เตือนพระหาเงิน ผิดทั้งวินัย ผิดทั้งกฏหมาย!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย THODSAPOL SETTAKASIKIT, 28 พฤศจิกายน 2010.

  1. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    สงสัยสำนักสามแยกนี้จะไม่ค่อยเข้าใจคำว่า "ไม่ยึดติด" กับ "ทางสายกลาง" นะครับ และผมเองก็คิดว่าการปฏิบัติของคุณคงจะยังไม่ถึงไหนหรอกครับ ถ้าคุณยังไม่รู้จักสองคำนี้ เพราะมันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติเลย ในระหว่างคุณปฏิบัติคุณจะเจอกับโจทย์มากมาย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคุณก็ต้องใช้สองตัวนี้ในการผ่านมันไป

    +100 เลยครับ แทนที่คุณจะเอาอะไรไม่รู้ที่ขัดคนส่วนมากทั้งๆที่ยังไม่รู้สาเหตุ แถมคุณเองก็ยังไม่รู้จริงๆว่าควรที่จะเชื่ออะไร ทำไมคุณไม่ลองหาคำตอบด้วยตัวเองจากการปฏิบัติล่ะครับ ปฏิบัติธรรมไปให้ถึงแล้วคุณก็จะรู้เองล่ะครับ
     
  2. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    แล้วฝากไว้อีกอย่างนะครับ ถ้าสิ่งที่คุณยกมานั้นมันผิดมากมายนั้น แล้วทำไมพระเถระเจ้าหลายๆท่านจึงสามารถบรรลุอรหันต์ได้ จากที่คุณอ้างอิงมามันคือการยึดติดไม่ใช่เหรอครับ ทั้งๆที่การจะบรรลุอรหันต์ได้นั้นใจท่านไม่มีอะไรยึดติดแล้ว แต่ก้อไม่เห็นว่ามีท่านไหนต้องไปทำลายพระพุทธรูปหรืออะไรแบบที่คุณว่าเลย

    *** คุณกำลังบอกว่าพระอรหันต์ทุกท่านจนถึงปัจจุบันสอนผิดกันหมดเลยนะครับ

    *** เรื่องการสอนกับเรื่องการบรรลุธรรมมันคนละเรื่องกันนะครับ ถ้าท่านบอกว่าเค้าสอนผิดแล้วทำให้เราไม่สามารถเจริญในธรรมได้ แล้วทำไมเค้าถึงบรรลุอรหันต์ทั้งๆที่เค้าเองก้อทำตามแบบที่เค้าสอนได้ล่ะ

    *** กรุณาอ่านไว้เพื่อพิจารณา ผมกำลังพยายามจะชี้แจงให้ท่านเห็นความจริง
     
  3. ทหารเก่า

    ทหารเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,027
    ค่าพลัง:
    +19,019
    ควายยังรู้ภาษามากกว่าเลยเขาก็บอกแล้วว่าเวปนี้นับถือพระพุทธรูปพระรับเงินแต่ไม่ติดกับเงิน อ่านไม่ออกไม่เข้าใจความหมายหรืออย่างไร ไปเวปสามแยกที่มาเถอะทำไมหรือเวปสามแยกไม่ไมใครเขาเข้าไปรับคำสอนระยำแบบนี้หรือไงถึงต้องได้มาเวปนี้ เขาก็บอกอยู่ว่าเขาไม่ต้อนรับ ยังหน้าด้าน หนังกำพร้าส่วนเกินที่ออกมาจากส้นเท้าที่ว่าหนาคงยังจะบางกว่าหน้าของคน คนนี้อย่างแน่นอน อย่างหนาไว้จะขอเอาหน้าไว้ทำพื้นห้องน้ำคราวหน้าเวลาชำรุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ธันวาคม 2010
  4. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101

    เล่ม ๑๕ หน้า ๑๗๔ บรรทัด ๑๖
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book15/151_200.htm

    โคตรภูญาณ คืออะไรทราบไหม?

    บุญจาการเปิดธรรมวินัยนี้จงสำเร็จแก่ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลกิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผู้ต้องการตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  5. ทหารเก่า

    ทหารเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,027
    ค่าพลัง:
    +19,019
    ถ้าดีจริงทำไมต้องมาหาสาวกที่นี่ด้วย เวปของพวกคุณก็มีทำไมหรือตอบหน่อยว่าเพราะอะไรหากดีจริงชาวบ้านเขาแห่ไปเป็นสาวกพวกคุณหมดแล้วไม่ต้องรอให้ยกเอาพระไตรปิฏกมาบิดเบือนให้คนอื่นเขาเชื่อในสิ่งที่พวกคุณคิดหลอก เขายังกราบพระพุทธรูป ไม่ทำลายเหยียบย่ำพระพุทธรูปเหมือนอย่างพวกคุณขนาดคนทั้งหลายเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณ คุณก็ยังตะแบงอยู่แบบนี้คนดีที่ไหนเขาทำกัน คุณว่าคำสอนของคุณดีคุณก็ไปอยู่ในกลุ่มของคุณ แบบนี้เขาเรียกว่าก่อกวนในสถาณที่ที่เขาไม่ต้องการ ลองกลับไปถามผู้ให้กำเนิดดูว่าทารกระทำของคุณที่ผมพูดไปมันถูกหรือผิด ที่ของคุณก็มีแต่คุณกลับไม่อยู่ในที่ของคุณ อ้อพื้นห้องน้ำที่บ้านผมยังไม่พังแต่วันนี้ผมจะเอาค้อนทุบให้พังและจะเอาหน้าของคุณมาปูเป็นพื้นห้องน้ำแทนแล้วกัน
     
  6. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    น้องต้องแยกคำว่า "รับ" ให้ชัดนะครับ

    ถ้า "รับ" แล้วนำไปเป็นของสงฆ์ ถือว่า ไม่ติดในลาภสักการะ แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นโทษ เพราะเป็นการเจริญศรัทธาของญาติโยม

    แต่ถ้า "รับ" แล้วนำไปเป็นของส่วนตน ถือว่า ติดในลาภสักการะ แบบนี้ถือว่าเป็นโทษ เพราะมุ่งหวังในลาภสักการะ

    จริง ๆ ที่น้องกล่าวมา ไม่ผิดหรอกครับ แต่ควรจะขยายความและตำหนิพระที่ทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่า แต่ที่น้องเหมารวมนั้น เท่ากับไปตำหนิพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบด้วย ซึ่งเป็นกรรมหนักนะครับ

    พิจารณาดูนะครับ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร 10 ไว้ และเรื่อง มงคล 38 ประการครับ ถ้าน้องไปอ่านและทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง น้องจะเข้าใจเรื่องนี้ทั้งหมดเองครับ

    อย่ามั่วแต่อ้างพระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎกถูกต้องแล้ว
    แต่น้องไม่เข้าใจพระไตรปิฎกดีพอ และตีความแบบผิด ๆ เองครับ

    โมทนา
     
  7. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ไม่ใช่มติของเว็บครับ แต่น้องดูโครงการต่าง ๆ ของเว็บก็น่าจะเข้าใจครับ

    เรื่องผลเกินคาดหมายนั้น คือ โดนคนอื่นเข้ามาด่าใช่ไหมครับ ทำให้เกิดกรรมใหม่ แถมปรามาสพระอริยสงฆ์กระจาย แบบนี้ คือ ผลที่น้องต้องการเหรอครับ
    ขอขมาพระรัตนตรัยบ่อย ๆ นะครับ โทษหนักจะได้เป็นเบาครับ

    ถ้าน้องต้องการไป สามารถไปได้ตลอดเวลาครับ เพราะผมพิจารณาแล้ว พระไตรปิฎกกล่าวไว้ถูกต้องแล้ว แต่น้องเอาเพียงบางส่วนมาอ้างอิงกับเหตุผลที่น้องต้องการ ซึ่งถ้าผมจะเอามาอ้างเพื่อหักล้างก็สามารถทำได้ แต่ผมไม่ทำ เพราะเป็นการปรามาส

    ดังนั้น แนะนำให้ศึกษาและทำความเข้าใจ เรื่องกาลามสูตร 10 และมงคล 38 ประการให้ดีครับ ผมเตือนได้แค่นี้ครับ

    โมทนา
     
  8. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    ไม่แปลกใจเลยนะครับ ว่าทำไมถึงได้เข้าใจพระธรรมได้ต่างจากทีี่คนส่วนใหญ่เขาเข้าใจกัน แค่ตีความหมายที่กล่าวในกระทู้ยังตีความได้แบบนี้ ถามว่ามีข้อความตรงไหนที่เขียนจะเหยียบปาก.......ไม่มีในโพสท์นะครับ ไม่ทราบว่าเมายาหรือเปล่า มีแค่ว่าเหยียบธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เขาเรียกว่าหน้าตา หรือสมมติว่าเป็นตัวตนก็เหมือนกับที่ ชายชราโกนหัวห่มผ้าเหลืองทำกับพระพุทธรูป แต่จะขอทำกับชายห่มผ้าเหลืองคนนั้นให้มากกว่านั้น เพื่อให้ย้ำคำสอนของชายผู้นั้นให้ซึมซับลงไปเหมือนกับชายโล้นนั้นทำกับพระพุทธรูป ส่วนเจ้าของกระทู้จะเรียกหลวงปู่ หลวงอะไร กระผมไม่ใส่ใจขอรับ แปลไทยเป็นไทยแบบนี้ชัดหรือยังขอรับ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเขาทำกัน และกระผมก็ถือว่่าการกระทำแบบนั้น หากลูกศิษย์ยินดีหรือเห็นด้วยก็คือการโมทนาดีๆนี่เอง ส่วนจะเป็นบุญหรือบาป หากปัญญาท่านมีไม่พอ เอาไว้ไปถามพระยายมราชเอานะครับ หรือไปทำฌานให้เกิดก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกัน เอ แต่ทานก็ไม่ค่อยจะทำ ศีลก็ไม่ค่อยจะครบ แล้วภาวนาของท่านจะทำได้หรือเปล่าหนอ? นั่งดูแต่เปลือกไม้ อ่านลายเปลือกไม้ แล้วเมื่อไหร่มันจะกระเทาะเปลือกไม้เข้าหากระพี้ เข้าหาแก่นได้หนอ
    แล้วก็กระผมจะปรารถนาอะไรหรือไม่ อย่างไร จะเป็นโมฆบุรุษหรือไม่ ขอท่านไม่ต้องห่วงนะครับ กระผมจะเป็นหรือไม่เป็น มิได้เกิดจากคำพูดของท่านหรอกครับ เกิดจากตัวผมเอง ไม่ได้เป็นไปตามปากใคร ขอบพระคุณที่เป็นห่วงครับ แต่ห่วงตัวเองเถอะนะครับ ว่าหากยังเป็นอย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้ จะมีที่ไปที่ใด กระผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อนในอดีตและทราบที่ไปดี ความเลวของตัวเองที่ทำไว้ทุกวันๆ ได้ตามดู ตามรู้บ้างหรือเปล่าขอรับ หรือเห็นแต่คนนั้นเขาเป็นแบบนั้น คนนี้เขาเป็นแบบนี้ แล้วมันล้นออกมาจากใจจนกลายเป็นคำพูดไป .....มีศีล มีสมาธิ แล้วจะมีปัญญานะขอรับ
    เรื่องที่บอกว่าจำขี้ปากเขามา ก็ต้องมาแจงกันอีกว่า ถามว่าท่านไปเอามาจากชายโล้นห่มเหลือง(ทีีท่านเรียกว่าหลวงปู่)มิใช่หรือ ที่อุทิศส่วนกุศลให้เชื้อโรค ถึงถามว่าท่านเห็นได้ด้วยตัวเองแล้วหรือ ท่านทำตาทิพย์ได้แล้วหรือ ว่าเชื้อโรคมารับส่วนกุศล หรือจำขี้ปากท่านผู้นั้นมา มิได้กล่าวอ้างถึงองค์สมเด็จเลยนะขอรับ แยกแยะตีความหมายให้ถูก หรือว่าท่านเกรงว่าจะต้องตอบว่า "ครับ ผมจำขี้ปากเขามา เขาบอกผมมาให้อุทิศส่วนกุศลให้เชื้อโรค ให้ชาวทิพย์ ตัวผมเองก็ไม่เคยเห็นหรอกครับว่าเชื้อโรคมารับส่วนบุญหรือเปล่า ชาวทิพย์มารับส่วนบุญหรือเปล่า เพราะทาน ศีล ภาวนา ผมไม่ค่อยมี" ถึงเลี่ยงไปกล่่าวตีความหมายให้ผู้อื่นผิดเพี้ยนไป
    เรื่องสุดท้ายที่ต้องอธิบาย เป็นการกล่าวอุปมาอุปมัย ว่าหากท่านคิดว่าพระพุทธรูปเป็นทองเหลือง จะทำอย่างไรก็ได้ เราก็จะบอกว่าเงินที่ท่านเรียกว่าเงินนั้น เราถือว่าเป็นกระดาษ เป็นธาตุดินที่ใช้แลกเปลี่ยนธาตุดินมาเป็นอาหาร แล้วจะผิดตรงไหน ถ้าพระจับกระดาษ ไม่ได้จับสิ่งที่ท่านเรียกว่าเงิน เฉกเช่นเดียวกับที่ท่านคิดว่าพระพุทธรูปคือทองเหลือง จะทำอย่างไรกับทองเหลืองก็ได้ การกล่าวอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบให้เห็นว่า ท่านเปรียบทองเหลืองเป็นธาตุ เราก็เปรียบกระดาษเป็นธาตุเช่นเดียวกัน แยกแยะให้ออกนะครับว่ามันไม่เกี่ยวกับพุทธบัญญัติ พุทธบัญญัติ ท่านกันสาวกของท่านไม่ให้สะสมเงิน เพราะท่านไม่อยากให้สาวกของท่านเอาจิตไปติด หรือท่านไม่อยากให้สาวกของท่านติดวัตถุ เพราะเอาจิตไปติด หากจิตไปติดเงินหรือวัตถุแล้วจะปิดกั้นพระนิพพาน จิตที่ไม่ติด ไม่ทุกข์ ไม่สุข จิตวางเฉย มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีทุกข์ก็รู้อยู่ว่่าทุกข์อยู่กับเราไม่นาน มีสุขก็รู้อยู่ว่่าเดี๋ยวสุขก็เปลี่ยนไป ไม่คงที่ ไม่ถาวร ทำจิตเช่นนี้ได้จึงจะถือได้ว่าวางอารมณ์เป็น หากยังยึดติดตำรา แล้วสงสัย แต่ไม่เปิดใจไปปฏิบัติกับที่อื่น หรือเริ่มปฏิบัติถือศีลภาวนา แล้วความสงสัยจะคลายได้อย่างไร ถ้ารู้เองเห็นเอง ตอบได้เอง อธิบายธรรมได้ตามปัญญา ไม่ต้องไปอ้างอิงจากตำราตรงไหน เพราะปฏิบัติไป ปฏิบัติไป แล้วปัญญาจะเกิดเอง หาเหตุผลได้ตามเหตุตามผลและสมเหตุสมผล นี่คือธรรมะของพระพุทธเจ้า พระอริยะที่ท่านได้อรหัตมรรค,ผล ท่านได้ในอารมณ์ที่จิตปล่อยวาง ตัดจริงๆในขณะนั้น พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ ท่านก็ได้เรียนรู้จากครูอาจารย์หลายองค์ องค์ไหนที่ท่่านเรียนรู้ด้วยแล้ว ท่านหาทางดับทุกข์ไม่เจอ ท่านก็ไปเรียนกับท่านอื่นๆต่อไป จนท่านพบทางของท่านเอง อย่าคิดว่าท่านอื่นเขาไม่รู้ ว่าตัวท่านทำดีเลวอะไรไป มากน้อยเท่าไหน คนในเวบที่เขารู้นั้นมี แต่ไม่ใช่เรื่ิองของเขาที่จะไปประจานความไม่ดีของท่านผู้อื่น เพราะประโยชน์มันไม่เกิด สิ่งที่คนที่ท่านเรียกว่าหลวงปู่ได้เหยียบย่ำนั้น ขอบอกให้รู้ว่า แค่รูปภาพพระพุทธรูปเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับเป็นพระพุทธรูปจริงๆ กระผมก็นำชาวไทยชาวต่างชาติไปให้เห็นพระนิพพานมาได้ เพราะฉะนั้น หากอะไรที่ยังสงสัยแล้วไม่แน่ใจ ควรเก็บเอาไว้จนกว่าจะปฏิบัติและเห็นได้ด้วยตัวเอง ผู้ทำร้ายพระพุทธศาสนาคือตัวผู้บวชเอง หรือพระที่บวชนั่นเอง ไม่ว่าท่านจะให้เงินหรือให้ผู้อื่นเก็บเงิน หรือให้เป็นของ หากพระท่านนั้นมีจิตที่ไม่ได้ขัดเกลา เกิดความโลภ เกิดกิเลส มันมีทางทำได้ทั้งนั้นแหละครับ ให้เป็นสังฆทาน ท่านคิดหรือว่าจะไปเปลี่ยนเป็นเงินไม่ได้ ให้สบงจีวร ท่านคิดหรือว่าจะไปเปลี่ยนเป็นเงินไม่ได้ ให้ผู้อื่นรับเงินแทน ท่านคิดหรือว่าเขาจะตกลงแบ่งเงินกันไม่ได้ มีทางมากมายที่จะทำได้ แต่ทุกอย่างนั้นพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ทุกอย่างมีใจเป็นใหญ่ และสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใจหรือจิตไม่ติดแล้ว มันก็ไม่มีอะไร โลกนี้กว้างไกล อย่าติดอยู่ทีีที่เดียว ถ้าอยู่ในที่ที่เดียวแล้วจะเห็นโลกทรรศน์ที่อื่นได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าที่เราคิดว่าดีแล้ว ยังมีที่ๆดีกว่า พิจารณาเอาตามปัญญานะขอรับ หากยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าใจ หรือทิฐิยังไม่คลายก็ไม่อาจสื่อสารกันได้ ขอทุกท่านเจริญในธรรมครับ
     
  9. Natdarun

    Natdarun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +500
    ขอบคุณคุณ bhothisata มากเลยค่ะที่ตอบได้โดนใจมากๆ ถ้าคนธรรมดาอ่านก็คงเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ไม่ทราบว่า
    คนอื่นจะเข้าใจได้ตรงหรือไม่
    อนุโมทนากับคุณ bhothisata ด้วยค่ะ หากแม้นคนที่ได้มาอ่านมีความลังเลจะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง
     
  10. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    ที่ถามไว้เพราะผมเข้าใจว่าคุณประยุทธ์เข้าใจว่า เป็นเรื่องทำฌาณ ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดหรือเปล่า
    เพราะคุณประยุทธ์ต่อด้วย ...ให้ไปฟังจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองดีกว่า...
    ไม่แน่ใจว่าใช่ที่เมืองนิพพานหรือเปล่า เพราะก็ได้ยินมาอยู่นะครับ เมื่อจะนั่งไม่ต้องคิดก็มีม้านั่งเกิดขึ้นมาแสนจะสบาย
    และก็มีผู้ไปนิพพานทั้งๆที่เป็นปุถุชนด้วย ถ้าไม่มีคำที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ผมคงอาจจะเชื่ออยู่ แต่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    ดูก่อนวัจฉะ ไม่มีเลย คือ ผู้ยังไม่ละ
    คิหิสังโยชน์(ความเกี่ยวข้องในความเป็นคฤหัส) ชื่อว่าจะทำที่สุดทุกข์ย่อมไม่มี.
    แม้บุคคลเหล่าใดดำรงเพศคฤหัสถ์
    คือ สันตติมหาอำมาตย์ อุคคเสนะ เศรษฐีบุตร วีตโสกธารกะ ก็บรรลุ
    พระอรหัตได้. แม้บุคคลเหล่านั้น ก็ยังความใคร่ในสังขารทั้งปวงให้แห้งไป
    ด้วยมรรคแล้วบรรลุได้. แต่เมื่อบรรลุแล้วก็ไม่ตั้งอยู่ด้วยเพศนั้น. ชื่อว่าเพศ
    คฤหัสถ์นี้เลว ไม่สามารถทรงคุณอันสูงสุดไว้ได้. เพราะฉะนั้น ผู้ตั้งอยู่ในเพศ
    คฤหัสถ์นั้นบรรลุพระอรหัตแล้วย่อมบวช หรือปรินิพพานในวันนั้นเอง.

    เล่ม ๒๐ หน้า ๔๔๕
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book20/401_450.htm

    ตัวอย่างก็พระเจ้าสุทโธทนะครับนิพพานแล้วไม่บวชก็สวรรคต
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book33/001_050.htm

    สันตติมหาอำมาตย์
    เล่ม ๔๒ หน้า ๑๑๓
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book42/101_150.htm
    ตัวอย่างอื่นๆค้นหาตามเอานะครับ

    ถ้าผู้ยังเป็นคฤหัสถ์ได้ไปจริงป่านนี้คงมอดม้วยมรณาไปแล้วครับ คงไม่มานั่งเล่นคอมโดยยังเป็นฆราวาสแน่ๆครับ
    ไม่รู้ว่าถ้าคุณประยุทธ์ได้ไปจริงๆแล้วจะกล้าพิสูจน์หรือเปล่า
    วิธีก็ไม่ยากครับ ทำสัจจะกิริยาขึ้นมา ถ้าไปแล้วแช่มชื่นดีใจว่าเรามาเมืองนิพพานแล้ว ก็ตั้งขึ้นตามกิริยาอาการที่เป็นจริง
    "ข้าพเจ้า เชื่อว่าเมืองนี้คือเมืองนิพพาน นี่เป็นความจริงที่มีอยู่ในข้าพเจ้า แต่มีคนบอกว่าเมืองนี้ถูกเนรมิตขึ้นมาและข้าพเจ้าก็อยากรู้เช่นกัน นี่ก็เป็นความจริงที่มีอยู่ในตัวของข้าพเจ้า ด้วยความจริงเหล่านี้หากเป็นนิพพานจริงจงยังอยู่ หากเป็นนิพพานปลอมจงหายไปด้วยอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้ปรากฏตามสภาพความเป็นจริงเถิด"

    แล้วถ้ามีองค์สมเด็จ โผล่มาดักไว้ตอนจะเริ่มอธิฐาน หรือได้พบเจอตอนไหนก็ตั้งขึ้นว่า
    "
    ข้าพเจ้าก็เชื่อมั่นในองค์สมเด็จ นี่ก็เป็นความจริงที่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้า แต่มีคนบอกว่ามารปลอมตัวมาหลอกกันก็มี ข้าพเจ้าก็อยากรู้ความจริงในคำพูดนั้นของเขาเหมือนกัน นี่ก็เป็นความจริงที่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้า ด้วยความจริงเหล่านี้ที่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้า หากเป็นองค์สมเด็จจริงขอเท้าข้าพเจ้าจงหนักอย่าได้ยกขึ้นเลย หาก เป็นองค์สมเด็จที่มีผู้ปลอมตัวมาขอเท้าข้าพเจ้าจงเบาเตะก้านคอผู้นี้ได้ ด้วยอำนาจพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลเถิด" แล้วก็ยกเท้าขึ้นดูครับ ไม่รู้ว่าจะกล้าพิสูจน์หรือเปล่า เดี๋ยวอ้างจะว่ามันบาปอีก ไปทำอย่างนั้น ก็เลยไม่กล้าทำ ถ้ามันเป็นจริง จะยกไม่ขึ้นหรอกครับ เพราะอำนาจความจริงจะไปตามอำนาจความจริงครับ ถ้าว่าฆราวาสที่ไปนิพพานมา ป่านี้คงตายหมดไปแล้วหล่ะครับ
    พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ชัดเจนครับ
    เพราะพระพุทธเจ้ากล่าวไว้เป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่เหลาะแหล่ะ ไม่หลอกลวง เพราะพระองค์อยู่กับความจริงมาอย่างนับไม่ได้ ด้วยการบำเพ็ญในสัจจะบารมีมา พระองค์จึงกล่าวแต่ความจริง นอกจากคนจะหาทางทางเลี่ยงไปตามแต่เรื่องที่จะไป
    และก็ไม่ต้องกลัวบาปหรอก ครับ เพราะได้แยกไว้อย่างชัดเจนแล้วครับ อยากรู้ต้องทดลองดูครับว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่กล้าเตะก้านคอก็เปลี่ยนเป็นทำให้กระเด็นหรืออะไรก็ได้ถ้ากลัวไอ้ผู้ ปลอมมาจะถูกเตะก้านคอ จะให้เอาไฟเผากันมันก็จะแรงไปมั๊ง แต่ถ้าเทียบกับบาปที่ผู้ปลอมมาหลอกนั่นจะไปถูกเผาแล้วมันเล็กน้อยกว่าครับ มีผู้ที่ทำมาแล้ว จึงกล้าบอกครับ และคำของพระพุทธเจ้าก็รับรองอยู่ชัดๆครับ ที่ว่าปุถุชนไปนิพพานได้ทั้งๆที่เป็นปุถุชนหากไม่บวชก็มรณาซึ่งขัดกับ พระพุทธเจ้าชัดๆครับ

    นิพพาน = นิ + วานะ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + (พัดไป, ร้อยรัด) จึงได้ความหมายว่า ไม่มีสิ่งร้อยรัดไว้อีก, เครื่องร้อยรัดออกไปหมดแล้ว, หมดแล้วในสิ่งที่จะร้อยรัดไว้
    แหล่งอ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/นิพพาน


    แล้วหันมามองจิตตัวเองดูบ้างว่า
    1.ศีล 5 ปฏิบัติได้สมบูรณ์รึไม่ (ตัดการทำบาปทั้งปวง)
    2.การปฏิบัตสมถะภาวนาทุกขณะจิตทำได้รึไม่ (ตัดนิวรณ์ 5 ให้สิ้น)
    3.การพิจารณาตัดขันธ์ 5 ทำบ้างรึไม่ (ตัดความยึดมั่นถือมั่นในโลกนี้ให้สิ้น)
    ผู้ที่เตือนเราเพราะเขาหวังดีกับเรา เช่นเดียวกันเราหวังดีในผู้อื่นก็ต้องเตือนผู้อื่นด้วย
    ข้อ1.อันนี้รับไว้พิจารณาครับ
    ข้อ ๒. ข้อ 3. คงยังไม่ไปด้วยครับเพราะมีหลักฐานอยู่ว่า ทำโดยไม่ได้ตัดกังวลแล้วเห็นสิ่งต่างๆผิดเพี้ยนจากความจริงได้ครับ จึงยังไม่ไปครับ ใครจะไปก็ไปครับ แต่ไม่ยินดีด้วยครับ เพราะยิ่งทำไปยิ่งทุกข์หนักกว่าเดิมอีกหากทำผิดไป

    เล่ม ๑ หน้า ๑๐๔
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book01/751_800.htm
    เล่ม ๓๘ หน้า ๓๓๙ มิจฉัตตสูตร (มิจฉา+อัตตา=มิจฉัตต=ตั้งตนไว้ผิด)
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book38/301_350.htm

    แต่ ที่กล้าปฏิญาณได้ว่าแน่นอนแล้วจากนี้ไปจนตายคือ มีพุทธ ธรรม สงฆ์เป็นที่พึ่งอาศัยอย่างแน่นอนเด็ดขาด ไม่พึ่งรูปทองเหลืองทองแดงฯ หมอดูหมอเดา ต้นไม้ผูกผ้า ศาลพระภูมิพระเพิม การหวังมีทรัพย์ด้วยอบายมุข การถือเลขว่าดีร้าย ลักษณะดีชั่ว มันไร้สาระไร้แก่นสาร พึ่งไม่ได้ มีแต่ทำให้เป็นทุกข์เปล่าๆ ชัดๆเลยทำอย่างไรได้อย่างนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตนมีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
    เล่ม ๓๖ หน้า ๑๔๑
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book36/101_150.htm

    ส่วนศีลก็มีข้อสุรานั่นแหละครับที่ชัดที่สุดไม่ขาดไม่ด่างไม่พร้อย เป็นอัตโนมัติไปถึงมโน หรือความคิด แต่ข้ออื่นๆยังไม่อัตโนมัติครับ จึงไม่กล้าประกาศว่าแน่นอนแล้ว
    แต่ เหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ของผมเอง เป็นประโชน์ฝ่ายเดียว คือประโยชน์คือประโยชน์ฝ่ายผู้เปิด ประโยชน์ตนก็ถือเอายึดเอาไปใช้ในชีวิตตามสมควรแก่ธรรมของผู้ยังเป็นคฤหัสถ์
    แต่ ที่มาเปิดนี่เป็นประโยชน์ของผู้อื่น ข้อทุศีลนี่ ถ้าพระเณรไหนมาอ่านเจอ แล้วเห็นโทษเข้าแล้วกลัวภัยในความเป็นบาป ที่มีอยู่จริง แล้วเพียรแก้ไขรักษาหาช่องทางให้ถูกต้องตามหลักธรรมวินัย ไม่กลับไปทำอีก พระเณรนั้นจะเกื้อกูลทั้งเทวดาและมนุษย์เป็นอย่างมาก(ถ้าถามว่าเห็นแล้ว หรือ?ตอบว่าเชื่อในความรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากล่าวว่ามีต้องมีกล่าวว่าไม่มีกคือว่าไม่มี) ในวันหนึ่งวันใดผมก็อาจจะได้ท่านเป็นที่พึ่งอาศัย เพราะพระเณรนั้นเป็นผู้ปฏิบัติได้ตามสมควรแก่ธรรม สมควรกับที่ตนปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มีจุดหมายคือระงับดับคลายความทะยานอยากในตน อันผู้เกี่ยวข้องด้วยย่อมประสบบุญเป็นอย่างมาก ในผู้ปฏิบัติถูกต้อง
    ถ้าเป็นผู้มีศีลมีธรรมอันดี เรากล่าวความมีศีลมีธรรมดีนี้
    ในความมีสีงามของภิกษุ กล่าวบุคคลนี้ว่าเหมือนผ้ากาสีมีสีงามฉะนั้น
    อนึ่ง ชนเหล่าใดคบหาสมาคมทำตามเยี่ยงอย่างภิกษุนั้น ข้อนั้น​
    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของชนเหล่านั้นตลอดกาลนาน เรากล่าวการคบ-
    หาสมาคมทำตามอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดประโยชน์สุขนี้ ในความมีสัมผัสนิ่มของ
    ภิกษุ กล่าวบุคคลนี้ว่า ดุจผ้ากาสีมีสัมผัสนิ่มฉะนั้น
    อนึ่ง ภิกษุนั้นรับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย...ของ
    ชนเหล่าใด ข้อนั้นย่อมเป็นการมีผลานิสงส์มากแก่ชนเหล่านั้น เรากล่าว
    การรับปัจจัยอันเป็นการมีผลานิสงส์มากแก่ทายกนี้ ในความมีราคาแพงของ
    ภิกษุ กล่าวบุคคลนี้ว่า เสมือนผ้ากาสีมีราคาแพงฉะนั้น
    อนึ่ง ภิกษุเถระผู้มีคุณธรรมอย่างนี้ กล่าวอะไรขึ้นในท่ามกลางสงฆ์
    ภิกษุทั้งหลายก็พากันว่า ท่านทั้งหลาย จงสงบเสียงเถิด ภิกษุผู้ใหญ่จะกล่าว
    ธรรมกล่าววินัยนี้ ดังนี้
    เพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกในข้อนี้ว่า เราทั้งหลาย
    จักเป็นอย่างผ้ากาสี ไม่เป็นอย่างผ้าเปลือกไม้ ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
    พึงสำเหนียกอย่างนี้แล.
    เล่ม ๓๔ หน้า ๔๘๙
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book34/451_500.htm

    ตนเองก็ถือเอาตามฐานะของตนเองแล้วแต่อันที่ทำอยู่นี่เป็นประโยชน์ของผู้อื่น
    เล่ม ๓๗ หน้า ๔๔๑
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/

    http://www.samyaek.com/tripidok/book37/401_450.htm

    บุญจาการเปิดธรรมวินัยนี้จงสำเร็จแก่ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลกิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผู้ต้องการตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  11. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101

    ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไรอะไร หากขัดกับวินัยก็คือขัดกับวินัยครับ เพราะวินัยนี้ผมไม่ได้บัญญัติ เป็นพระพุทธเจ้าบัญญัติ หากกล่าวในสิ่งที่ไม่ใช่วินัยว่าเป็นวินัย ก็เป็นการกล่าวตู่พระพุทธครับ
    และ ถ้าว่าไม่ติดในลาภสักการะแล้ว ทำไมไม่ให้คนวัดหรือคณะกรรมการวัดจัดการหล่ะครับ จะว่ากลัวโกง ก็พระจะไปกลัวทำไมในเมื่อไม่ติดลาภแล้ว แต่เมื่อลาภเสียหายมาแล้วจะมาเสียความรู้สึกกัน มันใช่ความหมายของคำว่าไม่ติดลาภหรือเปล่าครับ อันนี้ว่ากันตามความสัจว่ากันตามความจริงที่เป็นจริง ส่วนเจริญศรัทธาญาติโยมนั้น ศรัทธาแปลว่าความเชื่อ ถ้าจะให้เขาเชื่อการทำบาปว่าเป็นบุญก็เข้าข้อหลอกลวงกันครับ ผิดทั้งวินัย ผิดทั้งกฏหมายด้วยครับ ยิ่งพระมีใจหลอกลวงเอาทรัพย์ เป็นปราชิกนะครับ ปราชิก ปราชัย แปลว่าผู้พ่ายแพ้ เพราะหลอกว่าถวายเงินพระแล้วจะได้บุญ หลอกเอาทั้งเงิน หลอกเอาทั้งบุญ ความเดือดร้อนของผู้ทำบุญ ก็ไม่เบาลงเพราะถูกหลอกให้ไปทำบาปเข้า แล้วผลที่กลับมามันคือบาป ซึ่งไม่ใช่ความหมายของคำว่าศรัทธาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ครับ

    ศรัทธาจริงๆคืออะไร?
    เล่ม ๓๖ หน้า ๑๐๗
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book36/101_150.htm
    แล้วศรัทธากันจริงหรือเปล่า?
    พระพุทธเจ้าบอกอาบัติไว้เพราะมันมีโทษแล้วพระเชื่อกันหรือเปล่า?
    ถ้าพระยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วจะมาบอกให้โยมมีศรัทธาด้วยการทำผิดวินัย
    อันนั้นมันคือให้ศรัทธานอกพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศรัทธาในความหมายของพระพุทธเจ้า

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B2

    ผู้กล่าวตู่
    เล่ม ๓๓ หน้า ๓๔๗ - ๓๔๙
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book33/301_350.htm

    เพราะพระพุทธเจ้าเคยกล่าวตู่ไว้พระองค์จึงถูกกล่าวตู่
    เล่ม ๗๐ หน้า ๒๑๕

    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book70/201_250.htm
    ใครจะตู่พระองค์ต่อไปก็คิดดูให้ดีครับ

    พระที่ไม่น่าเครพเป็นอย่างไร?
    เล่ม ๓๖ หน้า ๒๐๓.
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book36/201_250.htm
    ลาภต่อลาภ คือ ร่วมสร้างอันนั้น จะได้เหรียญรุ่นนี้ ร่วมสร้างอันนี้จะได้รุ่นนั้นไปบูชา คือเอาลาภอันหนึ่งมาล่อเพื่อจะได้ลาภจากเขา เรียกว่าลาภต่อลาภ


    ...แต่ที่น้องเหมารวมนั้น เท่ากับไปตำหนิพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบด้วย ซึ่งเป็นกรรมหนักนะครับ...
    อัน นี้ขอรับมาระมัดระวังครับ ถือเป็นการเตือนกัน จะได้ตรวจให้รอบคอบแยกให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปครับ เพราะเคารพในคู่บุรุษ๔คู่ ผู้มุ่งดับทุกข์อยู่ แต่ก็ต้องเตือนการกระทำที่ผิดจากธรรมวินัย
    เพราะคู่บุรุษทั้ง ๔ ยังจะต้องใช้อริยะศีลเป็นฐานเพื่อดับทุกข์ ต่อไป
    จึงไม่ควรให้เลือนหายผิดเพี้ยนไป เพื่อจะได้ง่ายกับผู้เบื่อความลำบากแล้วจะหาทางหนีออก พุทธภูมิก็ต้องการขนสัตว์ให้ออกจากทุกข์ไม่ใช่หรือ แล้วยังจะทำทางออกจากทุกข์ให้เสียหายทำไม? ถ้าต้องการช่วยผู้อื่นจริงๆ เพียรรักษาศีลนั้นแหล่ะช่วยผู้อื่นได้อย่างดีทั้งโลกนี้และโลกหน้าเลย ผู้ทำบุญถูกต้องกับผู้มีศีล
    ย่อมมีฝั่งคือความเจริญแน่นอน

    ..แต่น้องไม่เข้าใจพระไตรปิฎกดีพอ และตีความแบบผิด ๆ เองครับ...
    ส่วนมากก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับ ภิกษุเว้นขาดจากทองและเงิน ไม่ต้องตีความอะไรอีกนี่ครับ
    ที่เคยยกมาก่อนหน้านี้ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าภิกษุแสวงหาเงินทอง ไม่ใช่ภิกษุเชื้อสายศากยะก็ตรงๆตัวไม่ต้องตีความอีกนี่ครับ


    อนึ่ง ภิกษุปฏิบัติดีในพระวินัย อาศัยสีลสัมปทา ย่อมบรรลุวิชชา ๓
    เพราะท่านกล่าวประเภทแห่งวิชชา ๓ เหล่านั้น ไว้ในพระวินัยนั้น. ภิกษุ
    ปฏิบัติดีในพระสูตร อาศัยสมาธิสัมปทา ย่อมบรรลุอภิญญา ๖ เพราะ
    ท่านกล่าวประเภทแห่งอภิญญา ๖ เหล่านั้นไว้ในพระสูตรนั้น ภิกษุ
    ปฏิบัติดีในพระอภิธรรม อาศัยปัญญาสัมปทา ย่อมบรรลุปฏิสัมภิทา ๔
    เพราะท่านกล่าวประเภทแห่งปฏิสัมภิทา ๔ ไว้ในพระอภิธรรมนั้นเหมือน
    กัน. ภิกษุปฏิบัติดีในปิฎก ๓ เหล่านั้น ย่อมบรรลุสมบัติต่างด้วยวิชชา ๓
    อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ เป็นต้นนี้ตามลำดับ ด้วยประการฉะนี้.
    ส่วนภิกษุปฏิบัติชั่วในพระวินัย ย่อมมีความสำคัญว่า ไม่มีโทษใน
    ผัสสะทั้งหลาย มีการถูกต้องสิ่งที่มีวิญญาณครองเป็นต้น ที่ต้องห้าม โดย
    มีลักษณะคล้ายคลึงกับการถูกต้องวัตถุมีเครื่องปูลาดและผ้าห่ม อันมี
    สัมผัสสบายที่ทรงอนุญาตไว้เป็นต้น. สมด้วยคำที่พระอริฏฐะกล่าวไว้ว่า
    เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วว่าเป็นธรรมทำ
    อันตราย แก่ธรรมเหล่านั้นไม่อาจเพื่อเป็นอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้เลย
    ดังนี้. แต่นั้นภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้ทุศีล.
    (เข้าใจว่าไม่มีบาปจะมาให้ผลได้ เหมือนไหมครับ มันคือกระดาษ จะเอาบาปมาจากไหน)​

    ภิกษุปฏิบัติชั่วในพระสูตร ไม่รู้ความมุ่งหมายในพระบาลีมีอาทิว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ พวกเหล่านี้ มีอยู่ ปรากฏอยู่ ดังนี้ ย่อม
    ถือเอาผิด ๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งหมายตรัสไว้ว่า บุคคลย่อม
    กล่าวตู่เราทั้งหลายด้วย ย่อมขุดซึ่งตนด้วย ย่อมประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอัน
    มากด้วย ด้วยการที่คนถือผิด ดังนี้. แต่นั้น ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็น
    มิจฉาทิฏฐิ.
    ภิกษุปฏิบัติชั่วในพระอภิธรรม เมื่อคิดธรรมฟุ้งเกินไป ย่อมคิด
    แม้เรื่องที่ไม่ควรคิด แต่นั้นย่อมถึงจิตวิปลาส สมด้วยพุทธภาษิตที่ตรัส
    ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคิดอยู่ซึ่งเรื่องไม่ควรคิดทั้งหลายเหล่าใด
    พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เสียจริต เรื่องไม่ควรคิดทั้งหลายเหล่านี้
    ๔ ประการ บุคคลไม่ควรคิดเลย ดังนี้.
    ภิกษุปฏิบัติชั่วในปิฎก ๓ เหล่านี้ ย่อมถึงความวิบัติต่างด้วยความ
    เป็นผู้ทุศีล ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และจิตวิปลาสนี้ตามลำดับ ด้วยประการ
    ฉะนี้. คาถาแม้นี้ว่า
    ภิกษุย่อมถึงซึ่งประเภทแห่งปริยัติใด ซึ่งสมบัติใด
    แม้ซึ่งวิบัติใด ในปิฎกใด ด้วยอาการใด พึงแสดง
    ซึ่งประเภทแห่งปริยัติทั้งหมดแม้นั้น ด้วยอาการนั้น
    ดังนี้

    เล่ม ๑๑ หน้า ๑๐๔
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book11/101_150.htm

    พระอริฏฐะ
    เล่ม ๑๘ หน้า ๒๗๙
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book18/251_300.htm
    บุญจาการเปิดธรรมวินัยนี้จงสำเร็จแก่ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลกิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผู้ต้องการตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  12. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101

    ก็เข้าใจนะครับและก็ได้บอกว่า
    มีถูกต้องอยู่ และไม่ถูกต้องอยู่
    แต่ไม่ได้คลายไว้ว่าฐานไหนที่กล่าวอย่างนั้น ก็ถือโอกาสคลายจุดเลยแล้วกันครับ
    คือถูกต้องที่จะชวนญาติโยมทำกุศล แต่เรื่องเงินก็ไม่จัดการให้ถูกต้องซะล่ะครับ จะได้บุญทั้งสองฝ่าย ผู้ไม่สะดวกก็ส่งไปให้คณะผู้ดูแลบำรุงพระ พระก็ทำหน้าที่ของพระตามธรรมวินัยรักษาศีลให้บริสุทธิ์เพื่อความไพบูลย์ในบุญของญาติโยมที่เขาตั้งใจบำรุงท่าน คณะผู้บำรุงก็จัดการว่าปัจจัยสี่ของท่านขาดเหลืออะไร ก็จัดการให้ถูกต้อง โยมที่ดูแลอย่างนั้นได้บุญด้วยการทำหน้าที่ดูแลพระอีกด้วย พระก็ไม่ต้องมีนรกรอรับ โยมก็ได้ผลบุญขาดจากบาป วัดขาดแคลนอะไรโยมผู้ปราวณาผู้มีความสามารถในกิจนั้นก็รับผิดค่าใช้จ่าย ทั้งหมด แล้วเปิดโอกาสให้ผู้อืนที่ต้องการบุญร่วมสมทบทุนโดยพระไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับ เงินทองเลย มีแต่โยมกับโยมที่ต้องตรวจสอบกัน
    พระมีแต่พิจารณาใคร่ควรญรักษาศีลธรรม ตามธรรมวินัย ยิ่งเหล่าพุทธภูมิยิ่งต้องเปี๊ยะเข้าไปใหญ่ เพราะ ต้องทำ พุทธัตตจริยา คงจะเจอมากันบ้างแล้วว่าเป็นการประพฤติทางในการเป็นพระพุทธเจ้า แต่มาถอดบาลีดูครับ พุทธะ+อัตตา+จริยา = พระพุทธเจ้า + ตน + ประพฤติ คือ การประพฤติตนในพระพุทธเจ้า แล้วอะไรคือความหมาย ของการประพฤติตนในพระพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าตรัสอะไรว่าบาป ก็ไม่ขัดว่าไม่บาป พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุญก็ไม่ขัดว่าไม่ใช่บุญ พระพุทธเจ้าสำรวมอย่างไรก็สำรวมอย่างนั้น พระพุทธเจ้าพรากเพียรให้ผู้อื่นถึงบุญที่ถูกต้องอย่างไร ก็พรากเพียรอย่างนั้น เคยเจอมีผู้แปลความหมายว่า ประพฤติตนในสันฐานพระพุทธเจ้าเหมือนกันครับ คงเคยได้ยินคำว่ารูปพรรณสันฐานนะครับ เพราะฉะนั้น สันฐานพระพุทธเจ้า คือประพฤติในแบบที่พระพุทธเจ้าประพฤติ เปี๊ยบเลย รักษาพุทธศาสนาอย่างพระพุทธเจ้าพึงจะรักษาเพื่อประโยชน์แก่ผู้จะดับทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าผู้สร้างพุทธภูมิยุคนี้ เข้าใจว่าอย่างไร เพราะในตอนที่พระพุทธเจ้ายังเป็น
    ภิกษุโชติ ปาละผู้เข้ามาบวชในพุทธศาสนายุคนั้น ก็ทำให้พุทธศาสนางามยิ่งนะ ไม่ได้ทำให้ศาสนาหมองยิ่ง แต่ได้ยินได้ฟังมาว่ามีผู้สร้างพุทธภูมิอยู่หลายๆที่ แต่ทำให้ศาสนาหมองไป หมองไป ไม่รุ่งเรืองขึ้นมา เท่าที่ได้ยินมานะครับ
    เพราะพุทธศาสนานี้ ทำน้อยได้มาก ทำบุญแต่น้อย ก็ได้บุญมาก ทำบาปแต่น้อยก็ได้บาปมาก เมื่อได้มาพบแล้ว ยังจะมัวทำในสิ่งที่มันเกิดโทษอยู่เพื่ออะไร?


    และก็ถูกต้องที่จะพากันทำพุทธานุสติให้มากๆ แต่ไม่ใช่รูปานุสติ คือระลึกถึงพระพุทธเจ้านั้น ใช่ แต่ไม่ใช่ระลึกถึงรูป
    และ เครื่องระลึกอื่นๆก็มีอยู่อีกหลายอย่าง ไม่นำมาเป็นเครื่องระลึกกัน ต้องการระลึกทั้งวันก็ปลูกต้นโพธิ์ หน้าบ้าน ข้างบ้าน หลังบ้าน ถ้าทำงานที่ไหนก็ขอที่นั้นเขาปลูกนั้นแหล่ะ เมื่อเห็นต้นโพธ์ก็โอ้หนอ พระตถาคตเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอันดับทุกข์ที่เราเจออยู่นี่ทนอยู่นี่ได้ที่ใต้ ต้นโพธิ์หนอ เราควรเว้นชั่วทำดีเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าหนอ หรือว่าไม่สะดวก ก็ให้ลูกให้หลานหรือเด็กเล็กก็ได้ วาดวงกลมใส่กระดาษ แล้วก็ขีดซี่ล้อใส่ไป แปดซี่ ก็ถือระลึกไป โอ้หนอพระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมทรงตรัสไว้ว่า ผู้ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เคารพยำเกรงนอบน้อบแด่พระพุทธเจ้า ซี่ล้อแรกคือสัมมาทิฏฐิหรือความเข้าความเข้าใจที่ถูกต้อง เรายังเป็นคฤหัสถ์ จะต้องถือธรรมข้อไหนหนอจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเป็นผู้เข้าใจได้ถูกต้องตาม ที่พระองค์บอกเรายังใช้ชีวิตในเพศคฤหัสถ์หนอ มีคำสอนอย่างไรบ้างหนอ มีใครได้ทำบ้างไหมหล่ะ อย่างที่ว่ามานี้น่ะ
    คงเคยได้ยินเรื่องราวเวลาใกล้ตายคิดถึงอะไรจะไปอันนั้นใช่ไหมครับ
    พิจารณาเอาครับ

    ถ้าจะว่า เองยังถือว่าทองเหลืองเลย แล้วทำไมจะถือว่ากระดาษไม่ได้
    ก็ถือไปครับ ยิ่งถือว่าจะเอาบาปมาจากไหนเพราะถือว่าเป็นกระดาษเสียแล้ว
    พระอริฏฐะก็คิดอย่างนั้น
    แต่ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกนะว่า ใครไม่เคารพรูปเรา จะต้องอาบัตินั้น จะมีนรกรองรับอย่างนี้ ยังไม่เจอครับ มีแต่ว่า ใครระลึกถึงรูปแม้เพียงเล็กน้อย หากจะพึ่งตั้งอยู่ก็พึ่งอยู่ได้ แต่หากตายในขณะนั้น เสี่ยงที่จะไปเกิด ๒ ที่ คือสัตว์เดียรฉาน กับ นรก ก็เลยว่า จะถือก็ถือไป แต่ก็ไม่ได้ยินดีด้วยทั้ง ๒ ประการ คือไม่ยินดีในการกระทำอันมีโทษ และ ไม่ยินดีที่ผู้ทำอย่างนั้นในการได้รับอันตรายจากสิ่งที่ผู้นั้นทำ
    เล่ม ๒๘ หน้า ๓๕๗
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book28/351_400.htm

    ถ้าไม่ใช่มติเว็ป และ เว็ปยังเปิดกว้างอยู่ ก็ยังจะอยู่เพื่อเปิดธรรมวินัยต่อไป
    บอกอย่างตรงๆจากใจจริงครับ แต่ก็ยากจะไปเพราะบาปที่เกิดขึ้นกับผู้ค้านธรรมวินัยก็มีอยู่ ไม่ได้เกี่ยวว่าใครจะด่าอะไรอย่างไร
    เพราะ ด่าไม่ได้เป็นเหตุให้ผู้เปิดไปนรก การชมไม่ได้เป็นเหตุให้ผู้เปิดไปสวรรค์ แต่เหตุและผลนั้นมันปรากฏแก่ ผู้ด่าและผู้ชื่นชมนั่นเอง ส่วนผู้ถูกด่าชมนั้นมันเป็นของเก่าแก่ เป็นโลกธรรม
    และต้องเคยด่าผู้อื่นไว้ มาตอนนี้จึงถูกด่า ถ้าไม่ได้ทำบาปไว้ ผลบาปไหนเลยจะมีมาถึง
    แต่ใครจะด่าก็ควรใคร่ควรญให้ดีครับ เพราะผู้เปิดกล่าวตามเนื้อความของพระพุทธเจ้า ไม่ได้บัญญัติขึ้นเองครับ

    ใครติดสักการะและสรรเสริญเป็นอย่างไร?
    เล่ม 26 หน้า 649
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book26/601_650.htm

    ควรเตือน
    เล่ม ๓๖ หน้า ๓๐๑
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book36/301_350.htm

    ทำไมจึงยังเตือนอยู่?

    อนึ่ง ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ว่า ความลำบากจักมีแก่เรา และ
    ความขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ เพราะบุคคลผู้ต้องอาบัติ เป็นคนมักโกรธ

    พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 69
    มีความผูกโกรธ มีทิฏฐิมั่น แต่ยอมสละคืนได้ง่าย และเราอาจจะให้เขาออก
    จากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้ ก็เรื่องความลำบากของเรา และความขัดใจของ
    บุคคลผู้ต้องอาบัตินี้ เป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนเรื่องที่เราอาจจะให้เขาออกจาก
    อกุศล ดำรงอยู่ในกุศลนั่นแล เป็นเรื่องใหญ่กว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวก
    เธอมีความเห็นอย่างนี้ ก็ควรพูด.
    เล่ม ๒๒ หน้า ๖๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book22/051_100.htm

    ที่ว่าเกินความคาดหมาย คือ มีผู้เข้าใจตั้งแต่กระทู้หยุดทำร้ายพุทธศาสนาไปบ้างแล้ว แม้จะไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน แต่นั้นก็เกินความคาดหมายแล้วครับ เพราะแค่คนนั้นเดียวเข้าใจก็จริง แต่ชาวทิพย์ที่เกี่ยวข้องกับเขานั้นที่รู้เรี่องด้วยนั้นมีไปยันถึงพรหมโลก ก็เลยไม่น้อยนะ ผมก็ไม่คิดว่าจะยังอยู่ได้มาถึงนี่เหมือนกันครับ และไม่คิดว่าธรรมวินัยนี้จะแตกออกมาได้มากมายถึงขนาดนี้ด้วย และในขณะที่หามาเปิดให้รู้กันนั้นก็ได้ความรู้ลึกเข้าไปอีก ได้ขัดเกลาตัวเองไปอีก เพราะบางข้อก็มีทำผิดไปก็เลยได้เจอข้อที่ต้องแก้ไขด้วย ไอ้ที่ยังไม่ชัดยังไม่หนักแน่นมันก็ชัดเจนขึ้นหนักแน่นยิ่งขึ้นไปอีก เลยว่าเกินคาดอย่างมากมายครับ สาธุ ธรรมมานุภาพ


    ใช่ครับความต้องการของผม คือ เปิดธรรมวินัยให้พระเณรชีอุบาสกอุบาสิกา ได้รู้จัก ได้สามัคคีกับธรรมวินัย เป็นการรักษาพุทธศาสนาด้วยการพากันศึกษาเล่าเรียนโดยอัตโนมัติ จะเกิดความรู้โดยอัตโนมัติ อันจะเป็นการรักษาพุทธศาสนาไว้ได้ ไม่ทรุดเร็วไป เพราะคนมีความรู้ว่าทางบุญที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ทางบาปที่ถูกต้องเป็นอย่างไร มรรคที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ผลที่ถูกต้องเป็นอย่างไร อันจะมีความเห็นไปทิศทางเดียวกัน จะได้เป็นปึกแผ่นโดยธรรม

    เล่ม ๑๓ หน้า ๒๗๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book13/251_300.htm


    ถ้าไม่ยกธรรมวินัยมาเพราะกลัวปรามาสก็ไม่ชื่นชมไม่คัดค้านครับ มาศึกษากันดีกว่าครับว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร?
    แต่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า
    ดูก่อนจุนทะ บุคคลเมื่อกล่าวโดยชอบพึงกล่าวพรหมจรรย์
    ที่สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ไม่หย่อน ไม่ยิ่ง
    ศาสดากล่าวไว้ดีแล้ว บริบูรณ์สิ้นเชิงเป็นพรหมจรรย์อันศาสดาประกาศไว้
    ดีแล้วดังนี้.
    ว่าด้วยอภิญญาเทสิตธรรม
    [๑๐๘] เพราะเหตุนี้แหละ ดูก่อนจุนทะ ควรที่บริษัททั้งหมด
    พร้อมเพรียงกัน ประชุม รวบรวม ตรวจตราอรรถด้วยอรรถ(ตรวจตราความหมายที่หนึ่งด้วยความหมายอีกที่หนึ่ง)
    พยัญชนะด้วยพยัญชนะ (เหมือนกันพยัญชนะอีกที่หนึ่งด้วยพยัญชนะอีกที่หนึ่ง) ในธรรมที่เราแสดงแล้ว เพื่อความรู้ยิ่ง จะเป็นเหตุให้พรหมจรรย์
    นี้ พึงเป็นไปตลอดกาลยืดยาว ตั้งมั่นอยู่นาน พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไป
    เพื่อประโยชน์สุข แก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อ
    ประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
    เล่ม ๑๕ หน้า ๒๗๒
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book15/251_300.htm


    .

    รับมาพิจารณาครับ มงคล ๓๘ ไปอ่านดูก็ชัดเจนดีครับ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเหมือนกับที่พี่คมน์เคยได้ยินมาหรือเปล่าครับ
    เล่ม ๓๙ หน้า ๑๑๗
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book39/101_150.htm
    อธิบายสูตร อยู่ที่ เล่มเดียวกัน หน้า ๑๖๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book39/151_200.htm

    ส่วน กาลมสูตรนั้นถ้าว่าอ้างตำรา ก็ตามนั้นครับ แต่ผู้ที่มางัดง้างตำรานี่ ไปอยู่ในข้ออื่นๆหรือเปล่าหล่ะ
    แต่งดไว้ก่อนยกไว้ก่อนครับ เรามาศึกษากันดีกว่าว่าพระพุทธเจ้าสอนวิธีการไว้อย่างไร?

    เล่ม ๓๔ หน้า ๓๓๗
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book34/301_350.htm
    อ่านให้ครบถ้วนพิจารณาให้ดีก่อนนะครับ

    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล?
    เล่ม ๑๓ หน้า ๒๙๓
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book13/251_300.htm

    เทียบเคียงความหมายที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นะครับ
    คือตรวจกับสูตรและวินัย
    ว่าอะไรคือ กุศล อะไรคือ อกุศล
    แล้วก็ย้อนมาศึกษาเรื่องเงินและรูปทองเหลืองเอานะครับ



    บุญจาการเปิดธรรมวินัยนี้จงสำเร็จแก่ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลกิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผู้ต้องการตลอดไป
    ---------------------------------------
    เราชาวพุทธจะรักษาพุทธศาสนาอย่างไร?
    เราชาวพุทธจะทำอะไรไว้ให้ลูกหลานรุ่นต่อๆไป ได้รู้จักว่า พุทธศาสนาคืออะไร?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  13. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    เรามีนามว่าอภิญญาบุตร คือบุตรแห่งนางอภิญญา ใช้ชื่อนี้เพื่อเกียตรแห่งมารดาของเรา หากจะรู้ชื่อจริงของเรา ไม่ยาก คลิกเข้า Facebook

    อนึ่ง พระธรรมวินัยใด ๆ ก็ตาม ท่านทรงตรัสเอาไว้ดีแล้ว

    สมัยที่พระบรมศาสดาก่อนจะปรินิพพานท่านทรงเคยตรัสเอาไว้ว่า
    ธรรมวินัยใด ๆ ที่ขัดต่อกาลนั้น ๆ จะยกเลิกสิขาบทเล็กน้อยก็ได้

    แต่เราเลือกที่จะรักษาไว้ทั้งหมด
    ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดี
    แต่กาลล่วงไปตามยุคสมัย จะลำบากเอา

    ให้ลองนึกถึงพระ-เณร ที่มาเล่าเรียน
    ที่ "ไม่มีไวยาวัจกร" มาคอยดูแล
    ต้องหาเงินจากบิณฑบาตรบ้าง จากกิจนิมนต์บ้าง
    แล้วนำไปจ่ายค่าเทอมบ้าง ค่าลงทะเบียนเรียนบ้าง
    ค่าบำรุงการศึกษา ค่าหนังสือเรียน ค่าสมุด ค่าอุปกรณ์การเรียน ฯลฯ

    ถ้ารั้งแต่จะเอาทิฏฐิของตนเองเป็นใหญ่
    "โดยไม่สนใจสภาพความเป็นไป"

    อีกอย่าง พอรู้ว่ามาจากสำนักใด ๆ
    เคยดูคลิปหนึ่งในหน้าเว็ปของสำนักนั้น
    ท่านกล่าวดูหมิ่นพระปัญญาญาณของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร?

    ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าจะรู้หรือว่ามีเครื่องบินฯ (และอื่น ๆ)
    ถ้าท่านทรงตรัสว่าศาสนาจะมีอายุถึง 5000 ปี
    ปัญญาญาณของท่านจะไม่รู้เลยหรือว่าจะมีเครื่องบินฯ

    **เพิ่ม**
    ท่านกล่าวถึงจักรวาล (หาอ่านได้จากหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น
    และ ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ อานันทวรรค จูฬนีสูตร)
    และขนาดของปรมาณูได้อย่างถูกต้อง (เช่นเดียวกัน)
    ก่อนหน้าที่นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมฟิสิกส์จะค้นพบเสียอีก
    (และในเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย)
    ท่านรู้หมดทุกสรรพสิ่ง เรื่องแค่นี้ไปดูถูกว่าท่านไม่รู้ได้อย่างไรกัน?

    และการที่ทรงพยากรณ์ใน สุริยสูตรอีก เรื่องของโลกที่จะแตกสลายด้วยไฟ
    (ดวงอาทิตย์เจ็ดดวง) ซึ่งการแตกดับของดวงอาทิตย์ (ที่นักวิทยาศาสตร์คาดการไว้)
    สามารถทำให้ดวงดาวอื่นรอบ ๆ ลุกโชติเป็นไฟดั่งดวงอาทิตย์ได้
    "อย่าไปดูหมิ่นพระปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า"
    **จบเพิ่มเติม**

    เหตุที่ท่านไม่บัญญัติสิกขาบทไว้ล่วงหน้า
    เพราะจะให้สงฆ์ปกครองกันเอง และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามกาลสมัย
    เพื่อ "ให้อยู่ได้" ไม่ใช่ "ให้ลำบาก"

    พระ-เณร จะกลับต่างจังหวัดโปรดบิดามารดา หรือญาติ ๆ ให้จาริกไปด้วยเท้าหรือ?

    แล้วเอาที่ไหนมาอ้างว่าโยมถวายเงินให้พระแล้วจะตกนรกขุมอะไร
    พระจะตกนรกขุมอะไร

    ถ้าท่านอ้างมาได้ เราก็ขออ้าง กาลามสูตร
    "อย่าเชื่อตามตำรา"

    หรือว่าพวกท่านเองเคยไปตกนรกขุมนี้ด้วยข้อหานี้
    ระลึกชาติได้กลับมาช่วยเตือนคนหรือ?

    แทนที่จะมุ่งเน้นไปสอนที่จิตใจจริง ๆ
    เอาธรรมะที่จะแทงเข้าจิตใจได้โดยตรง
    เมื่อจิตใจเปลี่ยน เข้าใจความจริง
    วัตถุภายนอกมันก็ไม่ยึดถือเองนั่นแหล่ะ

    เห็นพวกคุณรณรงค์กันมาก
    ทำไมไม่ลองไปรณรงค์หน้าวัดจานบินดูบ้างล่ะ?
    กลับจะมาทำให้พระ-เณรที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนต้องลำบากกันอีก

    จะทำตัวเป็นพระธรรมวินัยกันเสียเองหรือ?

    ที่เรากล่าวมาเพียงเพราะต้องการให้ "มองดี ๆ เสียบ้าง"
    ไม่ใช่ว่าหลับหูหลับตาจะเอาอย่างใจตนเองให้ได้

    คนที่มีเหตุ-ผล แต่เหตุ-ผลนั้นไม่สมควร ไม่เหมาะ ไม่สมกับกาลสมัย
    ถึงจะดูดี แต่มันก็ดูดีแบบแปลก ๆ

    เพราะฉะนั้นก็ขอให้เข้าใจ
    ถึงแม้เราจะไปแก้ทิฏฐิของพวกท่านไม่ได้
    และก็ไม่ใช่กิจอันใดที่จะต้องไปแก้
    ทิฏฐิเหมือนเชือกที่มัดเงื่อนตายแถมพันกันยุ่งเหยิง
    คนผูกต้องแก้เอง

    สุดท้ายนี้จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
    โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจกันเอาเอง

    ขอให้เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2011
  14. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    อีกเรื่องหนึ่ง เรืองพระทองเหลือง พระพุทธรูป
    เป็นรูปเคารพ "แทน" พระพุทธองค์

    เมื่อมีคนถวายพระพุทธรูปให้ด้วยความ "ศรัทธา"
    เราจักไม่เหยียบย่ำ ทำลายเด็ดขาด
    เราจักตั้งไว้ ณ ที่อันควร อันเหมาะสม

    อย่าลืมว่าบัว ๔ เหล่ามีเหล่าใดบ้าง?
    เหล่าที่ยังต้องการที่พึ่งก็มี
    เหล่าที่พึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งวัตถุ ก็มี

    บุคคลบางจำพวกต้องสะสมบารมีในด้านที่ขาดก็มี
    บุคคลบางจำพวกต้องหารูปเคารพ สักการะ ไว้เป็นตัวแทนก็มี
    บุคคลบางจำพวกไม่ต้องมี ใช้ "ใจ" น้อมถวายบ้างก็มี

    "การจะให้ทุกคนเป็นอย่างที่เราคาดหวังย่อมเป็นไปไม่ได้"

    แบบแผนของพระธรรมวินัยทั้งหลายรักษาไว้ ดี
    สิ่งใดจะขัดแย้งต่อกาล ต่อสมัย ทำให้ลำบาก ก็ควรผ่อนผันเสียบ้าง
    ตึงมากเกินไปจะลำบากต่อสถานที่ และ ณ กาลนั้น ๆ เปล่า ๆ

    สมมุติว่า พระ-เณร ต้องกลับต่างจังหวัด
    เอ้า ไม่ให้จับต้องเงินทอง (ที่เป็นกระดาษสมมุติแล้วก็มาติดในสมมุติว่าเป็นเงินทอง)
    ให้พระ-เณร เข้ากสิณลม เหาะไป?
    หรือให้เขากสิณดิน มุดดินไป?
    เอ๊า! บังเอิญโยมมาเห็นพระ-เณร เหาะ หรือดำดิน ฯลฯ
    ต่อไปจะว่าอวดอุตริอีกมั้ย?
    มันจะร้ายแรงกว่าเดิมหรือเปล่า
    ถ้าไม่มากล่าวว่า ก็คงจะแห่มาขอหวยแล้ว "ซวย" ดังไปซะอย่างนั้นอีก

    เราพิจารณาดูแล้วว่าเธอเองยึดมั่นถือมั่นสูงเกินไป
    จริงอยู่เจตนาดี อยากให้พระธรรมวินัยไม่เสื่อมไป
    แต่เธอจะทำได้หรือ? ในเมื่ออายุพระพุทธศาสนาก็มีตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้
    มันก็ย่อมเสื่อมไปตามกาล ตกอยู่ภายใต้กฏแห่งไตรลักษณ์
    ไม่มีสิ่งใดหนีพ้นกฏนี้ แม้พระพุทธศาสนาเองก็ตาม

    เปลี่ยนไปช่วยปลูกฝังเยาวชนรุ่นใหม่ ไม่ให้เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิดีกว่ามั้ย?
    ช่วยให้เยาวชนรุ่นใหม่ ไม่หลงมัวเมา ไม่จม ไม่ตกต่ำ ดีกว่ามั้ย?

    จักไปเกิดประโยชน์อันใดถ้ามัวมาเถียงกันเรื่องพระรับเงินกับพระทองเหลือง
    เห็นก็อ้างแต่ตำรา ไม่ดูกาล ไม่ดูสมัย

    "อย่าเชื่อตามตำรา" แหกตาดูยุคสมัยซะบ้าง!!!

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  15. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    งั้นพระคุณเจ้าก็สึกได้แล้วครับ
    เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ท่านไม่ใช่ภิกษุแล้วครับ
    ง่ายๆครับ
    วันนี้จบเท่านี้ครับ
    ที่เหลือค่อยมาคลายให้ครับ
     
  16. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    นี่แหล่ะ ทำตัวเป็นพระธรรมวินัยตัดสินกันเสียเองกันแล้ว
    ศึกษาธรรมะเพื่อเพิ่มทิฏฐิ มานะ กันหรือ?
    ดูสิ เก่งกาจใหญ่เชียว สามารถตัดสินว่าใช่ภิกษุ มิใช่ภิกษุได้ด้วย
    แต่ช่างมันเถอะ เราไม่ใส่ใจมากนักหรอก

    ใช่นะ เรามันพระชั่ว!!
    รับ+จับต้อง "กระดาษสมมุติ" ที่เธอยึดมั่นถือมั่นว่าเป็น "เงิน-ทอง"
    แต่กระดาษสมมุติ เรานำไปซื้อ CD เปล่าแล้ว Write ธรรมะแจกกับญาติโยม
    เรามันพระชั่วเนอะ ว่ามั้ย?

    ใช่นะ เรามันพระเลว!!
    ยังกราบไหวพระทองเหลือง พระอิฏ พระปูน โดยระลึกเป็นรูปแทนพระบรมศาสดา
    แต่ก็รู้ว่าพระทองเหลือง พระอิฏ พระปูน เป็นเพียงรูปแทนพระบรมศาสดา
    ไปถามชาวบ้าน ชาวบ้านก็รู้ ไม่ใช่ไม่รู้

    เอ้า ถ้าไม่ได้มีจิตไว้เกิดดับเล่น ก็เอาเจตสิกมาตรึกตรองตามดูแล้วกันนะ
    สมมุติว่า วัดทั่วประเทศ มีไวยาวัจจกรณ์คอยดูแลเรื่องการเงินของพระ-เณรทั้งหมดในวัด
    มาดูกันว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?

    ได้ไวยาวัจจกรดี โชคดีไป
    ได้ไวยาวัจจกรที่ไม่ดี ทุศิล โกงกินเงินพระ-เณร เงินวัด "ใครรับผิดชอบ"
    พวก ๆ ของเธอรับผิดชอบ?

    หรือกรณีที่มีไวยาวัจจกรส่วนตัว
    ถึงเวลาเรียน จ่ายค่าเรียน ค่ารถ ค่าหนังสือ ค่าฯลฯ
    จุกจิก จนไวยาวัจจกรเองก็ให้ไปจัดการเอาเอง
    อย่าลืมว่าฆราวาสเองก็มีหน้าที่ มีการงาน ไม่ใช่ว่าจะว่างมาคอยดูแลตลอด
    เกิดเจ็บไข้ ได้ป่วย ต้องไปโรงพยาบาล ไม่มีไวยาวัจจกรอยู่?
    เอาอะไรไปนั่ง TAXI? หรือให้จาริกไปโรงพยาบาล?
    หรือให้มันนอนทรมาณ หรือนอนรอความตายอยู่นั่นแหล่ะดีแล้ว?

    ต่อมาเมื่อไวยาวัจจกรเบื่อหน่ายที่ต้องมีภาระเพิ่ม ก็ผลักภาระคืนไปให้พระ-เณรอีก
    แล้วก็กลับมาเป็นอย่างเก่าอีก

    และการยกพระไตรปิฏกมาอ้างกล่าวหลาย ๆ ครั้ง
    ไหนขอถามเธอสักหน่อยเถิด
    พระไตรปิฏกเล่มไหน ธรรมวินัยหมวดใด
    ตรัสสอนให้ยืนแสดงธรรมด้วยท่าทีกร่างอย่างนักเลงบ้าง?
    พูดอะไรเรื่องปืน จะสื่ออะไร? สมควรแล้วหรือ?
    ไปค้นในพระไตรปิฏกมาให้อ่านหน่อยสิ ตรงไหนบอกให้กระทำเช่นนี้?
    ตรงนี้ไม่ต้องถามหรอกว่าใครอะไร เคยเข้าไปดูก็เข้าใจเอง

    ใครจะศรัทธา ไม่ศรัทธาอะไรอย่างไร เราเองไม่ได้ต้องการหรอกนะ
    ไม่ได้บวชมาเพื่อเรียกร้องศรัทธา
    เป็นพระตัวคนเดียว มาอาศัยเรียนก็มาแค่เป็นอาคันตุกะของวัด
    เรามันพระชั่วเนอะ? ไวยาวัจจกรก็ไม่มี ^^

    ถ้าทำตัวเป็นแกนโลกที่คิดจะหมุนทุกสิ่งให้เป็นไปตามใจเรา
    เราขอบอกเลยว่า เป็นไปไม่ได้
    โลกมันก็หมุนไปของมัน

    แล้วเคยอ่านต้นบัญญัติ หรือมูลเหตุแห่งการบัญญัติมั้ย?
    ทำไมพระบรมศาสดาจึงไม่บัญญัติสิกขาบทก่่อนที่จะมีภิกษุทำผิดล่ะ?
    มีเรื่องใดบ้างที่บัญญัติขึ้นมาเฉย ๆ เลย
    โดยที่ไม่มีชาวบ้านติเตียนก่อน หรือสงฆ์ติเตียนก่อน?
    เพราะการบัญญัติ ท่านทรงห้ามไม่ให้กระทำในสิ่งที่ชาวบ้านและคณะสงฆ์รังเกียจ ติเตียน

    ตัวอย่างเรื่องการขุดดิน
    สมัยนั้นชาวเมืองเชื่อว่า ดินเป็นสิ่งมีชีวิต
    มันเป็นความเชื่อของชาวบ้าน
    เห็นพระไปขุดดินเข้าก็ว่าพระไปฆ่าดิน เพราะเขาถือกันอย่างนั้น
    ชาวบ้านก็ต่างติเตียนกันต่าง ๆ นา ๆ
    ด้วยเหตุนี้จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามขุดดิน เป็นต้น
    (แบบละเอียด ๆ ไปหาอ่านกันเอาเอง)

    หรืออย่างประเด็นเรื่องที่ออกข่าวค่อนข้างบ่อย
    เรื่องพระขับรถ จะมอเตอร์ไซค์ หรือรถเก๋งบ้างก็ดี
    ถามว่าชาวบ้านในพื้นที่ติเตียนพระมั้ย? ไม่? หรือใช่?
    คำตอบคือ ไม่บ้าง ใช่บ้าง
    บางวัดนะ พระต้องทำงานจัดการในวัด
    ก่อสร้างบ้าง ตัดแต่งต้นไม้บ้าง
    "ไม่เห็นโยมสักคนที่มาทำงานให้"
    ก็อย่างที่บอก ฆราวาสก็มีกิจของฆราวาส มีงานมีการ
    และถ้าจ้าง เอาอะไรจ้าง ข้าวก้นบาตรหรือ? ถ้าไม่ใช่ "กระดาษสมมุติ"

    เห็นมีการติเตียนพระทำงานก่อสร้างว่าไปรับใช้โยม
    ความคิดบ้า ๆ น่ะสิ
    ท่านทำเพื่อทำนุบำรุงวัดและศาสนสถานต่าง ๆ
    เจตนาก็ไม่ใช่ละ โยมเองก็ไม่ได้มาว่าจ้างให้ทำ
    เพราะไม่มี "โยมฆราวาส" ไปทำ พระก็ต้องจัดการทำเอง

    หลาย ๆ วัดในต่างจังหวัดจะเห็นต่างกันออกไปตามพื้นที่
    เช่น อีสาน พระไปลงแขกเกี่ยวข้าว หรือช่วยพ่อแม่ทำนา
    ชาวบ้านแถบนั้นก็ไม่ตำหนิ ติเตียน เพราะท่าน "กตัญญู"
    (เคยออกรายการเรื่องจริงผ่านจอ)

    หรืออย่างพระที่บิณฑบาตร
    แล้วนำกับข้าว ของ ไปให้แก่ชายแก่ หญิงแก่คู่หนึ่งก่อนพระจะฉัน
    คนที่ไม่รู้อะไรก็พากันติเตียนว่ากล่าว
    โดยที่ไม่รู้ว่านั่นคือ "พ่อและแม่" ของพระ
    (ซึ่งพระวินัยอนุญาติส่วนนี้ให้กับพ่อและแม่อยู่แล้ว)

    หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ภาคเหนือ เชียงใหม่
    พระฉันข้าวรอบเย็น แถมโยมเป็นผู้นิมนต์ไปฉันเองเสียอีก
    เพราะความเชื่อของชาวบ้านเขาเป็นแบบนั้น
    (เรื่องนี้ทางมหาเถระสมาคมก็เคยออกมาว่ากล่าวให้ทุเลาลงอยู่)

    อีกตัวอย่าง พระไทยในต่างแดน
    รู้กันใช่มั้ยว่า พระไม่ควรทำอาหารกินเอง
    แต่ถ้าบิณฑบาตรในต่างประเทศไม่ได้
    ให้อดตายหรือ? หรือให้ไปซื้อกิน ใช้อะไรซื้อถ้าไม่ใช่ "กระดาษสมมุติ"?
    บางคณะทัวร์ไปพักที่วัดไทยในต่างแดน
    เห็นพระทำอาหารแล้วรังเกียจ
    โดยไม่แหกตาดูสภาพภูมิประเทศ กาล สภาพการดำรงชีวิต ประเพณี ณ ที่นั้น ๆ
    เอาแต่ทำเป็นรังเกียจ ติเตียน แบบนี้ก็ถือว่าถูก? งั้นหรือ?

    ทีนี้ทราบหรือยังว่าทรงบัญญัติในสิ่งที่ "ชาวบ้านและสงฆ์ติเตียน"
    ไม่เคยบัญญัติไว้ล่วงหน้า
    ก่อนปรินิพพานท่านก็ทรงตรัสเอาไว้ว่า
    สิกขาบทเล็กน้อยถ้าจะถอน หรือผ่อนผันให้เหมาะตามกาลก็ทำได้
    (พระอานนท์ท่านก็ถูกถามว่าอะไรคือเล็กน้อย
    แต่ก็บอกไม่ได้ เพราะพระบรมศาสดาไม่ได้แจกแจง)
    พระบรมศาสดาตรัสเพื่ออะไร?

    "เพื่ออนาคตที่ภิกษุจะพึงอยู่ได้ตามกาลนั้น ๆ ได้"

    เราเองก็คงจะกล่าวไว้เพียงเท่านี้
    ถ้าทิฏฐิ มานะ มันสูงมาก ยังยึดมั่น ถือมั่นอยู่
    ก็ยากนะ ยากจริง ๆ

    อีกอย่าง ใช่นะ เรามิใช่ภิกษุ
    เรามิใช่มนุษย์ มิใช่คน มิใช่สัตว์ สิ่งของ
    เรามันก็แค่ธรรมธาตุก้อนหนึ่ง
    ถึงคราวหนึ่งก็ดับสิ้นไป จบไป
    เป็นแค่ช่วงเวลาเสี้ยวหนึ่งของโลกเท่านั้น ไม่นานนักหรอก
    ไม่ได้มีความหมายหรือแก่นสารอะไรนักหรอก
    เราไม่ได้เป็นสิ่งใดทั้งนั้น

    "อย่าไปติดในสมมุติมากนักนะ"
     
  17. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,135
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,848
    กระทู้นี้ได้ประโยชน์อยู่ครับ ผมไม่ค่อยได้เคยอ่านพระวินัยปิฏก อย่างน้อยก็มีโอกาสได้ผ่านเข้ามา และได้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย จึงพอเข้าใจอะไรบ้างไม่มากก็น้อย
     
  18. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    เคยได้ยินวลีหนึ่งเคยบอกว่า

    "อย่าเรียนกฏหมายมาไว้หมายกด"

    ก็คือ การรู้กดหมายเพื่อเอามากดขี่ ข่มเหง หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ลำบาก อยู่ได้ยาก

    มันก็ไม่ต่างกันหรอกนะ

    ข้อความที่เราโพสไปทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น เราเขียนให้มนุษย์ที่มีความเข้าใจได้อ่าน

    แต่หากมนุษย์ที่ทิฏฐิสูง มานะสูง อ่านไปมันก็ไม่เข้าใจหรอก

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  19. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,135
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,848
    ขอถามท่าน จขกท. ครับ พระภิกษุที่ขับรถยนต์เป็นประจำทั้งกลางวันและกลางคืน ผิดพระวินัยหรือไม่ ? ด้วยเหตุใดครับ
     
  20. glassbuddha2009

    glassbuddha2009 087-7459995 สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    37,135
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +53,848
    การที่พระภิกษุเป็นเจ้าของรถยนต์ แล้วญาติพระยืมไปใช้งาน ต่อมามีผู้พบว่ารถคันดังกล่าวไปจอดในสถานที่เที่ยวผู้หญิงหากินเป็นประจำ มีการสอบถาม พระบอกว่าให้ยืมไป ใครจะไปรู้ว่า ไปจอดที่ท่องเที่ยวเป็นประจำ หรือก็คือเราไม่รู้ว่าพระแก้ตัวหรือเปล่า ?

    หากมีรถแล้วใครมาขอยืม พระควรทำอย่างไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...