เรื่องเด่น เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย Phra Atipan, 22 มิถุนายน 2010.

  1. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    พระสุตตันตปิฎก
    เล่ม ๙
    สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ๑. ขันธสังยุต
    มูลปัณณาสก์
    นกุลปิตวรรคที่ ๑
    ๑. นกุลปิตาสูตร
    ว่าด้วยกายเปรียบด้วยฟองไข่
    [๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกฬาวัน (ป่าเป็นที่นางยักษ์ชื่อเภสกฬา
    อยู่อาศัย) อันเป็นสถานที่ให้อภัยแก่หมู่มฤค ใกล้เมืองสุงสุมารคิระในภัคคชนบท ฯลฯ
    ครั้งนั้นแล คฤหบดีชื่อนกุลบิดาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
    ส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้แก่เฒ่า
    เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยแล้วโดยลำดับ มีกายกระสับกระส่าย เจ็บป่วยเนืองๆ พระพุทธเจ้าข้า
    ก็ข้าพระองค์มิได้เห็นพระผู้มีพระภาคและภิกษุทั้งหลาย ผู้ให้เจริญใจอยู่เป็นนิตย์ ขอพระผู้มี
    พระภาคโปรดสั่งสอนข้าพระองค์ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดพร่ำสอนข้าพระองค์ ด้วยธรรมที่เป็น
    ไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นั่น
    ถูกแล้วๆ คฤหบดี อันที่จริง กายนี้กระสับกระส่าย เป็นดังว่าฟองไข่ อันผิวหนังหุ้มไว้ ดูกร
    คฤหบดี ก็บุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่ พึงรับรองความเป็นผู้ไม่มีโรคได้แม้เพียงครู่เดียว จะมีอะไร
    เล่า นอกจากความเป็นคนเขลา ดูกรคฤหบดี เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย ดูกรคฤหบดี ท่านพึงศึกษา
    อย่างนี้แล.
    [๒] ครั้งนั้นแล คฤหบดีชื่อนกุลบิดา ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุก
    จากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้ว เข้าไปหาท่านพระสารีบุตร
    อภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวกะนกุลปิตคฤหบดีว่า
    คฤหบดี อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านบริสุทธิ์ เปล่งปลั่ง วันนี้ ท่านได้ฟัง
    ธรรมีกถาในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคหรือ? นกุลปิตคฤหบดีตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
    ไฉนจะไม่เป็นอย่างนี้เล่า พระผู้มีพระภาคทรงหลั่งอมฤตธรรมรดข้าพเจ้าด้วยธรรมีกถา.
    ส. ดูกรคฤหบดี พระผู้มีพระภาคทรงหลั่งอมฤตธรรมรดท่านด้วยธรรมีกถาอย่างไรเล่า?
    น. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (ข้าพเจ้าจะเล่าถวาย) ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวาย
    อภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
    ข้าพระองค์เป็นผู้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยแล้วโดยลำดับ มีกายกระสับกระส่าย
    เจ็บป่วยเนืองๆ พระพุทธเจ้าข้า ก็ข้าพระองค์มิได้เห็นพระผู้มีพระภาคและภิกษุทั้งหลาย ผู้ให้
    เจริญใจอยู่เป็นนิตย์ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดสั่งสอนข้าพระองค์ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดพร่ำ
    สอนข้าพระองค์ด้วยธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด.
    เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นั่น ถูกแล้วๆ คฤหบดี อันที่จริง
    กายนี้กระสับกระส่าย เป็นดังว่าฟองไข่ อันผิวหนังหุ้มไว้ ดูกรคฤหบดี ก็บุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่
    พึงรับรองความเป็นผู้ไม่มีโรคได้แม้เพียงครู่เดียว จะมีอะไรเล่า นอกจากความเป็นคนเขลา ดูกร
    คฤหบดี เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของ
    เราจักไม่กระสับกระส่าย ดูกรคฤหบดี ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มี
    พระภาคทรงหลั่งอมฤตธรรมรดข้าพเจ้าด้วยธรรมีกถาอย่างนี้แล.
    [๓] ส. ดูกรคฤหบดี ก็ท่านมิได้ทูลสอบถามพระผู้มีพระภาคต่อไปว่า พระพุทธเจ้าข้า
    ด้วยเหตุเท่าไรหนอ? บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายและเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย
    และก็ด้วยเหตุเท่าไรหนอ? บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย
    ไม่.
    นกุลปิตคฤหบดีตอบว่
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ามาแม้แต่ที่ไกล เพื่อจะทราบเนื้อความแห่งภาษิตนั้นใน
    สำนักท่านพระสารีบุตร ดีละหนอ ขอเนื้อความแห่งภาษิตนั้นจงแจ่มแจ้งกะท่านพระสารีบุตรเถิด.
    ส. ดูกรคฤหบดี ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
    นกุลปิตคฤหบดีรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว. ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวว่า
    สักกายทิฏฐิ ๒๐
    [๔] ดูกรคฤหบดี ก็อย่างไรเล่า? บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายด้วย จึง
    ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายด้วย. ดูกรคฤหบดี คือ ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ มิได้
    เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ มิได้รับแนะนำในอริยธรรม มิได้เห็น
    สัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ มิได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ย่อมเห็นรูปโดย
    ความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ ย่อมเห็นรูปในตน ๑ ย่อมเห็นตนในรูป ๑ เป็นผู้ตั้งอยู่
    ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูปของเรา. เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูป
    ของเรา รูปนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะรูปแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ
    ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น. ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็น
    ตนมีเวทนา ๑ ย่อมเห็นเวทนาในตน ๑ ย่อมเห็นตนในเวทนา ๑ เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
    เราเป็นเวทนา เวทนาของเรา. เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นเวทนา เวทนาของเรา
    เวทนานั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะเวทนาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ
    ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น. ย่อมเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมี
    สัญญา ๑ ย่อมเห็นสัญญาในตน ๑ ย่อมเห็นตนในสัญญา ๑ เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
    เราเป็นสัญญา สัญญาของเรา. เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสัญญา สัญญาของเรา
    สัญญานั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะสัญญาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ
    ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น. ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมี
    สังขาร ๑ ย่อมเห็นสังขารในตน ๑ ย่อมเห็นตนในสังขาร ๑ เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
    เราเป็นสังขาร สังขารของเรา. เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสังขาร สังขารของเรา
    สังขารนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะสังขารแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ
    ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น. ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมี
    วิญญาณ ๑ ย่อมเห็นวิญญาณในตน ๑ ย่อมเห็นตนในวิญญาณ ๑ เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
    เราเป็นวิญญาณ วิญญาณของเรา เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นวิญญาณ วิญญาณ
    ของเรา วิญญาณนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะวิญญาณแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป
    โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น. ดูกรคฤหบดี ด้วยเหตุอย่างนี้แล
    บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย และเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย.
    [๕] ดูกรคฤหบดี ก็อย่างไรเล่า? บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มี
    จิตกระสับกระส่ายไม่. ดูกรคฤหบดี คือ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ผู้เห็นพระอริยะ
    ทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในอริยธรรม ผู้เห็นสัตบุรุษ
    ทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในสัปปุริสธรรม ย่อมไม่เห็นรูปโดย
    ความเป็นตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ๑ ย่อมไม่เห็นรูปในตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนในรูป ๑ ไม่เป็นผู้
    ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูปของเรา. เมื่ออริยสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
    เราเป็นรูป รูปของเรา รูปนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะรูปแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป
    โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ย่อมไม่เห็นเวทนาโดยความเป็นตน ๑
    ย่อมไม่เห็นตนมีเวทนา ๑ ย่อมไม่เห็นเวทนาในตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนในเวทนา ๑ ไม่เป็นผู้ตั้ง
    อยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นเวทนา เวทนาของเรา. เมื่ออริยสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่น
    ว่า เราเป็นเวทนา เวทนาของเรา เวทนานั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะเวทนาแปร
    ปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ย่อมไม่เห็น
    สัญญาโดยความเป็นตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนมีสัญญา ๑ ย่อมไม่เห็นสัญญาในตน ๑ ย่อมไม่เห็น
    ตนในสัญญา ๑ ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นสัญญา สัญญาของเรา. เมื่ออริยสาวก
    นั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสัญญา สัญญาของเรา. สัญญานั้นย่อมแปรปรวนเป็น
    อย่างอื่นไป เพราะสัญญาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและ
    อุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ย่อมไม่เห็นสังขารโดยความเป็นตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนมีสังขาร ๑ ย่อมไม่
    เห็นสังขารในตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนในสังขาร ๑ ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสังขาร
    สังขารของเรา. เมื่ออริยสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสังขาร สังขารของเรา
    สังขารนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะสังขารแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ
    ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑ ย่อมไม่เห็น
    ตนมีวิญญาณ ๑ ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนในวิญญาณ ๑ ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วย
    ความยึดมั่นว่า เราเป็นวิญญาณ วิญญาณของเรา. เมื่ออริยสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
    เราเป็นวิญญาณ วิญญาณของเรา วิญญาณนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะวิญญาณ
    แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ดูกร
    คฤหบดี อย่างนี้แล บุคคลแม้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่.
    ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำเช่นนี้แล้ว นกุลปิตคฤหบดี ชื่นชมยินดีภาษิตของท่าน
    พระสารีบุตร ฉะนี้แล.
    จบ สูตรที่ ๑
    อนุโมทนา สาธุ ๆ
    ยินดีกับท่านทั้งหลาย
    ที่ได้ทำบุญกุศลทุกอย่าง
    ในกาลนี้ด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  2. ลูกท่าน

    ลูกท่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,649
    จิตใจเราได้ชำระล้างกันมากน้อยเพียงใด
    เป็นสิ่งที่ควรคำนึงอย่างยิ่งนะครับ

    ความสกปรกในเนื้อตัวภายนอก
    ขับถูไม่เท่าไรก้พอออกให้ได้เห็นความสะอาดบ้าง
    แต่ใจเรามันหนาด้วยพูนกิเลศตั้งกี่ศอกกี่วา
    ดูง่ายๆ มาตั้งแต่เกิด ถ้าไม่ขัดถูเลยจะขนาดไหน

    ขนาดพวกเราพยายามขัดใจ(จิต)กันบ่อยครั้ง
    เจ้าตัวสกปรกนามว่ากิเลศ มันยังถลาเข้ามาเกาะทันควันเลย
    ดุเอาแล้วกัน เจ้านี่มันร้ายนักเชียว
     
  3. damilk

    damilk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +129
    การทำบุญถูกวิธีโพสใหม่
    ขอโทษด้วนะคะ มาโพส ใหม่ทีนี้อธิบายเลยแล้วกัน ไม่ต้องดาวโหลดเพราะ เข้าไม่ได้ เอาแบบย่อๆแล้วกันนะคะเพราะเนื้อหายาวมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    วันนี้มีวิธิทำบุญที่เห็นผลชงัดมา บอกต่อเป็ธรรมทานคะ ใครสนใจก็ลองเอาไปปฏิบัติดูนะคะรับรอง คุณจะรู้สึกถึงความค่อยๆเปลี่ยนแปลง เพราะลองทำวิธีนี้ด้วยตัวเองแล้ว
    เป็นคำกล่าวของ

    พญานาคราชในโบสถ์ของวัดศิริประสุประตินาถ และ ท่าน พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่หล้า พระอริยะเจ้าแห่งวัดภูจ้อก้อ
    .มุกดาหาร อุปสมบทเมื่อ พ..๒๕๒๙ ท่านมีประสบการณ์ทางจิต ที่โลดโผนพิสดาร แม้เดินจงกรมก็สามารถเดินเหยียบอากาศเอาผ้าไปพาดไว้บนกิ่งไม้สูงสิบเมตรได้ ทั้งสามารถมองเห็นภูตผีปิศาจ นาค ครุฑ ยักษ์ อย่างชัดแจ้งแม้กระทั่งลืมตา มีญาณระลึกชาติย้อนหลังได้ มากมายหลายชาติ เป็นพระสงฆ์ที่ใช้เวลาท่องเที่ยวไปในนรกสวรรค์ปานเรื่องพระมาลัยโปรดสัตว์โลก นับครั้ง ไม่ถ้วน ด้วยท่านเป็นพระที่ไม่สนใจในเรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียง ทั้งเทพยาดาสูง-ต่ำ ตลอดจนภูตผีปิศาจ ต่างให้ความเคารพท่านมาก วัดของท่านจึงเป็นศูนย์รวมของเทพยาดา และภูต-ผี-ปิศาจ-อสูรกาย-สัมภเวสี ที่ตกทุกข์ได้ยากทั่วทุกสารทิศ พากันหลั่งไหลมุ่งไปหาขอความช่วยเหลือจากท่าน แต่ละวันผู้คนมากหน้า หลายตาต่างดั้นด้นข้ามป่าข้ามเขาผ่านหนทางอันทุรกันดารไปกราบท่าน เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาเคราะห์กรรม ต่างๆ ซึ่งท่านก็เพียงแต่แนะนำหลักการ ใช้บุญแก้กรรมแบบง่ายๆ แต่ทว่า............ ได้ผลชะงักงันอย่างคาด ไม่ถึงอย่างชนิดที่ไม่มีพระรูปไหนกล้าพูดแนะนำได้อย่างนี้ เรามักท่องเป็นคาถาอยู่ร่ำไปว่า เวรกรรมนั้น แก้ไม่ได้ แต่พระอาจารย์ท่านยืนยันรับประกันอย่างหนักแน่นให้ฟ้าผ่าห่ากินว่า.......... แก้ได้ ไม่ต้องลงทุน อะไรมาก ไม่ต้องทำ พิธีสวดอะไรให้ใหญ่โตเสียเวลา เสียเงินเสียทองให้มากมาย แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ว่า ทุกวันนี้คนทำบุญกันไม่เป็น ดึงบุญที่เคยทำมาใช้ ก็ทำไม่เป็น เป็นแต่ตะบันก้มหน้าก้มตาชดใช้กรรม อย่างเดียว อย่างจนตรอกอยู่ท่าเดียว

    คำกล่าวของพญานาคราช ข้าพเจ้าได้พบหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญ เมื่ออ่านดูแล้วเกิดความศรัทธา จึงไดพิมพ์แจกเป็นกุศล วันหนึ่งในโบสถ์ของวัดศิริประสุประตินาถได้มีหลวงพ่อ องค์หนึ่งได้นั่งสวดมนต์ อยู่ในโบสถ์ ขนะนั้นมีงูตัวหนึ่ง เลื้อยออกมาจากหน้าพระพุทธรูปในโบสถ์ หลวงพ่อเมื่อได้เห็นงูก็เกิดอาการกลัว หลังจากนั้นงูก็ได้กลายเป็นมนุษย์ ในรูปของพราหมณ์ แล้วกล่าวกับหลวงพ่อว่า " เจ้าไม่ต้องกลัว และตกใจ เจ้าจงฟัง " ข้าพเจ้าคือ พญานาคราช ได้จุติ ณ วัดแห่งนี้ เพื่อบำบัดปัดเป่าความชั่วร้าย และคนบาป คนที่ทำกรรมไว้มากจักได้พินาศไป จากโลกนี้ และเจ้าจงประกาศ ให้ ทุกคนได้รู้ว่า ผู้ใดนำเรื่อของข้าพเจ้าไปพิมพ์แจก มันผู้นั้นจักมีโชคลาภ มีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดสมปราถนาทุกประการ และผู้ใดรู้อย่าได้คิด ว่าหลอกลวง หรือไม่เชื่อ ให้เก็บไว้สวดมนต์ บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว หรือ ถ้าศรัทธาผู้ใดคิดจะพิมพ์แจกอย่าพลัดวันประกันพรุ่ง หรืออ่านแล้วฉีกทิ้ง ผู้นั้นจักมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับตัว เมื่อรู้เรื่องแล้วให้พิมพ์แจกหรือแจกต่อๆไป
    หรือ ให้เก็บไว้สวดมนต์ บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวก็ได้ไม่บังคับ จากนั้นหลวงพ่อได้แจกจ่ายต่อๆไป ท่านได้สำเร็จวิชาต่างๆ และโกบินตะแห่งประสาทคุปตา และอีกหลายคน อ่านแล้วอย่าลบหลู่ หากศรัทธาในพิมพ์แจกจ่าย หรือ

    ให้เก็บไว้สวดมนต์ บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
    อยากเล่าให้ฟังอะคะ ว่าตอนแรกยังไม่ได้นำมาเผยแพร่เป็นธรรมทาน
    ทันทีเลย แต่ ว่าก็ลอง ทำบุญตามวิธีนี้ดูแล้ว เลย มั่นใจคิดว่าทุกปัญหาแก้ได้แน่นอน ไม่ว่าปัญหาหนี้สิน เงิน ความรัก ครอบครัว ฯลฯ
    คืออยากเล่าเผื่อธรรมทานอะคะ คือเป็นคนที่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือ เก็บเงินไม่อยู่
    วันหนึ่งมีคนส่ง e - mail มาให้เลยลองทำบุญตามวิธีนี้ดู พอลองทำบุญตามวิธีนี้ดูรู้สึกว่าได้ผลจริงๆเพราะ โดยส่วนตัวเป็นคนที่ใช้เงินเปลืองอยู่แล้ว
    จึงทำให้มีปัญหาเรื่องเงินบ่อยๆ อันนี้ก็อีกข้อนึง
    แต่อีกอย่างนึงก็คือว่าถึงแม้ตั้งใจเก็บแบบตั้งใจเก็บ จริงๆ สุดท้าย จะมีคนมาเอาเงินนั้นไปตลอดไม่เหลือแม้บาทเดียว คือมีคนมาเบียดเบียนเราตลอด หรือไม่ก็ตัวเองนี่แหล่ะ คือบางทีมันก็มีเรื่องจำเป็นจริงๆที่จะต้องจ่ายออกไป แบบว่าจ่ายออกไปแบบไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว ...........
    แต่พอทำบุญด้วยวิธีนี้แล้ว รู้สึกว่าเก็บเงินอยู่จริงๆ รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยขึ้นมาก รู้สึกได้เลยว่าไม่มีคนมาเบียดเบียนเลยอีกเลย
    บางทีเหมือนจะต้องเสียเงินแต่ก็ไม่ได้เสีย สะงั้น อันนี้เรื่องจริงค่ะอึ้งเหมือนกัน แบบว่าเหมือน ปาฏิหาริย์ ส่วนตัวคือ จะทำบุญด้วย การทานต่อหน้าพระพุทธรูป บนหิ้งพระ คือแบบว่าหากล่องมาใส่เงิน สมมุติว่าเป็นบาทพระอะคะ แล้วพอได้มากพอก็จะไปบริจาคเพื่อศาสนา ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันว่าตัวเองจะเอาเงินที่ถวายนั้นไปใช้ เพราะตัวเองเป็นคนที่แบบว่าพลานเงินอย่างไม่เหลือเพราะมันจะมีเหตุให้ต้องเสียเงินอย่างงี้ร่ำไป ตั้งแต่จำความได้อะคะ เป็นอย่างงี้มาตลอด หมดๆแบบว่า บาทเดียวก็ไม่เหลือ ตอนแรก กลัวบาปมากๆ แบบทาน วันละบาท 2 มั้ง 7 มั้ง อุทิศให้เทวดาประจำตัว แล้วก็เจ้ากรรมนายเวรที่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องเงิน และปัญหาอื่นๆ หรือถ้าวันไหนไม่ได้ทาน ก็จะสวดมนต์ หรือไม่ก็นั่งสมาธิ อะคะ แล้วก็รู้สึกว่าการเงินเราดีขึ้นจริงๆ ก็เลยอยากบอกบุญต่อ อะคะ แล้วก็คิดว่าจะเผยแพร่ ต่อไป เพราะคิดว่าเป็นธรรมทานด้วย ยังงัยก็ลองทำดูนะคะ ได้ผลแน่นอน ทุกศาสนาทำได้หมด
    คนเราล้วนเคยสั่งสมบุญให้ทานมาแล้ว ทั้งนั้น ทั้งในชาติก่อนและในชาตินี้ ถ้าจะนึกถึงบุญ มันก็เยอะจนจำไม่หวาดไม่ไหว แต่ด้วยความไม่รู้จักวิธี ชำระหนี้แค้นให้แก่เจ้ากรรมนายเวรดั่งว่า ทำบุญไปก็คิดแต่จะรอให้ตายซะก่อนแล้วจึงค่อยไปรับบุญใน สรวงสวรรค์ แล้วพากันเอาแต่บ่นว่า บุญอะไรก็ทำมาหมดแล้ว ชีวิตไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้นมาสักที ก็จะดีได้อย่างไร ในเมื่อสักแต่ว่าทำบุญแต่ทำไม่เป็น ถูกสอนสั่งกันมาอย่างผิดๆ มัวแต่ไปรออุทิศให้ตอน กรวดน้ำ เจ้ากรรมนายเวรเขาก็เลยไม่ได้รับ บ้างก็ไม่เคยเผื่อแผ่ให้บุญแก่เทวดาที่รักษาตัวเอง ไม่เคยให้ เจ้ากรรมนายเวรที่ตามจองเวรกันอยู่ ไม่เคยให้เทวดาและญาติทิพย์ที่อาศัยอยู่ในเขตบ้านเขตเรือน ไม่เคยให้แก่ เทวดาที่ดูแลรักษากิจการงานห้างร้าน ไม่เคยให้เทวดาที่รักษาเจ้านายของตัวเอง แถมบางทีการแผ่อุทิศบุญ ก็ไม่เฉพาะเจาะจงอีก หรือดันไปให้ตอนที่แสงบุญหมดแล้ว เทวดาเหล่านั้นบางองค์อาจมีบุญน้อยมีฤทธิ์น้อย จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้มาก แต่ถ้าเขาได้รับอานิสงส์บุญจากเราอย่างถูกวิธีบ่อยๆ เขาจะกลายเป็น เทวดาที่มีฤทธิ์ มีอำนาจ สามารถช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จได้ดังใจหมาย
    บุญอันเกิดจากการให้ทาน เมื่อถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ หรือให้สิ่งของแก่ใคร ไม่ว่าจะเป็นของแก่ พ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร แม้เอาข้าวให้หมากิน เอาอาหารโยนให้ปลากิน เอาเศษอาหารโปรยให้มดกิน ขณะนั้นจะ เกิดกระแสบุญเป็นแสงเรืองรองแผ่ออกจากตัวผู้ให้ทันที และเพียงไม่กี่วินาทีแสงนี้จะพุ่งหายไป เบื้องบนแล้วสะสม เป็นกองบุญของผู้ให้อยู่บนเทวโลก ดังนั้น จึง
    ****ขอเน้นย้ำว่าหลักสำคัญที่สุดว่า ขณะของหลุดจากมือเมื่อใส่บาตร /ถวายของให้สงฆ์ หรือให้ของแก่ใครก็ตาม เราต้องอธิษฐานจิตแผ่บุญ ในทันที อย่ามัวไปรอแผ่บุญตอนพระสวด ยถาสัพพี**** เนื่องจากการแผ่ให้ตอนพระยถาฯ อย่างที่เคย ปฏิบัติกันมานั้นผิด เพราะกระแสบุญได้เลือนจาง หายไปอยู่ในสวรรค์หมดแล้ว ต้องคิดแผ่บุญในทันทีทันใดว่า บุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาตัวข้า หรือ บุญนี้จงเป็นของเจ้ากรรมนายเวรของข้า หรือ บุญนี้จงเป็นของ เทวดา ภูต-ผี-ปิศาจ-ครุฑ-นาค-ยักษ์ ที่สถิตย์อยู่ในสถานที่เรือกสวนไร่นา หรือเคหะสถานบ้านเรือนของข้า เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการแก้ไขปัญหากลัดกลุ้มในเรื่องไหน
    บุญอันเกิดจากการภาวนา ให้อธิษฐานก่อน เช่นว่า ขอบุญที่จะเกิดจากการภาวนาต่อไปนี้ ถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บป่วย​
    (เป็นอะไร) หรือเราจะให้ใครก็ให้อธิษฐานเอาเอง แล้วก็เริ่ม ภาวนาได้เลย หลังลากเลิกภาวนาก็ให้อุทิศบุญนี้ไปอีกครั้งหนึ่ง บุญที่เกิดจากการภาวนานี้จะมีพลานุภาพแรง ยิ่งกว่าบุญจากการให้ทานมาก ฉะนั้นพวกภูตผีชั้นต่ำมักจะรับไม่ค่อยได้ เราต้องเปิดช่องไว้ก่อนภาวนา เขาจะเตรียมรับตามกำลังความสามารถของตนเอง เพราะถ้าหากจะให้ตอนที่ภาวนาเสร็จแล้วจึงให้ ก็เปรียบ เหมือนเราปล่อยน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิงแต่เขาเอาภาชนะที่ไม่เหมาะสมมารับ เขาจะรับไม่ได้เนื่องจากกำลังจิต ของเขาไม่แข็งแรงพอ หากเราอธิษฐานเปิดให้เขาเตรียมตัวไว้ก่อน ก็เหมือนกับเปิดก๊อกน้ำออกค่อยๆ ใครมีภาชนะน้อยก็เอามาตวงรับตามกำลังที่เขามี แต่สำหรับเทวดาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ท่านสามารถรับ บุญใหญ่หลังภาวนาได้อยู่แล้ว เปรียบเหมือนท่านมีโอ่งมีถังขนาดใหญ่สำหรับรองรับน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิง นั่นเอง
    บุญอันเกิดจากการรักษาศีล การทำบุญด้วยการตั้งใจรักษาศีล ก็ย่อมเกิดบุญกุศลขึ้นเช่นกัน ทุกครั้งที่ระลึกถึงศีลที่ตัวเองรักษาดีแล้ว ไม่ด่างพร้อย ก็สามารถอธิษฐานส่งบุญได้ว่า
    บุญที่ข้าพเจ้าได้รักษา ศีลนี้ จึงถึงแก่....................”
    ยกตัวอย่างอีกกรณี เอาย่อๆเพราะเนื้อหาเยอะมา เช่นถ้าบุตรหลาน สามี ภรรยา หรือคนภายในครอบครัวของท่าน เช่นบุตรหลานไม่ฟัง สามีชอบมีชู้ ฯลฯ
    อันีเราก็สามารถอธิฐานส่งบุญแด่ เทวดาผู้รักษาตัวเค้าเหล่านั้นได้เช่นกัน แล้วตั้งจิตอธิฐานเมือทำบุญ เช่น พูดในใจ ขอบุญที่ข้าได้กระทำนี้จงเป็นของ เทวดาประจำตัว.......บุตรหลานหรือใครก็ว่าไป ด้วยบุญกุศลนี้ ขอท่านเทวดาประจำตัว.........บุญหลาน ของข้าพเจ้า ขอบุญนี้จงส่งผลให้ท่านเทวดาจงมีบุญบารมีเพิ่มพูน มีอิทธิฤทธิ์เพิ่มมากขึ้นบุญบารมีเพิ่มมากขึ้น มีความสุขสบายทั้งกายและใจมีทั้ง วิมาร เสื้อผ้าอาพภณ์ที่สวยงามสวมใส่ ทั้งอาหารการกิน ข้าทาสบริวารอุดมสมบูรณ์ ก็ว่าไป และเมื่อท่านเทวดามีอิทธิฤทธิ์ วาสนาบารมีเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ขอให้ท่าน ช่วยสั่งสอนตักเตือน.......ใครก็ว่าไป...........ทำบ่อยๆ ตอนแรกหากเทวดาองค์นั้นมีอิทธิฤทธิ์หรือบุญน้อยอาจจะยังไม่ทราบว่าเราส่งบุญให้ แต่เมื่อทำบ่อยๆ อิทธิ์ฤทธิ์บุญบารมีท่านมากขึ้น ท่านจะรู้เองว่าเราเป็นคนส่งให้ และจะช่วยเราได้เอง......[​IMG]......... ต้องคิดให้ชัดเจนอย่าลางเลือน ให้ของแก่ใครเมื่อของ หลุดจากมือปุ๊บ เราต้องคิดส่งบุญให้ปั๊บทันทีอย่าช้า!!!!
    การเบิกบุญ
    การเบิกบุญเก่าที่เคยสั่งสมแต่อดีตมาใช้ บุญที่เราทำไว้แล้วมีมากมายที่สะสมอยู่ในสรวงสวรรค์ ทั้งที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนหรือได้ทำไว้ในชาตินี้ เราสามารถเบิกบุญนั้นมาแจกจ่ายอุทิศให้แก่ผู้อยู่ในโลก วิญญาณได้ เหมือนเรามีเงินเก็บในธนาคารเราก็ใช้บัตรเอทีเอ็มกดเบิกเงินออกมาใช้จ่าย แต่การเบิกบุญนั้น ที่สำคัญลืมไม่ได้เลยคือ ต้องอาศัยอำนาจพระรัตนตรัยขึ้นนำก่อนเสมอ คือ ให้ตั้งจิตคิดอธิษฐานว่า ด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจแห่งพระธรรม ด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์ จงดลบันดาลให้บุญของ ข้าพเจ้าที่ทำมาในอดีตจนถึงปัจจุบันถึงแก่..................................... ” จะให้ใครก็คิดนึกให้เอาเอง การเบิกบุญ แจกจ่ายนี้สามารถให้ได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อนึกขึ้นได้ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม อยู่ก็ตาม
    การอุทิศโอนบุญ ไม่ต้องพูด อย่าไปอุทิศตอนกรวดน้ำ ให้ใช้เพียงแค่..การคิด และต้องรีบคิดให้ ทันที!!!! อย่ามัวรีรอชักช้าเป็นอันขาด เพราะแสงบุญที่เกิดขึ้นจะดำรงอยู่ไม่กี่วินาทีแล้วจะหายวับไปอยู่ ในสวรรค์ ถ้าเราฝึกบ่อยๆ เราจะชำนาญในการคิด เพราะการคิด...กระแสบุญจะแรงกว่าการพูดอกจากปาก เวลาหย่อนของลงในบาตรปั๊บให้คิดส่งบุญทันที และต้องคิดให้ชัดเจนอย่าลางเลือน ให้ของแก่ใครเมื่อของ หลุดจากมือปุ๊บ เราต้องคิดส่งบุญให้ปั๊บทันทีอย่าช้า!!!!
    ในการทำความดีทุกอย่าง เช่นแม้แต่การพูดให้เขาได้สติคิดดี การช่วยเหลือคน การได้ทำ ประโยชน์ส่วนรวม ย่อมก่อให้เกิดความปิติดีใจ นั่นแหละคือบุญ ให้รีบส่งบุญถึงผู้ที่เราต้องการให้บุญทันที ฯลฯ
    เอาเป็นว่าแค่นี้เเล้วกันนะคะเพราะยาวมาก เพราะอันนี้เคยใส่ลิ้งลงไปให้คลิ๊กแล้ว แต่เข้าดูไม่ได้ ก็เลยต้องเผยแพร่เช่นนี้ ขอให้รวยๆกันทุกคนนะคะ ความครัวมีแต่ความสุขความเจริญ.......[​IMG]
     
  4. ลุงเจ

    ลุงเจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +599
    อนุโมทนา สาธุครับ เป็นธรรมะที่เรียบง่าย แต่เป็นที่สุดของการปฎิบัติ
     
  5. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    คำสอนของท่านลึกซึ้ง กินใจมากครับ..
    จะนำไปปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผลดีๆยิ่งขึ้น..
    อนุโมทนา ครับ
     
  6. ลิงเผือก

    ลิงเผือก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +140
    ขออนุโมทนา ครับ การเจริญเมตตาโดยไม่มีประมาณ ย่อมได้อานิสงค์สูงมาก การแผ่เมตตาให้กับตนเอง และผู้อื่น เปรียบได้กับน้ำทิพย์ ที่โปรยลงมาจากฟ้า ยังพาความชุ่มชื่น แด่หมู่มวลสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ช่วยขจัดปัดเป่าความร้อนทั้งกายและใจ ชุ่มชื่น เบิกบาน
     
  7. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    [​IMG]
    วิริเยนะ ทุคคะมัจเจติ
     
  8. จารุลักษณ์

    จารุลักษณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +647
    อนุโมทนามิ<!-- google_ad_section_end --> สิ่งที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒ<WBR>าจารย์ (โต พรหมรังสี) กล่าวว่าเคล็ดลับสู่ความสำเ<WBR>ร็จสุดยอดในทางธรรม จริงแท้ ลูกจะนำไป
    ปฎิบัติเจ้าค่ะ สาธุ...สาธุ...สาธุ
     
  9. จื๊ออิง

    จื๊ออิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +148
    อนุโมทนาสาธุครับ หลวงปู่ท่าน มีวินัย ในการดำรงชีวิตเหลือเกินครับ ผมขอใช้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตาม เพื่อให้ได้ผลที่ดีตามมา ครับ สาธุ ๆ
     
  10. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    อนุโมทนา สาธุ ๆ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  11. tumpopo

    tumpopo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +143
    กราบอนุโมทนาครับ
    จะพยายามสร้างแต่กรรมดี ละเว้นกรรมชั่วครับ
     
  12. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    ขออนุโมทนา สาธุ
    การให้ธรรมะเป็นทาน คือทานอันสูงสุด สาธุ
     
  13. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบุญบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่โพส ฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีผู้โพสกระทู้ ฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีผู้อ่านกระทู้ และฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     
  14. Thammasawasdee

    Thammasawasdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2013
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +869
    ธรรมะสวัสดี ^-^

    ขออนุโมทนา สาธุจร้า

    สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...