อยากได้ภาพดินสีอรุณจะเอาไว้เพ่งปฐวีกสิณ

ไม่เคลื่อนไหว เรียกว่า ตาย
ตายจากภพหนึ่งมาอีกภพหนึ่ง คือการเคลื่อน
จิตที่เคลื่อนไหวจากการตาย เรียกว่า จุติ
ในจิตที่เคลื่อนไหวก็หอบบุญบาปกุศลอกุศลมาด้วยเต็มพิกัด
การจุติในธาตุที่สมดุลย์กับ วิญญาณนั้น เรียกว่าปฏิสนธิ ตรงนี้เรียกว่าชีวิต
ทันทีที่ตายจะจุติทันที

เอาแค่นี้ก่อน อย่างนี้ถูกต้องไหมคะ

 

อนุโมทนาสาธุการ กับจิตที่ตั้งไว้ดีค่ะ
ขอให้ท่านได้ทางเดินที่ถูกต้อง ทำให้บรรลุธรรมได้เร็ว
ได้ครูอาจารย์ดี เป็นทีปรึกษาของจิต
เจริญในธรรมค่ะ

ต้องการฌาน ต้องเดินทางสมถะนะคะ

สาธุการ

 

ถูกต้องตามแบบของคุณหรือเปล่าผมไม่รู้ ที่ผมบอกไปคือประสบการณ์ที่ได้เรียนมาและปฏิบัติมาเท่านั้น อย่างคุณมองดินก็ได้แค่มองจนเกิดสมาธิเท่านั้น มันไม่ต่างอะไรอะไรกับการนั่งสมาธิหลับตา จนไม่เกิดความก้าวหน้าในสมาธิ นั่งมองแบบนี้ก็เหมือนมองของตาย มองแบบไม่มีชีวิต มันเลยไม่เกิดการพัฒนาเพราะมองแบบผิดๆ ถ้าคุณปฏิบัติอย่างที่ผมบอก ผลที่ได้ของกสิณคุณจะสามารถรู้สึกได้ทางร่างกายรู้สึกถึงพลังรู้สึกถึงญาณสมาธิของเรา ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบต่างๆอย่างไร

 

ที่คุณความตาย บอกว่าผิด ผิดอย่างไรบ้าง อธิบายหน่อยยสิคะ

 

จะตอบคำถามกระทู้นี้สุดท้าย....ตัวอย่าง ถ้าคุณมองคนตายคุณได้อะไรจากสมาธิ(ไม่เกี่ยวกับการพิจารณาหรืออื่นๆนะ เอาแค่สมาธิ) คุณจะได้แค่สงบนิ่งไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แข็งๆทื่อๆ แต่ในทางกลับกันคุณมองคนที่มีชีวิตคุณจะรู้สึกถึงตัวตนของเค้า รับรู้อารมณ์ด้านต่างๆของเค้าที่เค้าแสดงออกมา แบบไหนจะเข้าใจได้มากกว่ากันดูได้ลึกกว่ากัน ระหว่างคนตายและคนเป็น เปรียบเทียบได้กลับการมองกสิณมองอย่างไรให้เค้ามีชีวิต แต่ที่คุณๆมองกันมองกสิณแบบที่ตายแล้ว ผมอาจจะอธิบายไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ประมาณนี้ จบการสนทนาเรื่องกสิณสำหรับกระทู้นี้นะครับ
ปล.แล้วคุณแสนสวาทได้อะไรบ้างจากการมองกสิณดิน ในรูปแบบของคุณสมาธิก้าวหน้าไหม รู้สึกถึงพลังกสิณไหม มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรระหว่างที่ฝึก

 

จิตสงบ ค่ะ
การเพ่งมองกสิณได้ความสงบของจิต
อย่างนี้ก็ดีเลิศมากในเบื้องต้น
นำไปใช้ได้ตั้งแต่ยังไม่เกิดนิมิตของดวงปฐวีกสิณเลยค่ะ
ดิฉันใช้มาตลอด
เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างค่ะ
...
จบการสนทนากับคุณตามต้องการ
ตามสบายค่ะ คุณความตาย ...

 

ฝึกดิน ปฐวีกสิณเป็นจุดเริ่มต้น ถูกต้องที่สุด

และกสิณดินต้องเป็นสีอรุณเท่านั้น สีอื่นหากนำมาเป็นรูปเพื่อเพ่งเป็นกสิณโทษทั้งหมด

ดินเป็นธาตุที่สำคัญที่สุด รองรับธาตุอื่น ๆ
เป็นความแข็งแกร่ง หนักแน่น และหุ้มห่อ ธาตุที่เหลือ รองรับ
ดินหยาบ เช่นจิตมนุษย์ ที่ไม่ได้รับการฝึกฝน
มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ได้ฝึกจิต จิตไม่พร้อมใช้งาน
อะไรกระทบ ก็จะแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งกระทบนั้น ๆ
ปัญหามา ปัญญายังไม่มา เพราะสติไม่มีมา

เริ่มฝึกแล้ว ถึงแม้นว่า ยังไม่เห็นดวงปฐวีกสิณก็ตาม
(เพราะธาตุที่เห็นแต่ละคนไม่เหมือนกัน)
ท่านก็จะได้สะสม ไว้เป็นทุน เหมือนต้นทุนยังไม่พอ ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้
ท่านต้องเริ่มสะสมไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเต็ม
สมองหยุดคิดเมื่อไร ภาพนิมิตจะเริ่มปรากฏ
เต็มเมื่อไร นิมิตจะเริ่มปรากฏ

บางคนที่ดิฉันเคยเปิดดวงชาตาดู เห็นว่า เขา/เธอ ฝึกปฐวีกสิณง่ายมาก
เมื่อสอบถามก็จริง 2-3 วันไม่เกินนี้ ก็จะเห็นนิมิต เห็นชัด เหมือนของจริงเลย
ทั้งลืมตาและหลับตา
อันนี้ อย่าไปอิจฉาเขา เพราะเขามีของเก่า ของเดิมมามาก

 

ต่อสู้กับความคิด

ช่วงแรกที่ฝึกกสิณ ล้วนอยากเห็นนิมิตทั้งสิ้น
สิ่งต่าง ๆ ก็อยู่ในส่วนของความคิด ความอยาก เรียกว่าตัณหา
เมื่อมีความอยาก สิ่งนั้นเป็นอกุศลที่เกิดขึ้นที่เศียร
ทำให้เจริญกสิณในช่วงแรกจะช้ามา
ต้องฝึกละความอยาก ความปรารถนาจะได้ก่อน
ทำความเข้าใจก่อน ว่าเริ่มด้วยอกุศลไม่ได้
ละอกุศลแล้วฝึกต่อ

 

กสิณดินต้องเป็นสีอรุณเท่านั้น
สีอื่นหากนำมาเป็นรูปเพื่อเพ่งเป็นกสิณโทษทั้งหมด​

 

กสิณดินที่เป็นสีดิน คือเจือด้วยราหู
จึงกล่าวว่ามิใช่ สีดำเช่นนั้น
สีอื่นใด เช่นสีเขียว สีเหลือง ก็ไม่นำมาเพื่อเพ่งเป็นกสิณดิน

สีที่ถูกกำหนดไว้คือสีอรุณ สีออกจีวรพระนี่แหละ

 

นิมิตจะเกิดในจิต
ไม่ควรที่จะคิดว่า ทำอย่างไรจะเกิดนิมิต
ไม่ต้องเรียกหา
รู้หรือเห็นอะไร ให้วางลง

เห็นก็รู็้ว่าเห็น
สักแต่ว่าเห็น

หากไปดีใจ นิมิตก็จะหายไป
คำบริกรรม บางครั้งถูกนำมาใช้กับบางคน ที่นิมิตเกิดยาก

บริกรรมว่า ปฐวีกสิณัง ๆๆๆๆ
หรือ ดิน ๆๆๆๆ

 

ยืน เดิน นั่ง นอน วิ่ง ให้บริกรรมเข้าไว้

ว่า ปฐวีกสิณัง ๆ ๆๆๆ

 

ไม่ได้ใช้ภาพถ่ายแทนได้
ภาพถ่ายเป็นกระดาษ กรรมฐานคนละกอง
นิมิตไม่เกิด พลังแห่งจิตไม่เกิด

จำต้องมีดวงปฐวีกสิณ
เมื่อแรก ไม่ได้มุ่งให้ผู้คนจะฝึกมีดวงปฐวีกสิณ
แต่นิมิตปฐวี ก็ไม่มาสักที
เพราะภาพนิมิตยังไม่เกิดขึ้นในจิต
จึงต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ให้มีดวงปฐวีกสิณ
ราคา ก็ ๒๐๐ บาท ไม่แพงอะไร

 

๔๐ กองกรรมฐาน กสิณดินหยาบสุด ฝึกง่ายสุด
การเรียงลำดับธาตุเรียงตามนี้

ดิน น้ำ ไฟ ลม

เราควรจะเดินปฐวีกสิณก่อนแล้วค่อยไปเดินกรรมฐานกองอื่น
เพราะดินเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง ไม่มีดิน ธาตุอื่นไม่สามารถดำรงได้

 

ทีนี้ เมื่อมีอุปกรณ์
ทำความเข้าใจพอควร
ก็เริ่มที่
อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ตั้งนะโม
สมาทานพระกรรมฐาน สุดท้ายคือ แผ่เมตตา
ทำเช่นนี้เสมอ

หาอ่านได้ที่นี่

สมาทานพระกรรมฐาน

 

การจะก้าวหน้าในกรรมฐานหรือไม่
พุทธะทรงกล่าวไว้่ว่า
ให้มีศีล ๕ เป็นอย่างน้อย
ทรงศีล ๕ ไม่ได้ กรรมฐานไม่ก้าวหน้า

 

ขั้นตอนหลังจากสมาทานพระกรรมฐานแล้ว
นั่งเป็นอันดับแรก
นั่งห่างจากดวงกสิณ สุดมือ หรือสุดมือที่กำ
นั่นพอควร

อย่าให้มีขี้ผงติดที่ดวงกสิณ อาจเกิดกสิณโทษ
มองไปที่แผ่นกสิณ แล้วบริกรรม ปฐวีกสิณัง ๆๆๆๆ
จิตจะทิ้งคำภาวนาก็ช่างมัน อย่าไปสนใจ