เรื่องเด่น อยากรู้ว่าถ้าศาสนาพุทธเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว ใครเอาโบราณสถานไปสร้างไว้อินเดีย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Deejang, 26 กันยายน 2010.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ไม่ซ้ำเติมกัน ****

    ไม่เห็นด้วย ก็ต้องมีเหตุผล
    ไม่ใช้อารมณ์จากนิสัยตนเอง
    ไม่ทำลายความปรารถนาดีของผู้อื่น
    คนปรารถนาดีต่อส่วนรวม ยุคนี้หายาก
    เห็นแก่ตัว เอาแต่อารมณ์ มีมาก
    คนมีสัจจะเท่านั้น ที่จะรอดพ้นภัย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ท่าน ตันติปาละ ครับ

    อ่าน พระไตรปิฎก ตรงนี้ แล้ว ทำให้ต้องตระหนัก เรื่องตำแหน่งที่ตั้ง ของ ถ้ำสัตตบรรณ ที่อยู่ เขาเวภาระ ให้มาก เพราะ ต้อง หาเขาคอกให้ได้ และ เขาทั้ง ๕ ลูก ต้องมองเห็นได้ จากเขาลูกหนึ่ง ดังความตอนที่ พระพุทธองค์ประทับ อยู่ เขาอิสิคิลิ ว่า


    ๖. อิสิคิลิสูตร (๑๑๖)<O:p</O:p


    [๒๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ภูเขาอิสิคิลิ เขตพระนครราชคฤห์<O:p</O:p

    สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ<O:p</O:p

    [๒๔๘] พระผู้มีพระภาคตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาเราทั้งหลายนี่ พวกเธอแลเห็นภูเขาเวภาระนั่นหรือไม่<O:p</O:p
    ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า เห็น พระพุทธเจ้าข้า ฯ<O:p</O:p

    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภูเขาเวภาระนั่นแล มีชื่อเป็นอย่างหนึ่ง มีบัญญัติเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอแลเห็นภูเขาปัณฑวะนั่นหรือไม่<O:p</O:p
    ภิ. เห็น พระพุทธเจ้าข้า ฯ<O:p</O:p
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภูเขาปัณฑวะนั่นแล ก็มีชื่อเป็นอย่างหนึ่ง มีบัญญัติเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอแลเห็นภูเขาเวปุลละนั่นหรือไม่ ฯ<O:p</O:p
    ภิ. เห็น พระพุทธเจ้าข้า ฯ<O:p</O:p
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภูเขาเวปุลละนั่นแล ก็มีชื่อเป็นอย่างหนึ่งมีบัญญัติเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอแลเห็นภูเขาคิชฌกูฏนั่นหรือไม่ ฯ<O:p</O:p
    ภิ. เห็น พระพุทธเจ้าข้า ฯ<O:p</O:p
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภูเขาคิชฌกูฏนั่นแล ก็มีชื่อเป็นอย่างหนึ่งมีบัญญัติเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอแลเห็นภูเขาอิสิคิลินี้หรือไม่ ฯ<O:p</O:p
    ภิ. เห็น พระพุทธเจ้าข้า ฯ<O:p</O:p
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่ภูเขาอิสิคิลินี้แล มีชื่อก็เช่นนี้ มีบัญญัติก็เช่นนี้ ฯ

    และจาก อรรถกถาปัพพชาสูตร ที่ว่า

    บทว่า มคธาน ท่านอธิบายว่าเป็นนครของชนบทแห่งแคว้นมคธ แม้บทว่า คิริพฺพชํ นี้ ก็เป็นชื่อของแคว้นมคธนั้น. ก็คิริพชนครนั้นตั้งอยู่ดุจคอก ในท่ามกลางภูเขา ๕ ลูกที่มีชื่อว่า ปัณฑวะ ๑ คิชฌกูฏ ๑ เวภาระอิสิคิลิ ๑ เวปุลละ ๑ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า คิริพชนคร.<O:p</O:p










    </PRE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2010
  3. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    แนวเขากรุงราชคฤห์ ที่รัฐพิหาร

    แนวเขาเป็นแนวเดียวกันทั้งหมด แต่มียอด 5 ยอดครับ

    ต่างจากที่เขือน้ำที่ผมส่งให้ถ้ามองจากผาแดงจมองเห็นเขา 5 ลูก

    และที่เหมือนกันคือ มีปราการธรรมชาติ

    มีทางเข้าออกเป็นช่องเขาขาดเหมือนกัน

    ลองพิจารณาดูครับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2010
  4. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    [​IMG]
    Thanks: Ragnarok ฝากรูป

    เส้นสีฟ้าเป็นร่องน้ำโบราณ สีเขียวเป็นแนวภูเขาจะมีช่องเขาขาดคล้ายประตูเมืองอยู่ กรุงราชคฤห์ ในคัมภีร์บอกไว้ว่า จะมีแนวปราการธรรมชาติล้อมรอบ ใกล้เคียงกัน คุณเอกลองพิจารณาดูนะครับ หากมีข้อมูลเพิ่มผมจะบอกอีกที


    ..............

    ท่านตันติปาละ ครับ หมายความว่า ตำแหน่งหมุดสีเหลือง ๕ หมุด คือ ยอดเขา ทั้ง ๕ เลย ใช่มั๊ยครับ


     
  5. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    คาดว่าใช่ครับ เพราะผมได้เปรียบเทียบกับหลายที่แล้ว

    แต่ในมุมองของคุณเอกผมก็ต้องเอามาพิจารณาดูเช่นกัน ทิ้งไม่ได้

    ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอาศัยเรืองของแนวคูเมืองที่เป็นปราการภูเขา ยอดเขาทั้ง 5

    แม่น้ำตโปทา และประตูเมืองที่เป็นช่องเขาขาดด้วย ที่จะบงชี้ว่าเป็นกรุงราชคฤห์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2010
  6. makotokub

    makotokub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +242
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" พุทธวจนะ
    ...จะดีกว่ามั๊ย หากเราปล่อยวางความอยากเห็นสถานที่เกิดของศาสนา แล้วหันมาเห็นมาใกล้ชิดพระพุทธองค์ซะเลย
     
  7. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    อิอิ

    เรื่องนี้

    ต้องบอกว่า

    หน้าที่ก็หน้าที่มัน

    ต้องเล่นตามบทครับ

    ละครถูกเขียนเอาไว้แล้ว

    ผู้กำกับเขาก็ต้องให้มันออกมาตามบทที่เขียนไว้

    คราย ยิง ทา นู อะ

    ยัง ดึง ศร ปั ออก ไม่ ออก

    ยังไม่ต้องไปหาคนยิงหรอกมั๊ง

    เอา ตัวให้รอดก่อนดีก่า

    เป็น เอ็กตร้าประกอบฉาก

    อิอิ
     
  8. siritach

    siritach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +555
    นี่ครับ คือหลักฐาน ที่คุณไม่มี ..... ของจริง คือ ของจริงครับ ไม่ใช่ มีแต่ คำกล่าวอ้าง+ทฤษฏี ลอยๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นนักวิชาการ หรือ นักโบราณคดี อะไรเลย


    พศ.อัญเชิญ “ธรรมเจดีย์” คัมภีร์พุทธฯ ที่เก่าแก่ที่สุดจัดแสดงในไทย - MSN ข่าว
    พศ.อัญเชิญ “ธรรมเจดีย์” คัมภีร์พุทธฯ ที่เก่าแก่ที่สุดจัดแสดงในไทย
    พศ. 15 ต.ค.-สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เตรียมอัญเชิญ "ธรรมเจดีย์" คัมภีร์พุทธศาสนาโบราณที่เก่าแก่ที่สุด จัดแสดงนิทรรศการในไทย เป็นเวลา 90 วัน ตั้งแต่ 8 พ.ย.2553-5 ก.พ.2554 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเป็นการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา

    นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า มหาเถรสมาคมมีมติให้อัญเชิญธรรมเจดีย์ คัมภีร์พุทธศาสนาโบราณเก่าแก่ที่สุดจากราชอาณาจักรนอร์เวย์ มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในราชอาณาจักรไทย และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำจัดแสดงนิทรรศการเป็นเวลา 90 วัน ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ อาคารพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ในนามรัฐบาล คณะสงฆ์ และ พศ. จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งการเดินทางอัญเชิญคัมภีร์พุทธศาสนาโบราณมายังประเทศไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเป็นการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2441-0902, 0-2441-4515

    สำหรับธรรมเจดีย์ที่ได้อัญเชิญจากนอร์เวย์สู่ไทย เป็นหลักฐานอันล้ำค่า เป็นการจารึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดร่วม 2,000 ปี การค้นพบเกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2536-2538 ชาวอัฟกานิสถานในเมืองบาบิยันหลบหนีภัยสงครามตอลีบานเข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำเทือกเขาบาบิยัน และได้พบคัมภีร์โบราณ จึงหอบหิ้วคัมภีร์หลบหนีการตรวจค้นและการทำลายของกลุ่มตอลีบาน เดินทางจากอัฟกานิสถานสู่ปากีสถาน ผ่านเทือกเขาฮินดูกูษและช่องแคบไคเบอร์ คัมภีร์ได้รับความเสียหายหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เช่น ในพุทธศตวรรษที่ 12 และ 13 จากการทำลายพุทธศาสนา และการระเบิดทำลายถ้ำและองค์หลวงพ่อใหญ่บาบิยันเมื่อไม่กี่ปีมานี้

    สถาบันอนุรักษ์สเคอเยน ประเทศนอร์เวย์ ได้คัมภีร์โบราณชุดแรกในปี พ.ศ.2539 จากพ่อค้าของเก่าซัมฟ็อก กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และได้วางแผนการขนย้ายคัมภีร์ทุกวิถีทางในช่วงปี พ.ศ. 2540-2543 ปัจจุบันสถาบันฯ สามารถอนุรักษ์คัมภีร์โบราณไว้ได้ประมาณ 5,000 ชิ้น ที่ยังเป็นชิ้นส่วนสมบูรณ์และแตกหักเล็กน้อย และส่วนที่เศษชิ้นเล็ก ๆ อีกประมาณ 8,000 ชิ้น ทั้งหมดมีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 6-12 การจารึกทำไว้ในใบลาน เปลือกไม้ หนังสัตว์ และแผ่นทองเหลือง.-สำนักข่าวไทย
     
  9. siritach

    siritach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +555
  10. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    จังหวัด บามียัน(เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศอัฟกานิสถาน)ตั้งอยู่ในหุบเขาบามียัน ซึ่งมีแม่น้ำหล่อเลี้ยงประชาชน ด้านหนึ่งเป็นเขา ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูงชันสลักเป็นพระยืน สภาพแวดล้อมของหุบเขา รายล้อมไปด้วยความแห้งแล้ง แต่ที่แห่งนี้อุดมไปด้วยทุ่งหญ้าและน้ำ
    พระ พุทธรูปแห่งบามิยัน เป็นกลุ่มพระพุทธรูปหลายองค์(โดยเฉพาะองค์ใหญ่ 3 องค์) ที่ตั้งอยู่ตามหน้าผาและถ้ำของหุบเขาบามิยัน ทางตอนกลางประเทศอัฟกานิสถาน ห่างจากกรุงคาบูลประมาณ 230 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บนความสูงกว่า 2,500 เมตร ซึ่งพระพุทธรูปทั้งหลายนี้สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10(คริสต์ศตวรรษที่ 6) ศิลปะเกรโก ศิลปะพระพุทธรูปยุคแรกที่เผยแพร่มาจากอารายธรรมกรีกโบราณ ในเมื่อ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2544 พระพุทธรูปแห่งบามิยันได้ถูกรัฐบาลตาลีบันระเบิดทำลายลง ด้วยอ้างเหตุผลว่าการเคารพรูปเคารพนั้นผิดหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งการระเบิดครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคนทั่วโลกอย่างมาก

    ประวัติ หุบ เขาบามิยันนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมระหว่างจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และ ยุโรป มีการค้นพบศาสนสถานทางศาสนาพุทธ และฮินดูเป็นจำนวนมากกว่า 1,000 แห่ง เป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในบริเวณนั้นมาก่อนที่จะมีการมาของ ศาสนาอิสลามในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศาสน สถานที่สำคัญที่สุดในบริเวณนี้คือพระพุทธรูปองค์ใหญ่ 3 องค์ 2 องค์แรกสร้างในช่วงปี พ.ศ. 1050 (ค.ศ. 507) มีความสูง 37 เมตร และองค์ที่ 3 สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1097(ค.ศ. 554) สูง 55 เมตร เป็น "พระพุทธรูปแกะสลักฝาผนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก" ซึ่งทั้งหมดนี้คาดกันว่าสร้างโดยพระเถระและราชวงศ์แห่งราชวงศ์คุปตะแห่ง อินเดีย ตามฝาถ้ำที่ได้ขุดเจาะกันไว้นั้น มีการวาดภาพ ซึ่งบ่งบอกถึงการผสมผสานของศิลปะคุปตะ ศิลปะคันธาระ และศิลปะเปอร์เซียได้อย่างชัดเจน และเมื่อพระถังซำจั๋งได้เดินทางไปชมพูทวีปในปี พ.ศ. 1173 (ค.ศ. 650) ท่านได้เล่าว่าพระพุทธรูปได้เหลืองอร่ามไปด้วยทองคำ และมีพระกว่า 1,000 รูปจำวัดอยู่
    ที่ นี่ มีอารามมากกว่า 10 แห่ง มีพระสงฆ์หลายพันรูป ล้วนเป็นฝ่ายโลกุตตรยาน (โลกุตตรวาทิน) สังกัด นิกายหินยาน พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ คือ พระอารยทูต (Aryaduta) และพระอารยเสน (Aryasena) มีความรู้ในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี ที่เนินเขาของนครหลวง มีพระพุทธรูปยืนซึ่งจำหลักด้วยศิลา สูง 150 เฉี๊ยะ (มาตราวัดจีน) ถัดจากนี้ไปเป็นอาราม และพระปฏิมาจำหลักด้วนแก้วกาจ สูง 100 เฉี๊ยะ อารามนี้ มีพระพุทธไสยาสน์ความยาว 1,000 เฉี๊ยะ บรรดาพระพุทธรูปเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือที่ปราณีต สวยงาม นอกจากนี้ยังมีอารามประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว พระทันตธาตุของพระปัจเจกพุทธะในอดีต

    <table class="blog_center_data"><tbody><tr><td><dd>ระหว่าง ช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี ของพระพุทธรูปแห่งนี้ ได้พบเจอกับสงครามและการจู่โจมมาโดยตลอด ถึงแม้จะมีชนพื้นเมืองชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งคือชาวฮาซารัส ได้ปกป้องศาสนาสถานแห่งนี้มาก็ตาม เริ่มต้นด้วยการเสื่อมถอยของศาสนาพุทธในบริเวณนี้และการมาของศาสนาอิสลาม การทำลายและการบุกรุกโจรกรรมวัตถุต่างๆจากถ้ำภายในตั้งแต่ 900 ปีที่แล้ว จนมาถึงปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) เมื่อสหภาพโซเวียต นำทหารเข้าบุกเข้าโจมตีอัฟกานิสถาน ตามมาด้วยสงครามอัฟกัน และสิ้นสุดลงด้วยการระเบิดของกลุ่มตาลีบันในปี พ.ศ. 2544 จากการสำรวจ ได้มีรายงานว่ากว่า 80% ของภาพตามฝาผนังถ้ำได้ถูกทำลายลงไปแล้ว
    คำ ให้การของนายชีค มีร์ซา ฮุสเซน มือระเบิดทำลายพระพุทธรูปบามิยัน ตามคำสั่งของอำนาจของตาลีบัน กล่าวว่าถ้าเขาไม่ระเบิดพระพุทธรูป ตาลีบันจะฆ่าเขาทิ้ง เพราะก่อนหน้านั้นตาลีบันฆ่าลูกชายสองคนของเขาเหมือนสุนัขข้างถนน เขาจึงต้องทำเพื่อการอยู่รอด เขามีความเชื่อว่าด้านหน้าของพระพุทธรูปที่ถูกทำลายลง มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มีพระพักตร์อมยิ้ม ฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้ยินมาจากบรรพบุรุษสืบขานกันต่อหลายชั่วอายุคนสอด คลึงกับ คำบอกกล่าวของพระถังซัมจั๋ง ที่ได้เห็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้เช่นกัน ซึ่งนักโบราณคดีได้ขุดพบ ส่วนพระบาทของของพระนอน เมื่อ ค.ศ. 2005
    <center>[​IMG]</center>เหตุการณ์ ระเบิดพระพุทธรูปแห่งบามิยันเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2544
    พุทธศาสนาในประเทศอัฟกานิสถาน
    พุทธ ศาสนาได้เผยแพร่เข้ามาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกลุ่มชาวศากยะที่หนีตายจากพระเจ้าวิฑฑูภะมีเจ้าชายองค์หนึ่งได้สมรสกับ กับพระเทพธิดาพญานาค แล้วตั้งรกรากอยู่ที่แคว้นอุทยาน (Udyana) ทางตอนเหนือของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน และต่อมาก็หลังทุติยสังคายนาก็มี พระกลุ่มมหาสังฆิกะได้เผยแพร่ในบริเวณแคว้นนครหาร (Nagarahara) ซึ่งใกล้แคว้นคันธาระทางทิศเหนือ แต่สองยุคนี้ ไม่ปรากฏแน่ชัดทางประวัติศาสตร์
    หลาย พันปีต่อมา ชาวมุสลิมรุกราน พระพุทธศาสนาจึงเสื่อมลงเรื่อยๆ และมีการทำลายพระพักตร์ของพระพุทธรูปบามิยันทั้งสององค์ แต่ในสมัยนั้นก็ยังมีผู้นับถือพระพุทธศาสนาอยู่หลักหมื่น สิทธิการแสดงออกของเขาทำได้แค่ ใช้ผ้าสีเหลืองเล็กๆ ผูกหางเปียสั้นๆเท่านั้น
    ต่อ มาในยุคตอลีบันเข้าปกครองประเทศนี้ เป็นเวลา 5 ปี ชาวพุทธจะต้องผ่านเหตุการณ์อันเลวร้าย รอดเพียงไม่กี่ราย และมีความหวังที่จะไปสัมผัสหุบเขาบามิยันสักครั้งในชีวิต แต่พระพุทธรูปแห่งบามิยันก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ โดยกลุ่มตอลีบัน และชาวพุทธในอัฟกานิสถานที่รอดชีวิตมาได้ ก็อพยพไปประเทศเพื่อนบ้านของอัฟกานิสถาน
    </dd><dd>
    [​IMG]
    พบพระคัมภีร์พุทธเก่าแก่ที่สุด...ในถ้ำอัฟกานิสถาน!
    เดือน ธันวาคม 2539 เจนส์ บราร์วิก ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่ง ศูนย์การศึกษาก้าวหน้า, นอร์เวย์ ได้ไปร่วมประชุมวิชาการที่เมืองไลเดน ผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งได้เล่าให้เขาฟังว่า แซม ฟ็อกก์ พ่อค้าของเก่าแห่งนครลอนดอน ได้ขายชิ้นส่วนเอกสารโบราณของพุทธศาสนาจำนวน 108 ชิ้น แก่นักสะสมชาวนอร์เวย์ชื่อ มาร์ติน สเคอร์ยัน (Martin Schoyen) ผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์เอกสารโบราณที่ใหญ่ที่สุดของโลก พอได้ยินดังนั้น บราร์วิกเกิดความสนใจอย่างแรงกล้า จึงได้ไปพบกับสเคอร์ยันเพื่อขอศึกษาเอกสารดังกล่าว ซึ่งสเคอร์ยันก็ยินดีให้ความร่วมมือ และยังบอกเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่ฟ็อกก์จะขายเอกสารให้เขานั้น ฟ็อกก์ได้ ติดต่อนักโบราณคดีชื่อ ลอเร แซนเดอร์ ให้ช่วย เขียนอธิบายความเป็นมาของเอกสารนี้ ซึ่งเมื่อแซนเดอร์นำไปวิเคราะห์ก็พบว่า มันถูกจารึกขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต ในช่วงราว พ.ศ. 540-940 เป็นพระคัมภีร์ในพุทธศาสนา ที่ว่าถึงพระสูตร พระวินัย ตลอดจนจารึกเหตุการณ์ต่างๆ หลากหลาย บางเรื่องก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เอกสารอีกหลายชิ้นมีเรื่องราวที่ไม่เคยปรากฏให้โลกรู้มาก่อน และเรียกได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญ ที่เก่าแก่ที่สุดของพุทธศาสนา (ที่มีหลักฐานเหลืออยู่)

    พระ คัมภีร์พุทธศาสนาเหล่านี้จารึกอยู่บนแผ่นวัสดุต่างๆ ได้แก่ ใบลาน เปลือกไม้ และหนังแกะ เจาะรูแล้วร้อยด้ายรวมไว้เป็นเล่ม บางเล่มอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยนั้นมีจำนวนมาก และเมื่อสืบหาข้อมูลต่อไป บราร์วิกก็พบว่า แหล่งที่มาของเอกสารสำคัญลํ้าค่านี้มิใช่อื่นไกล แต่ เป็นถํ้าต่างๆ แห่งเขาบามิยัน ในอัฟกานิสถานนั่นเอง! ก็ต้องเล่าย้อนถึงอดีตกาล ณ สถานที่แห่งนี้กันหน่อยละครับ
    สมัย นับพันปีก่อนโน้น อัฟกานิสถานเป็นดินแดนอยู่บนเส้นทางสายไหม อันลือลั่นเชื่อมทอดระหว่างยุโรปกับจีน และยังเป็นทางผ่านจากจีนไปสู่อินเดียด้วย ภิกษุในพุทธศาสนาได้จาริกจากอินเดียไปเผยแผ่ธรรมะยังเมืองจีนด้วยเส้นทางนี้ และเนื่องจากเป็นหนทางอันยาวไกล จึงได้พำนักระหว่างทางโดยอาศัยถํ้าต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ณ เชิงเขาบามิยัน ซึ่งไม่ ไกลจากกรุงคาบูล นครหลวงของอัฟกานิสถาน เท่าใดนัก
    พระพุทธรูปแห่งบามิยันผู้ จาริกศาสนาและนักเดินทางทั้งหลาย ต่างได้พบปะสนทนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านอารยธรรมระหว่างกัน ในถํ้าพำนักนี้ จึงมีการจารึกพระคัมภีร์ ในพุทธศาสนาเป็นภาษาต่างๆ ทั้งจีน เตอรกี ทิเบต มองโกเลียน เมื่อมีเอกสารศาสนาเพิ่มมากขึ้น ก็ได้มีการจัดตั้งเป็นหอสมุดเก็บรักษาไว้ ซึ่งนานนับ 1,400 ปีมาแล้ว ที่เอกสารเหล่านี้ยังคงอยู่ในสภาพดี เนื่อง จากภาวะอากาศอันหนาวเย็น และแห้งแล้งของอัฟกานิสถานได้ช่วยรักษาสภาพไว้ไม่ให้เปื่อยผุไปได้ง่าย ถ้าจะเทียบนะครับ พระคัมภีร์พุทธในถํ้าที่บามิยันนี้ ก็มีลักษณะดุจเดียวกับ ม้วนพระคัมภีร์ในตุ่มแห่งเดดซี ของชาว
    ยิวนั่นเอง
    ถ้า หากบ้านเมืองสงบสุข พระคัมภีร์พุทธเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ในถํ้าไปได้อีกนาน ทว่าหลังจาก พ.ศ. 1300 เป็นต้นมา พวกมุสลิมได้รุกรานยึดครองอัฟกานิสถาน เอกสารบางส่วนในหอสมุดได้ถูกทำลายเสียหายขาดวิ่น ชิ้นส่วนที่ยังเหลือรอดอยู่ ได้พบว่าถูกนำไปเก็บไว้ในถํ้าแห่งหนึ่ง ห่างจากบามิยันไปทางเหนือราว 300 กม. และเมื่อมุสลิมรุกรานหนักขึ้น ชาวพุทธเห็นว่าพระคัมภีร์เหล่านี้อยู่ใน สถานะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว จึงได้แอบนำคัมภีร์ลํ้าค่าบรรทุกหลังลาลอบหนีออก จากอัฟกานิสถานเมื่อราว 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเดินทางผ่านช่องเขาฮินดูกูษ และได้มีการส่งทอดกันต่อๆ ไปจนถึงลอนดอน และไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่นอร์เวย์ ในท้ายที่สุด

    </dd><dd><center>[​IMG]</center>
    พระพุทธรูปแห่งบามิยัน
    หลัง จากที่โปรเฟสเซอร์บราร์วิกได้รู้ถึงแหล่งที่มาของพระคัมภีร์พุทธแล้ว คราวนี้พิพิธภัณฑ์ที่สเคอร์ยันก็ได้พยายาม “ขนย้าย” พระคัมภีร์ที่ยังเหลือตกค้างอยู่ในอัฟกานิสถาน ออกมาเก็บรักษาเอาไว้ โดยใช้วิธีการทุกรูปแบบ กระทั่งนำเอาออกมาได้เกือบหมด ก่อนหน้าที่พระพุทธรูปบามิยันจะถูกทำลาย และอัฟกานิสถานถูกกองทัพสัมพันธมิตรถล่ม
    เอกสารพระคัมภีร์ที่ทยอยนำมานั้น เมื่อรวมกันตั้งแต่ต้นแล้ว ปัจจุบันมีอยู่ราวๆ 5,000 ชิ้น ที่ยังเป็นรูปเป็นร่าง กล่าวคือเป็นชิ้นส่วนของแผ่นจารึก ใบลาน เปลือกไม้และหนังแกะ ที่มีขนาดตั้งแต่ 2 ตารางเซนติเมตร ไปจนเป็น แผ่นที่สมบูรณ์ นอกนั้นเป็นเศษกระจิริดอีกราว 8,000 ชิ้น เมื่อได้รับชิ้นส่วนพระคัมภีร์มาแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์จะทำความสะอาดจัดเตรียมเก็บ ทำก๊อบปี้ และลงหมายเลขกำกับแต่ละชิ้นไว้ เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป
    ซึ่ง ในการ “ชำระ” สังคายนาพระคัมภีร์ที่ได้มานี้ มิใช่ของง่ายเลยครับ จัดเป็นงานระดับยักษ์ที่ต้องอาศัย ผู้รู้จริงจำนวนมาก ทางพิพิธภัณฑ์ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2540 โดย มีการสัมมนาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2540 และท้ายสุดครั้งที่สี่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2542 ที่เมือง เกียวโต, ญี่ปุ่น โดยมีการเชิญนักโบราณคดีนานาชาติมาร่วมงาน มีการจัดพิมพ์เผยแพร่บางเรื่องที่ได้แปล และเรียบเรียงเสร็จแล้ว เช่น เรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช, พระเจ้าอชาตศัตรู และมหาปรินิพพานสูตร เป็นต้น
    </dd></td></tr></tbody></table>
     
  11. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    ปัญหาคือสิ่งที่เหมือนกันคือมหาปรินิพพานสูตรเท่านั้น นอกนั้นค่อนข้างจะถูกดัดแปลงไปมาก
    เพราะคัมภีร์ถูกเก็บรวบรวมในช่วงแตกนิกาย คัมภีร์ที่ถูกรวบรวมเป็นเืรื่องราวความเชื่อของแต่ละนิกาย คนที่แปลเป็นประเทศที่เป็นกลางคือกลุ่มที่ไม่ได้อ้างว่าประเทศตนเป็นพุทธภูมิเื่พื่อให้เป็นกลางในการแปล และเป็นหลักฐานสำคัญ ดังนั้นคัมภีร์ยังแปลไม่เสร็จครับ รอให้แปลเสร็จก่อน แล้วค่อยมาพูดกัน ตอนนี้ทำหน้าที่ของไครของมันไปก่อน
     
  12. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    ชิ้นนี้ รู้ความหมายหรือเปล่าพบพร้อมกัยโครงกระดูกม้าที่กลายเป็นหินไปแล้ว
    คิดว่าอายุเท่าไหร่ถึงกลายเป็นหินได้

    [​IMG]
     
  13. siritach

    siritach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +555
    ...
    คงต้อง หาผู้เชี่ยวชาญแล้วละ ว่าแปลกว่าอะไร 1 ช่องใบโพธ์ 1 คำ ...

    ตามภาพ ผม ขอเดานะ ครับ 2ช่อง แรกด้านซ้าย เหมือใจคนเราไม่นิ่ง หรือเพิ่งตื่น 2ช่องกลางกำลังตั้งตรง 2ช่องขวาสุดเหมือนคนตื่นแล้ว ตั้งตรง หรือ ใจนิ่ง
    แล้ว
    -----------------
    อีกแบบ จากขวาล่าง-ซ้ายล่าง จากบนซ้าย-บนขวา ... ตั้งตรงแล้วเอียง แล้ว ล้ม แล้วลุกขึ้นตั้งตรงใหม่.....เกิดแก่เจ็บตาย....

    2อย่านี้ ผมเดาเอานะครับ ตามภาพ เพราะภาษาแบบนี้ผมก็อ่านไม่ออก ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แค่บอกตามความรู้สึกนะครับ
     
  14. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809



    ผมเฝ้าดูความเห็น และการตอบคำถามาหลายครั้ง แต่เดิม ก็เห็นว่าพอจะมีหลักการ และเป็นผู้หวงแหนพระศาสนา รักพระพุทธเจ้า แต่พอเจอคำว่า "ผมเดาเอาเองนะ" แล้วชักไม่มั่นใจ เพราะ ไม่ต่างอะไรจาก ที่นักโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่ากระดูกผีที่ขุดได้ที่อินเดีย คือ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ทั้งที่ไม่มีตำรา หรือพระบาลีรองรับ

    ส่วน ความเห็น ทีอยู่ใน กระทู้อื่น ยกมา แสดงไว้ที่นี่ด้วย

    ก็ไม่เห็นจุกนี่ครับ คุณ Siritach ผม ก็ยังตั้งประเด็น ให้ "ชาวพุทธ" ได้คิดอยู่นี่ไงครับ

    "คัมภีร์โบราณ" ที่ว่า ในมุมมองผม นี่คือ หลักฐาน ที่จะทำให้เห็นว่า ชาวพุทธในปัจจุบัน เชื่อในมงคลตื่นข่าว ไม่ได้ใช้หลักกาลามสูตร

    "ของจริง" คือ พระไตรปิฎกและพระอรรถกถา ซึ่งเป็นพุทธพจน์แท้ ตั้งอยู่ในตู้ อย่ในหีบ ไม่มีใครอยากไปกราบไปไหว้

    แต่ พอมี "ของแปลก" ซึ่งยังไม่รู้ว่า จะใช่พุทธพจน์หรือเปล่า? ยิ่งถ้าเก่า ขนาดนั้น จะเขียนด้วยภาษาบาลี หรือเปล่า? ดังที่พระพุทธองค์ตรัสห้ามไม่ให้ยกพุทธพจน์ขึ้นเป็นภาษาอื่น นอกจาก "ปาลิภาษา"

    นี่หล่ะครับ คือชาวพุทธในปัจจุบัน

    เมื่อปี 2539 ก่อน ประเทศก้าวเข้าสู่ ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ก็มีการอัญเชิญ "กระดูกผี" ที่บอกว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตมาให้คนกราบไหว้ ที่พุทธมณฑล

    [​IMG]




    <CENTER>พระบรมสารีริกธาตุ (ศรชี้ในกล่อง)ซึ่งขุดค้นพบที่สถูปโบราณที่หมู่บ้านปิปราหวะ (Piprahwa)เมืองบาสติ (Basti) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นการค้นพบครั้งที่ ๒ พระบรมสารีริกธาตุนี้มีลักษณะเป็นกระดูกเผาไฟ นักโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเศียร และรัฐบาลอินเดียให้อัญเชิญมา ๔ องค์ เพื่อประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ พระวิหารพุทธมณฑล เป็นการร่วมฉลองพิธีกาญจนาภิเษก จากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงนิวเดลี </CENTER><CENTER></CENTER>
    ปีนี้ 2553 ผม จะคอยดูครับ ว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากนำสิ่งที่ไม่ใช่ของแท้ เข้ามาให้คนกราบไหว้

    บางทีเทพยดา ผู้ดูแลแผ่นดิน แม่พระธรณี เห็นแล้ว อาจจะช่วยเร่ง เปิดหลักฐานที่ผมกำลังค้นหา ให้พบเจอได้เร็วขึ้น ก็เป็นได้

    เรามาคอยดูกันนะครับ คุณ Siritach
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2010
  15. ตันติปาละ

    ตันติปาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    4,421
    ค่าพลัง:
    +4,649
    ผมลืมบอกว่า ชิ้นนี้มาจากสระแก้วครับ
    ยังมีอีกแต่ขอพสูจน์ก่อนว่าเกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือไม่
    ส่วนจารึกนี่เห็นนั้นผมตามหาชิ้นต่อไป คาดว่าจะมี 108 ช่อง หรือ 24 ชิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2010
  16. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ส่วนเรื่อง "คัมภีร์โบราณ" ตามข่าว ที่ คุณ Siritach นำมาโพสต์นั้น ผมได้แสดงความคิดเห็นไว้ใน ห้อง ข่าวพุทธศาสนา ว่า

    อ้างอิง..

    คัมภีร์พุทธศาสนาที่สถาบันอนุรักษ์สเคอร์เยนนั้น เป็นที่ยอมรับกันในวงการนักโบราณคดีและภาษาศาสตร์นานาชาติว่าเป็นคัมภีร์พุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ถูกค้นพบก่อนการเกิดสงครามในถ้ำบริเวณเทือกเขาบาบิยาน ประเทศอัฟกานิสถาน ตั้งอยู่ห่างประมาณ 2 ก.ม. จากพระพุทธรูปหินบาบิยาน ที่ถูกทำลายโดยรับบาลตาลีบัน ในปี 2544 ซึ่งนักโบราณคดีและภาษาศาสตร์นานาชาติใช้เวลาถึง 12 ปี ในการชำระคัมภีร์ดังกล่าว และสันนิษฐานว่าเป็นผลงานของพระอรหันต์ที่ได้จารึกพระธรรมวินัยเป็นตัวอักษร โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นราว พ.ศ.6 หรือประมาณร่วม 2,000 ปี

    ความเห็นผม คือ อย่างน้อย การที่นักโบราณคดีและภาษาศาสตร์ สันนิษฐานว่า เป็นจารึกพระธรรมวินัย เมื่อ ราว พ.ศ. 6 ก็จะเป็นข้อหักล้างความเชื่อเดิมว่า ไม่เคยมีการจารึกพระรรมวินับ เป็นตัวอักษร แต่เป็นการท่องแบบปากเปล่า หรือ เรียกว่า "มุขปาฐะ"



    ส่วนจะเก่าที่สุดในโลกนั้น อันนี้ เมื่อเขาเจอหรือเชื่ออย่างนั้น ก็ต้องว่าไปตามนั้นก่อน เพราะยังไม่เจอของเรา ที่ทั้ง ในเมืองมอญ ไทย และไทยเหนือ ที่เก่ากว่านั้น แม้จะเป็นเรื่อง ใน "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก" แต่ วันหนึ่ง ก็จะพิสูจน์ได้ว่า เป็นเพียงตำนาน หรือ เรื่องจริง ดัง มีความที่ถอดจาก หนังสือพื้นเมือง เรื่อง ตำนานพระบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง ว่า..


    <FIELDSET class=fieldset>[​IMG]


    </FIELDSET>


    สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จจาริกทางอากาศมาถึงแม่น้ำระมิงค์ที่เชิงเขาอุจจุปัปปัตตาหรือดอยผาเรือ ซึ่ง ณ สถานที่นี้มีถ้ำแห่งหนึ่งงามยิ่งนัก เป็นรูโค้งเข้าไปสู่ท้องดอย กว้างเท่าวิหารใหญ่หลังหนึ่งมีมีโยคีผู้หนึ่งพำนักอยู่ปากถ้ำ ถัดเข้าไปข้างในมีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อว่า “จุนทเถระ” เป็นลูกชาวเมืองกุสินารา ท่านมาอยู่วิเวกภาวนาในถ้ำที่นั้น ใช้เวลาว่างจารคัมภีร์ที่เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือพระไตรปิฎก ได้ผงใบลานเต็มกอบมือ โยคีผู้นั้นสร้างหีบทองคำ ๗ ใบ ใส่คัมภีร์ไว้ในที่สุดของถ้ำ ทำเป็น ๓ ชั้นราบเรียบเข้าไป ๓ วา สูงขึ้นไปอีก ๓ วา กลับราบเรียบไปอีก ๓ วา ไปตันเสียที่นั้น ชั้นล่างเป็นที่อยู่แห่งพระจุนทเถรภาวนา ชั้นกลางเป็นที่อยู่แห่งโยคี และโยคีสร้างเจดีย์ทองคำสูง ๗ ศอก นับแต่เจดีย์ทองคำเข้าไป ๓ ศอก สร้างพระพุทธรูปทองคำไว้ ๓ องค์ แต่ละองค์สูง ๑ คืบ ต่อจากพระพุทธรูปทองคำเข้าไป ๓ ศอก สร้างพระพุทธไสยาสน์องค์หนึ่งยาว ๓ ศอก ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ชั้นบนสร้างเป็นแท่นทองคำ ๗ แท่น เพื่อวางหีบพระคัมภีร์ไตรปิฎกทั้ง ๗ หีบ ที่พระจุนทเถรได้จารไว้ ต่อจากนั้นก็หล่อฆ้องทองคำไว้ ๑ ใบ ปากกว้าง ๒ วา สิ้นทองคำหนึ่งล้านหนึ่งหมื่น แขวนไว้ที่ประตูขึ้นตรงไปถึงพระเจดีย์ เทวดาถึง ๒ องค์ จึงจะตีฆ้องนี้ดัง ถ้าใช้คนตีฆ้องต้องใช้คนถึง ๑๐ คน จึงจะดัง เทวดายังตีบูชาพระพุทธเจ้าทุกวันพระตอนเที่ยงคืน จะได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงแมงพู่บินอยู่ในถ้ำ

    เมื่อท่านจุนทเถรยังมีชีวิตอยู่ ภิกษุทั้งหลายก็ดี นักปราชญ์ทั้งหลายก็ดี ประสงค์จะศึกษาเล่าเรียน ก็มาขอยืมคัมภีร์หนังสือของท่านจุนทเถร เอาไปศึกษาเล่าเรียน ยึดเป็นแบบฉบับหลักฐานได้ เพราะเหตุว่าพระอรหันต์เขียนเป็นที่ถูกต้องยิ่งนัก เมื่อท่านจุนทเถรจะนิพพาน ท่านได้เก็บรวบรวมใส่หีบทองคำไว้เหมือนเดิม แล้วจึงนิพพานไปในถ้ำแห่งนั้น
    .............

    ดังนั้น จาก ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ดังกล่าว แสดงว่า มีการ จารึก พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ ตั้งแต่ ก่อน พ.ศ. อีก

    และด้วยความเชื่อของผม ที่ว่า "การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก" ไม่ใช่แต่เป็นแต่เพียง การสวดสอบพร้อมกันเพื่อเทียบ ที่เรียกว่า "สังคีติ" แต่การสังคายนาครั้งแรก นั้น จะต้องมีการ จารึก ลงในลานทอง เพื่อเป็น "พระไตรปิฎกฉบับหลวง" และวันหนึ่ง จะได้มีการค้นพบ "พระไตรปิฎกฉบับดังกล่าว" ในพื้นที่ประเทศไทย

    แต่ ก็ถือว่า ข่าวดังกล่าวข้างต้น จะเป็นการ เปิดโลกทัศน์ใหม่ หลังจาก เชื่อตามๆ กันมา ว่า พระไตรปิฎก ไม่มีการจารึกเป็นอักษร มีแต่ "มุขปาฐะ" จน พ.ศ. ๔๓๓ จึงมีการจารึกเป็นอักษร

    ขอบารมี พระพุทธเจ้าเปิดโลก เปิด ความจริง ให้ปรากฏ โดยเร็วพลัน สาธุ สาธุ สาธุ

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** โลกเกิดความสับสน ****

    ฝรั่งต่างชาติเริ่มสับสนกับ เรื่องราวของมนุษย์และศาสนศาสตร์
    เพราะ พระพุทธศาสนามีหลายยุค ตามยุคพระพุทธเจ้า
    ซากวัตถุเก่าแก่ เป็นหลักฐานก็เริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ
    เริ่มพบ วัตถุที่มีอายุเก่าแก่ เกินห้าพันปี เกินหมื่นปี
    คราวนี้ จะเริ่มพิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นว่า
    พระพุทธเจ้า ที่ผ่านมาแล้ว ๕ พระองค์ในรอบนี้ เป็นเรื่องจริง
    มีหลักฐานจริง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    คุณ เอกอิสโร
    จะพูดจะพิสูจน์เรื่องราวในศาสนาพุทธ ก็คงต้องระบุสมัยพระพุทธเจ้าให้ชัดเจน
    เพราะ หลักฐานบนโลกที่ปรากฏอยู่มีอยู่หลายยุค แต่ผู้คนไม่รู้ คิดว่าเป็นยุคพระโคดมทั้งหมด

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** พุทธมีมาแล้วทั่วโลก ****

    พระพุทธเจ้า เป็นแอฟริกา
    พระพุทธเจ้า เป็นฝรั่ง
    พระพุทธเจ้า เป็นจีน
    พระพุทธเจ้า เป็นอินเดีย
    เป็นไทย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. siritach

    siritach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +555
    ....ถ้าผมไม่รู้จริงๆ ผมก็บอกว่าผมเดา ...ไม่ได้เถ ไป แบบ คนบางคน ...

    ถ้าผม มั่นใจ แน่นอน ครับ ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ......
    แล้วคุณ อ่านออกหรือครับ .....


    เรื่องพระพุทธเจ้า นะ ผมนะมั่นใจเลยว่า ไม่ใช่ที่ประเทศไทย
    อย่าว่าแต่ภูมิศาสตร์เลย สภาพ ความเป็นอยู่ สังคม ในอดีตนั้น ก็ไม่ใช่ ของคนไทย ไม่ว่าจะชื่อ คนในสมัยนั้น ศาสนาต่างๆ ภายในประเทศ ...


    ถ้าไม่รู้ผมก็บอกไม่รู้ ไม่ใช่คน ที่พยายามบิดเบือนความจริงหรอกครับ

    ขนาดตามอ้างอิง คุณยังไม่เชื่อเลย ... ทั้งๆที่คุณ ไม่ใช่นักวิชาการ และ นักโบราณคดี หรือผู้มี ญาณวิเศษ .... ยังหาว่าเป็นของปลอมอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...