี้ได้นามตามชื่อของราชวงศ์ผู้ครอบครองอาณาจักรว่า "รูปอักษรปัลลวะ"
    จารึกรุ่นแรกในประเทศไทย เป็นจารึกที่ได้รับอิทธิพลรูปแบบอักษรมาจากประเทศอินเดียสมัย ราชวงศ์ปัลลวะเช่นเดียวกัน ได้พบจารึกอักษรปัลลวะบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ มีหลักธรรมในศาสนาทั้งพระพุทธศาสนาและลัทธิศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น ในพื้นที่ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แม้ในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ ประเทศพม่า กัมพูชา และมาเลเซีย เป็นต้น ก็ได้พบเห็นอักษรชนิดนี้ด้วย ย่อมแสดงว่าในดินแดนทั้ง ประเทศ คือ ไทย พม่า กัมพูชา และมาเลเซีย มีหลักฐานเกี่ยวกับรูปแบบอักษรปัลลวะอยู่ร่วมกันเหมือนกัน และถ้านำความสัมพันธ์ทางด้านภูมิศาสตร์ หรือภูมิสถานในสมัยโบราณเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย อาจจะทำให้ได้หลักฐานอันน่าสนใจศึกษาเพิ่มขึ้น
    ศิลาจารึกเก่าที่สุดพบในประเทศไทย เท่าที่มีหลักฐานทางศักราชปรากฏอยู่ด้วยคือ "จารึกเขาน้อย" พบที่เขาน้อยอำเภออรัญประเทศจังหวัดปราจีนบุรี สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช๑๑๘๐ ศิลาจารึกชิ้นนี้เป็นหลักฐานเอกสารโบราณที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมทางด้านการใช้ รูปอักษรที่ปรากฏบนผืนแผ่นดินไทยครั้งแรก และเป็นยุคเริ่มต้นสมัยประวัติศาสตร์ของไทยด้วยนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สอด คล้องตรงกันกับหลักฐานทางด้านศิลปกรรมในประเทศไทย ซึ่งร่วมสมัยกับพุทธศิลปะสมัยทวารวดี ศิลปกรรมสมัยแรกของประเทศไทย
    กลุ่มจารึกที่ใช้อักษรปัลลวะ ในประเทศไทยมีพบอยู่ทั่วไป ในบริเวณภาคใต้พบที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และพังงา ในบริเวณภาคกลางพบที่ลุ่มแม่น้ำกลอง ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำป่าสัก ได้แก่ จังหวัดราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ลพบุรี ชัยนาท อุทัยธานี สระบุรี และเพชรบูรณ์ ในภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบในบริเวณลุ่มน้ำบางปะกงลุ่มน้ำมูลและลุ่มน้ำชี ที่จังหวัดปราจีนบุรี บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี
    ในสมัยโบราณบริเวณอันเป็นที่ตั้งประเทศไทยปัจจุบัน เป็นดินแดนที่มีกลุ่มชนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ จารึกที่คนพื้นเมืองทำขึ้นในสมัยหลังต่อมาจึงเป็นจารึกที่ใช้รูปอักษรอัน เปลี่ยนแปลงมาจากรูปอักษรปัลลวะซึ่งนำมาจากประเทศอินเดีย ได้แก่ กลุ่มจารึกที่ใช้อักษรมอญโบราณและอักษรขอมโบราณ
    กลุ่มจารึกที่ใช้อักษรมอญโบราณ ปรากฏหลักฐานแน่ชัดในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๗ พบหลักฐานการใช้อักษรมอญโบราณ ภาษามอญโบราณ ในบริเวณลุ่มแม่น้ำปิงตอนบน คือดินแดนที่เป็นอาณาจักรหริภุญชัย ในเขตจังหวัดลำพูนปัจจุบันโดยได้สืบทอดอารยธรรมกันมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๙อารยธรรม มอญโบราณที่หริภุญชัยก็สิ้นสุดลงกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรหริภุญชัย มีพระนามว่า พระยายีบา ได้เสียเมืองหริภุญชัยแก่พระยามังราย ในปีพุทธศักราช ๑๘๓๙ ตรงกับรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งอาณาจักรสุโขทัย
    หลักฐานการใช้จารึกภาษามอญนั้นจำกัดบริเวณอยู่เฉพาะตัว ไม่อาจวิเคราะห์ได้ว่ากลุ่มชนซึ่งใช้ภาษามอญในอาณาจักรหริภุญชัย จะเป็นกลุ่มชนที่สืบต่อการใช้ภาษามอญมาจากกลุ่มชนทางแถบภาคกลางของประเทศไทย ด้วยหรือไม่ เพราะยังไม่เคยพบจารึกบ่งบอกไว้อย่างชัดเจน
    กลุ่มจารึกที่ใช้อักษรขอมโบราณ พบอยู่ในบริเวณภาคกลาง ภาคอีสานและภาคใต้ของประเทศไทยปัจจุบัน มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๖ แต่ยังไม่พบจารึกอักษรขอมโบราณในแถบภาคเหนือ ตั้งแต่จังหวัดตากขึ้นไป ทั้งนี้อาจเป็นได้ว่า กระแสอิทธิพลวัฒนธรรมแบบขอมโบราณนี้ไม่แพร่หลายขึ้นไปสู่ภาคเหนือของประเทศ ไทย หลักฐานทำนองนี้รวมไปถึงโบราณสถานที่เรียกกันว่า ปราสาทหิน ปราสาทอิฐ และปรางค์แบบกัมพูชา หรือลพบุรี ที่มีอยู่ทั่วไปในภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ แต่ไม่เคยปรากฏอยู่ทางภาคเหนือ
    จารึกที่ใช้อักษรขอมในสมัยต่อจากจารึกที่ใช้อักษรขอมโบราณ คือ จารึกที่ใช้อักษรขอมที่มีอายุอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ โดยเฉพาะจารึกที่ปราสาทพระขรรค์ ประเทศกัมพูชา จะบอกให้ทราบว่า ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ซึ่งครองราชย์อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้น ได้ขยายอาณาเขตของอาณาจักรออกไปกว้างขวางมาก ส่วนหนึ่งของอาณาจักรได้เข้ามาอยู่ในบริเวณที่เป็นประ-เทศไทยปัจจุบัน กล่าวคือ ตลอดภาคตะวันออกภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือถึงจังหวัดสุโขทัย ภาคใต้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคกลางที่จังหวัดกาญจนบุรี และเพชรบุรี กลุ่มเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรกัมพูชาในช่วงเวลาที่กล่าวถึง นี้ ได้รับอารยธรรมของกัมพูชาทั้งทางด้านศิลปกรรม รูปแบบอักษรและภาษาไว้ทั้งหมด ปรากฏหลักฐานแพร่กระจายอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวดังนี้ ทางด้านศิลปกรรมได้แก่ วัดศรีสวาย จังหวัดสุโขทัย พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาทหินวัดกำแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี และปราสาทเมืองสิงห์จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น ​
     
  16. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขอบคุณ คุณตันติปาละ นะครับ ที่ค้นข้อมูลมาให้อ่าน

    วันหนึ่ง เราจะรู้ว่า ข้อมูลเหล่านี้ ที่ ได้รับการ วินิจฉัย โดย นักโบราณคดี และนักภาษาศาสตร์ชาวต่างประเทศ ผิดพลาด ที่กำหนด ให้ ดินแดนแถบนี้ มีตัวหนังสือ เก่าที่สุด แค่ จารึกเขาน้อย

    เพราะจริงๆ แล้ว เรามีอักษร ใช้กันมานานกว่านั้น ทั้งอักษรมอญโบราณ อักษรธรรม ที่พัฒนามาจาก ขอมโบราณ ที่ถูกทำเข้าใจว่าเป็น ตัวหนังสือเขมร ซึ่งจริงๆ ก็คือ ตัวบาลี ซึ่งมีมาแต่ปฐมกัป มีอักขระ 33 ตัว ตั้งแต่ กะ ขะ คะ งะ...ฬ อํ
    [​IMG]
    ลายสือ "บาลี" ที่ ลาลูแบร์ คัดลอกไว้ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ก่อนที่นักประวัติศาสตร์ และ
    นักภาษาศาสตร์ ยุคใหม่ จะเกิดเสียอีก


    อีกอย่าง คัมภีร์ ทางพระพุทธศาสนา ที่ว่า เก่าแก่แค่ไหน เพียงใด ก็ตาม หากอ่านออกมาแล้ว ไม่ใช่ คำของเถรวาท ก็ไร้ค่า เพราะ พระโบราณจารย์ ท่านว่า นิกายอื่นนอกจากเถรวาท เป็นประดุจกาฝากในพระพุทธศาสนา

    อดใจรอ แล้ววันล้างโลก คือ ชำระล้างความลวง ความเท็จ จะมาถึงอย่างแน่นอน ครับ

    มีเรื่องราวหลากหลาย ที่เราถูกลวง ให้หลงเชื่อ จนทำให้ลืมคำของพระพุทธองค์ ง่ายๆ ก็คือ "หลงเชื่อตามคำเขาว่า กระดูกคนธรรมดาที่ขุดพบที่อินเดีย ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ" โดยไม่ใส่ใจ คำของพระพุทธองค์อธิษฐานไว้ ในมหาปรินิพพานสูตร

    [​IMG]

    น่าเศร้าใจ เชื่อตามๆ เขาว่ากันมา โดยไม่ได้พิจารณาตามหลัก "กาลามสูตร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2010
  17. sonyordnakon

    sonyordnakon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +11
    ผมว่าศาสนะสถานเหล่านั้นตามสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เวลาท่านไปแสดงธรรมชาวบ้านที่รับฟังธรรมน่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาก็ได้นะครับ
     
  18. ประสงค์ 1994

    ประสงค์ 1994 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +453
    ขออนุญาตคัดลอกบทความมาลงครับผม

    "พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย"...ยืนยันโดยองค์หลวงปู่มั่น<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><IFRAME marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=16&shape=1&rl=60" frameBorder=0 width=350 scrolling=no height=250></IFRAME>
    [​IMG]

    เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่าอยู่กับท่านพระอาจารย์ที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ ถวายทานฟังเทศน์ และได้นำกระดาษห่อธูปมีเครื่องหมายการค้า รูปตราพระพุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานั้นไม่ปรากฏ) ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน พอได้เวลาผู้เล่าขึ้นไปทำข้อวัตร ปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้าเลยเก็บขึ้นไป พอท่านฯเหลือบมาเห็น ถามว่า นั่นอะไร ” “รูปพระพุทธเจ้าขอรับกระผม ท่านกล่าว ดูสิคนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะแล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า ให้บรรจุเสีย
    <O:p</O:p
    ผู้เล่าเอามาพิจารณาอยู่ เพราะไม่เข้าใจคำว่า บรรจุ จับพิจารณาดูพระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวันยังไม่ขึ้นมา ท่านพูดซ้ำอีกว่า บรรจุเสีย” “ ทำอย่างไรขอรับกระผม ” “ ไหนเอามาซิยื่นถวายท่าน ท่านจับไม้ขีดไฟมาทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า หนังสือธรรมะสวดมนต์ที่ตกหล่นขาดวิ่นใช้ไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำจะเป็นบาป” <O:p</O:p
    ผู้เล่าเลยพูดไปว่า พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดียนะกระผม ท่านฯตอบ หือคนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้ ท่านฯกล่าวต่อไปว่า อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวกในยุคพุทธกาล ตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น ชนชาติอื่น แม้แต่สรณคมน์และศีล ๕ เขาก็ไม่รู้ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรดูไกลความจริงเอามากๆ เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะ เป็นต้น หนีการล้างเผ่าพันธุ์มาในยุคนั้นและชาวพม่า คือ รัฐโกศลเป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตาย จากผู้ยิ่งใหญ่ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ ในพม่า ในปัจจุบัน”<O:p</O:p
    ส่วนรัฐสักกะนั้นใกล้กับรัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้วผู้เล่าเลยพูดขึ้นว่า ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติในไทยได้ไหม ขอรับกระผม” “ไม่รู้สิ อาจเป็นชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุงในพม่าก็ได้ขณะนั้นท่านวันขึ้นไปพอดี ตอนท้านก่อนจบท่านเลยสรุปว่า อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็นโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้นผู้เล่าพูดอีกว่า แขกอินเดียทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผมท่านบอก พวกอิสลามที่มาไล่ฆ่าเรานะซิ” “ถ้าเช่นนั้นศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้งภาษาสันสกฤตด้วย” “ อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งหมดแล้ว เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็ทำตาม ”<O:p</O:p
    ท่านยังพูดคำแรงๆว่า คุณตาบอด ตาจาวหรือ เมืองเราวัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมืองไม่เห็นหรือ (ตาบอดตาจาวเป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า) แขกอินเดียเขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฏหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั้นแหละถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด ”<O:p</O:p
    ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ คุณแปลธรรมบทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธเจ้า จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดีย หรือที่ไหนก็ตาม ทุกแห่งตกอยู่ ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะไปอยู่อินเดียก็ได้” <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าทรงวางพระพุทธศาสนาไว้ จะเป็นระหว่างพุทธันดรก็ดี สุญญกัปป์ก็ดี ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ชนชาติที่ได้เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาด ก็คงขาดแต่ผู้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่างจาก บรมครู ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่ ”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการละฉะนี้แล ฯ
     
  19. nalin101

    nalin101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +2,029
    เดิมที มีชนชาติหนึ่ง อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้
    ได้มี การประดิษฐ์อักษรขึ้นใช้ก่อนหน้า
    ต่อมา พ่อขุนรามคำแหง ท่าน ได้นำอักษร นั้นมาประดิษฐ์
    เป็นอักษรไทย ...แล้วพระไตรปิฏกจะเป็นอักษรไทยได้อย่างไร
    คนไทย ชอบที่จะภาคภูมิ ในสิ่งที่ต่างชาติให้มา
    แต่ไม่เคยภูมิใจ ในความเป็นไทย
     
  20. เมตต

    เมตต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +240
    เห็นด้วยกับคุณเส้าหลิน สมเด็จพระบรมครูนั่นก็หมายถึงสมเด็จพระศรีอริยเมตไตย เมื่อพระองค์มาทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม พระองค์จะบำรุงพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปี ที่ศาสนาเราแปรเปลี่ยนเนื่องจากฝรั่งล่าอนานิคมต้องการบ้านเราเป็นเมืองขึ้น ก่อนอื่นต้องให้พระมหากษัตริย์เปลี่ยนศาสนา แต่เราไม่ยอมจึงอาจจะมีขอแลกเปลี่ยนกันระหว่างฝรั่งกับไทย เพราะผู้ใหญ่สมัยปู่ย่า ตายาย จะหลอกเด็กไม่ให้พูดเรื่องพระพุทธเจ้าเกิดเป็นคนไทยถ้าพูดจะโดนบีบขมับให้ตาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...