เทคนิคภาวนา " เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบมีแต่ความคิด "

คุณ นพ ชนไก่ ที่คุณตำหนิว่า มาสอนกสิณควายๆ แบบคิดเอานั้น มันเป็นวิชชาของพระพุทธเจ้าเลยหละครับ
ลองอ่านพระสูตรดู


เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อ "จุตูปปาตญาณ" รู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพพจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ด้วยประการฉะนี้. ราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่ 2 ที่เราได้บรรลุแล้ว ในมัชฌิมยามแห่งราตรี. อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.

 

ผมว่า นาย รโชหรณัง.
ดีแต่ปากและขี้โม้หลวง คับ
คนเดียวเน้นๆไม่แบ่งใคร
กรุณาอย่าแถและอ้างอีกเลยยยยยย
อย่าหน้าด้านมากครับ
สั้นๆจะรับคำท้าเรื่องกรรมฐาน
ในระดับพิสูจน์ได้ไหม
จะกลัวอะไรเมื่อคุณโม้เอง ว่าคุณเจ๋ง
และคุยทับผมด้วย ว่าผมโม้ด้วย
แถมยังมีการเสนอหน้า
มาสอนผมด้วย คงคิดว่าตัวเจ๋งมาก
ทั้งๆที่ตัวเองทำไม่ได้
มันไม่ใช่แบบอนุบาล
ที่คุณโม้ว่าสมาธิป่านว่าสุดยอดแบบ
ของคุณที่ไว้รักษาตัวเอง
ได้ที่คุณทำเป็นโม้หรอกครับ
นั่นแค่ระดับเด็กยังไม่คลอด
สำหรับผม
ทำเป็นพูดให้ดูหล่อไปได้
ไอ้หน้าเสริมคอนกรีตเหล็กกล้า

และจะบอกให้ผม ไม่ใช่คนเก่ง
ไม่ใช่คนดี ไม่สร้างภาพ
แต่น้ำหน้าอย่างคุณ
ไม่ต้องมาสะเออะสอนสั่งผมหรอก
ผมดูออกใครทำได้ไม่ได้ ไอ้เบื้อก

และผมไม่เชื่อคนที่ปรามาสผม
หาว่าผมเล่นคุณไสย์แต่
ความสามารถทางจิตต่ำ
แต่โม้เหมือนเก่งมาก คุยทับถม
เก๊ทับ สอนคืนด้วยและ
ปัญญาทรามๆอย่าง
นาย รโชหรณัง อยู่แล้ว

แค่ต้องการวัดว่าระหว่างคุณกับผม
เรื่องกรรมฐานเท่านั้น
ในระดับที่แสดงได้ ทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้
นำไปใช้งานได้เท่านั้น
.ข้อหาที่คุณว่าผมโม้ไง จำได้ไหม
คุณเก่งกว่า เหนือกว่า เหมือนปากคุณ
ก็รับคำท้าผมชิครับ จะพูดมากทำไม


ปล. เพราะฉนั้น อย่ามาเยอะ
อย่าแถอีก กล้ารับไหม สั้นๆ
จะได้จบ เสียเวลาให้ข้าวหมา
ถ้าต้องคุยกับไอ้ขี้โม้อย่าง
นาย รโชหรณัง คนนี้อีก
ป๊อดดดดด นี่หว่า
จำไว้ว่าคุณกับผม
เป็นแค่ฆารวาสไม่ใข่พระนะ
เข้าใจที่สื่อนะครับ

 

ขอบคุณทุกท่านที่มาตอบครับ อีกนิดครับ เวลาภาวนาจนสงบทำไมผมรู้สึกสลดหดหู่จัง นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกประมาทในธรรม. รู้สึกอาลัยอาวรณ์

 

สำหรับคนที่นับถือพุทธศาสนา จะทราบอยู่แล้วว่าไม่มีอะไรบังเอิญขึ้นมาลอยๆครับ อดีตชาติคุณอาจเคยทำเอาไว้มาบ้างแล้ว ชาตินี้จึงมาสานต่อการปฏิบัติเดิม เพื่อให้ก้าวหน้าเพิ่มขึ้น เป็นแค่สมมุติฐานของผมเฉยๆนะครับ
คุณ และผู้อ่านท่านอื่น อาจจะศึกษาเพิ่มได้ครับ ผมว่าหมวดธรรมอินทรีย์สังวร น่าสนใจมากที่สุด เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้นักปฏิบัติทั้งหลาย สามารถเข้าฌาน(สัมมาสมาธิ) เพื่อนำสมถะที่ได้มาหนุนธรรมปัญญาอีกทีหนึ่ง

link นี้ เป็นของสำนักพุทธวจน อยากให้ลองไปดาวโหลดหนังสือเล่มที่ชื่อ อินทรีย์สังวรณ์มาอ่านดูครับ ผมแนะนำเพราะลองอ่านดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ดี แต่อย่างไรเสีย หากท่านใดมีอคติกับสำนักนี้ ยังไงก็ขอให้วางเอาไว้ก่อนครับ เพราะอย่างน้อยหนังสือเล่มนี้ก็คือ ธรรมมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมมะของสำนักนี้นะครับ ใช้หลักธรรมมะวิจัย เลือกแต่สิ่งที่น่าสนใจมาอ่านครับ

http://watnapp.com/book

อ่อ ขออภัยนะครับ ผมไม่ได้หมายถึงสมาชิกบางท่าน หรือ ว่าท่านธรรมมชาติ ที่อยู่ในกระทู้นี้นะครับ โปรดอย่าเข้าใจผมผิดนะครับ เพราะตัวผมเอง ก็ไม่ชอบแนวคิดของสำนักนี้ในบางเรื่องเหมือนกันครับ เพียงแต่ที่ผมอ่านธรรมของสำนักนี้มาบ้าง เพราะเห็นว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นธรรมของสำนักนี้ครับ ขอบพระคุณครับ

อนุโมทนาคุณ พินิจด้วยครับ

 

ห้ามไม่ได้ที่จะไม่ให้คิดครับ
แต่ห้ามได้คือการไม่คล้อยตามสิ่งที่คิด

จิตมีปกติ มีการปรุงแต่งอยู่แล้ว
ห้ามไม่ได้ที่จะไม่ให้จิตมีการปรุงแต่ง

สิ่งที่ห้ามได้คือ การไม่คล้อยตามไปกับสิ่งที่ปรุงแต่ง

สิ่งที่พึงสังเกตุ คือ
มีเจตนาในการคิดสิ่งนั้นหรือเปล่า
หากมีเจตนาคิด อกุศล นั่นเป็นบาปทางมโนกรรม
หากมีเจตนาคิด กุศล นั่นเป็นบุญกุศลทางมโนกรรม

แต่หากว่า ไม่มีเจตนาในการคิดอกุศล

ก็วกกลับไปอ่านวิธีพระได้เลยครับ

 

ถ้าเปน อารมณถอยออกจากโลก แต่พร้อมรบ จะถูก

ถ้า ถอยออกจากโลก ติดซึม หรือหลับ อันนี้
เปนวิบาก เกิดจากเสพมิจฉาสมาธิมายาวนาน
ต้องฉลาดใน จิตปราโมทย์ จิตบันเทิง หรือ
เอาแค่สัปปายะ ซึ่งจะเปนพวก ความสว่าง
อย่าปล่อยหลับ หรือซึมโดยไม่กำหนดรู้ แม้น
จะแก้ไม่ได้ แต่ความพร้อมรบ จะต้องมี

ถ้าปล่อยซึม ปล่อยหลับ กิเลสรอยิ้มหัวทิ่มเลย
แม้นว่าตะกี้ พึ่งจะสว่างจ้ามา ก้เถอะ

แต่ถ้าเปนเรื่อง ต้องใช้ความคิด ต้องพูด
อันนี้ก้ต้องหดหู่ หมดกำลัง

เว้นแต่จะหายใจเปน ระหว่างคิด พูด ทำงาน ทำการ

หรือ สุดท้าย ก้ต้องปลีกวิเวกบ้าง ถ้ามีแฟน
แล้ว ก้แค่ห้องน้ำพอ อยู่คนเดียว หายใจไป

 

ความคิดเป็นสังขารไหมครับ

 

เป็นสังขารอย่างนึงครับ

ถ้าพูดเข้าภาษาอภิธรรมที่เป็นปรมัตถ์ จัดเป็น เจตสิก อย่างนึง


หลวงปู่ท่านว่า

ปัญญาก็คือความรู้
ความรู้ก็คือความคิด
ความคิดก็คืออารมณ์

พุทโธ ที่เราเริ่มภาวนานี่ ก็คือความคิด อย่างนึง

 

เทคนิคภาวนา " เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบมีแต่ความคิด "


นิวรณ์เพราะขาดอินทรียสังวร

อนึ่ง แม้ในการที่จะปฏิบัติในสมาธิ ก็จะต้องมีอินทรียสังวรช่วยด้วย จึงจะทำสมาธิได้ ถ้าหากว่าไม่มีอินทรียสังวร ก็ไม่สามารถจะทำสมาธิได้ เพราะว่าจะระงับนิวรณ์ไม่ได้ นิวรณ์ที่เป็นอันตรายของสมาธินั้น ก็เพราะขาดอินทรียสังวรนั้นเอง ก็คือว่าเห็นรูปอะไรทางตา ได้ยินเสียงอะไรทางหู ได้ทราบกลิ่นอะไรทางจมูก ได้ทราบรสอะไรทางลิ้น ได้ทราบสิ่งถูกต้องอะไรทางกาย ได้รู้เรื่องอะไรที่คิดทางใจ ก็ยึดถือเป็นอารมณ์ เกิดความยินดีเกิดความยินร้ายไหลเข้ามาท่วมจิตใจ เป็นอาสวะดองจิตใจ จึงได้เกิดเป็นนิวรณ์ต่างๆ ขึ้น เป็นกามฉันท์ความพอใจรักใคร่ในกามบ้าง เป็นพยาบาทความโกรธแค้นขัดเคืองมุ่งร้ายหมายล้างผลาญบ้าง

เป็นถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มบ้าง เป็นอุทธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านรำคาญใจบ้าง เป็นวิจิกิจฉาความเคลือบแคลงต่างๆ บ้าง เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ยากที่จะระงับจิตลงให้เป็นสมาธิได้ จิตก็จะเป็นไปตามอำนาจของนิวรณ์ ฟุ้งซ่านไปต่างๆ หรือว่าถ้าไม่ฟุ้งซ่านก็ง่วงเหงาหาวนอนไป หรือไม่เช่นนั้น ก็เคลือบแคลงสงสัยอะไรไปต่างๆ ไม่ปักใจแน่นอนลงไป ใจลังเลไม่แน่นอน เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ทำสมาธิไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีอินทรียสังวรช่วย

ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นจึงเว้นอินทรียสังวรเสียไม่ได้ ต้องปฏิบัติอินทรียสังวร มากหรือน้อยตามควรแก่ศีลที่ปฏิบัติ และตามควรแก่สมาธิที่ต้องการ เมื่อต้องการศีลที่ละเอียด ที่สูง ต้องการสมาธิที่แน่วแน่ ก็จะต้องมีอินทรียสังวรอย่างนี้ เป็นการป้องกันมิให้ยึดถือสิ่งทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา ทางประตูตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ เข้ามาเป็นอาสวะดองจิตสันดานได้ โดยมีสติพร้อมทั้งปัญญาพิจารณาโดยแยบคายอยู่เสมอ กำหนดระลึกให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ ดั่งนี้

อีกประการหนึ่งแม้ว่าในการปฏิบัติที่เรียกว่าเป็นการปฏิบัติถูกต้องทั่วๆ ไปนั้น แม้ว่าจะไม่คิดว่าจะรักษาศีล จะทำสมาธิ จะอบรมปัญญา ก็ตาม ก็จำเป็นที่จะต้องมีอินทรียสังวร น้อยหรือมาก จึงจะสามารถประคับประคองตนให้ดำรงอยู่ในภาวะ ในฐานะอันสมควรได้ และความวุ่นวายทั้งหลายซึ่งบังเกิดขึ้นจากกรรม คือการกระทำ หรือการที่กระทำ ...(เทปหมด)

อ่านเต็มๆได้ที่
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-057.htm


ธรรมนี้น่าจะตรงกับหัวข้อกระทู้ของคุณปราบนะครับ กราบลาไปดูดอมยิ้มต่อละครับ^^

 

เมื่อก่อนผมคิดว่าผมฉลาดรู้ไปหมด ตอนนี้หัวว่างเปล่าไปเลย

 

คนพาลมีกำลังด้วยความโกรธ
บัณฑิตมีกำลังด้วยสติ

คนพาลจะทำอะไรก็ตาม มีแรงโกรธเป็นแรงผลักดัน จึงเที่ยวท้าให้ทำเรื่องไร้สาระ
เหมือนไก่ชน มีกำลังที่จะไปชนกับไก่ตัวอื่น
บัณฑิตมีกำลังด้วยสติ จะทำอะไรก็ต้องใช้สติว่า สิ่งนั้นควรทำหรือไม่ควร จะเสียเวลาโดยใช่เหตุหรือไม่ จะได้ประโยชน์อะไร คนมีสติต้องพิจารณาก่อนกระทำ

ก็ลองไปถามคนที่เขามีสติ ที่คุณนับถือดูว่า ท้าแข่งกรรมฐาน คนมีสติเขาทำกันไหม
พูดไปก็เท่านั้น ปทปรมะ อย่างคุณ นพ ชนไก่ จะไปเข้าใจอะไร

ภูมิจิต ตอนนี้ มันเหมือนไก่ชน โก่งคอจะตีท่าเดียว คงจะทำนายอนาคตตัวเองได้ถูกนะครับว่า ตายแล้วจะไปไหนต่อ

 

ผมคิดว่า มันเป็นมานะ (ความถือตัว) ครับ ผมเองเวลามีราคะโทสะโมหะ หรือจะมานะอะไรก็ตามเกิดขึ้น บ่อยๆ ที่ผมจะมองไปที่ตัวร่วมเลยคือเวทนา สุขเวทนา ทุกเวทนา ตัวนี้จะเป็นทุกขเวทนา ประกอบอกุศลมลทินเศร้าหมอง ปล่อยไว้ก็เป็นความประมาทเปล่าๆ แถมเป็นทุกข์บีบคั้นทำให้จิตเกิดอยู่ตลอดเวลาเสียด้วย ก็พิจารณาตัดความหลงจมแช่ในเวทนา หลงให้ค่า ว่าเป็นดีเป็นเลวอย่างนั้นอย่างนี้ไปเลย เอาคำสอนของพระพุทธองค์มาใช้ครับ เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา รู้ทุกข์รู้โทษแล้วก็วาง จางคลายความยึดมั่น ถอยห่างออกมา ดำเนินชีวิตไปตามปกติครับ

 

ทำเป็นรู้อารมย์ ขำฟันร่วงเลย
เก่งจริงขนาดรู้อารมย์ได้
ทำไมไม่กล้ารับคำท้าหละ

๕๕๕๕๕ ไร้ความสามารถทำได้เลย
ไม่กล้าก็บอกมาตรงๆเลยอย่าแถอีก
ไอ้แถเรียกพ่อ ๕๕๕ ไอ้อ่อน ๕๕๕

เก่งแต่ปาก ไม่ต้องห่วงผมหรอก
ตายแล้วไปไหน มุขควายๆอย่างนี้
ใช้กับพี่ไม่ได้หรอกน้อง ไอ้ป๊อดดดด
ห่วงตัวเองเหอะว่าโง่แล้ว
ไร้ความสามารถทางจิตแล้ว
ทำไมยังเสือกอวดฉลาดอยู่ได้

คำพูดจะเป็นผลอยู่ที่กำลังจิตและ
บารมีที่สร้างมา. หน้าอย่างคุณน้อง
กรรมฐานปากอย่างน้อง
รู้จักเป่า มันคิดเอาไม่ได้นะ
ไอ้กรรมฐานควายๆแบบน้องนะหรือ ๕๕๕
ใช้กับพี่คงไม่ได้หรอกนะมุขนี้ ๕๕๕
พี่ถึงท้าอยู่นี่ไง กล้าเป่า ไอ้โม้หลวง

ทำไม่ได้ยอมรับมาตรงๆ
น้องโม้ทับไง เลยท้าเฉพาะน้อง
ทำเป็นพูดเรื่องสติ ควายมากบอกตรงๆ
สภาวะพื้นฐานยังตอบไม่ได้
สะเออะแนะเรื่องสติอีกแระ
โม้ได้ทุกเรื่องจริงๆ ๕๕๕

ถามจริงโง่จริงๆหรือเป่า
ถ้าโง่จริงจะได้เข้าใจไว้
ไปกินหญ้าไป๊ขี้เกียจคุยแระ
ไอ้ขี้โม้ระดับจักรวาล โม้ทุกเรื่อง
แต่ความสามารถแค่หางอึ่ง
เก่งจริงเหมือนโม้
รับคำท้าซิครับ
เห่าหอนอยู่ได้ ๕๕๕

 

ก็จะเห็นว่า เหนือความคิด มันก็มี อะไรบางอย่าง ทำงานอยู่

ยังมีอยู่นะ แต่บัญญัติไม่ได้ ถ้าจะ บัญญัติเมื่อไหร่ ต้องไปยืม
"พวงดอกไม้ของมาร" มาใช้

ดังนั้น

ฟังธรรม ฟังธรรม

คนที่ฟังเป็นจริงๆ จะไม่ใช้ อายตนะ6 ถ้ายังใช้อยู่ ก็จะจัดว่า โหลยโถ้ย !!

ข้างในเนี่ยะ อย่าคิดว่าหมด

ยังมีอีกหลายชั้น ขยับเขยิ๊บได้ ยังเป็น "กอง(ทำงาน)" ยังเป็น ขันธ์

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า มรรค ทีสองส่วน ส่วนที่เป็น สาสวะ ก็เป็น
ส่วนตบแต่งขันธ์ แล้วอีกส่วน จะเป็น อนาสวะ ไม่ใช่การตบแต่ง
แต่ก็มีการทำงานเป็น"กอง"

ทีนี้ อนาสวะแล้ว ไม่ใช่แค่นี้ ตรงนี้ ยังต้อง บึ๊ดจั๊บบึ๊ดกันต่อ กว่าจะ
พาดกระแส มันใจได้ว่าเป็น บุคคล4คู่ ก็ยังต้องเพียรกันต่อ ซึ่ง
จะมี ปฐมฌาณ(หลวงพ่อพุธ เรียก จุดนัดหมาย) เป็นของเล่นให้
ชื้นใจ( กามสัญญารำงับ -- สุญญตาก็เรียก) [ แต่ตรงนี้ ตามตำรา
จริงๆจะหมายกันที่ ปิติ ซึ่งอรรถกถา ก็แปลไป ฌาณ3 -- แต่โดย
พฤตินัย แค่ พ้นกามสัญญา แค่นี้ก็ บันเทิง ปราโมทย์ โชย แล้ว ]

ไม่อย่างนั้น จะเป็นทางแยกไปทาง ปัจเจกภูมิ พุทธภูมิ
หรือไม่ก็ คนประมาท(ขาดวิหารธรรม เสร็จทุกราย)

ต้อง ทำโพชฌงค์ ให้แทงไปถึง สัมโพชฌงค์ ถึงจะมั่นใจได้
ว่า "เพื่อวิชา และ วิมุตติบริบูรณ์" ในชาตินี้ หรือ ไม่เกิน7ชาติ

 

นี่พูดจริงๆ ไม่กลัวหรอกหรือครับ ตายไปจะไปเป็นไก่ชน
พอเวลาใกล้จะตาย จิตมันจะไปเกาะกับภาพเดิมๆ ทีนี้มันจะมีไก่ชนมาล่อทางนิมิต
จิตเดิมที่เคย ท้าตี ท้าพนัน มันก็วิ่งเข้าหาไก่ชนเลย
พอดับจิต มันก็ไปโผล่ในไข่ไก่ โตขึ้นมาก็ถูกเอาไปตีไก่ ต่อไป
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เอาเหรอ

ระวังอุปนิสัย ชอบท้าตี ท้าแข่ง ท้าพนัน นี่หละไปแบบนี้หละไม่ต้องสงสัย

 

อีกนัยหนึ่ง

คือ มันก็ยากนะ ว่า สลดหดหู่ ที่กล่าวมาเป็นยังไง อาศัย คำพูด
ก็จำต้องเหวี่ยงแห

ถ้าสงบ สงัด แล้วเห็น " สภาวะธรรมหดหู่ " ปรากฏ โดยที่ ไม่ได้
รู้สึกว่า ตนหดหู่ ไม่ได้ ฉวยขึ้นมาเป็นตน อันนี้ จะอีกเรื่องเลยนะ

ความอาลัยอาวรณ์ก็เหมือนกัน หาก มันกลายเป็น สิ่งถูกรู้ถูกดู
นี้จะอีกเรื่องนึง

แล้วถ้า สังเกตดีๆ บางที อารมณ์แบบนี้ บางคนก็เห็นตั้งแต่เด็ก
ตอน 7ขวบขึ้นมา บ้างก็ 12 มันจะเป็นจิตที่ ถอยออกมาจากโลก
ต่อให้โลกมีงานสังสรรรื่นเริง จิตมันจะแสดง สภาวะหดหู่ ขึ้นมา
กำหนดรู้ แล้วเหมือน คนหาบ้านไม่เจอ

ตรงเนี่ยะ ถ้ากำหนดรู้ดีๆ จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่ว่า งานเลี้ยงเลิก
ก็หายไป แต่ จริงๆ มันมีตลอด สามารถยกขึ้นมาเห็นได้ตลอด
แต่ มันจะรู้สึกว่า ไม่รู้เอาไปทำอะไร

จริงๆ ก็ไม่ได้เอาไว้ทำอะไร

เขาเอาไว้ให้เห็นว่า แม้น ความคิดใดๆที่ออกมาจากจิตตน ก็ล้วน
แต่เชื่อไม่ได้ !!

เพราะอะไร ?

".............." ติ๊ง จบ ซะงั้น...........................มันสสสส์

 

คุณ รโชหรณัง น่าจะระดับโปรแล้ว งั้นคุณช่วยดูมาที่ผมหน่อยว่าระดับสมาธิผมเท่าไหร่ ผมน่าจะประกอบอาชีพอะไร รูปร่างลักษณะเป็นยังไง ง่ายๆแค่นี้คงตอบได้ครับ อยากรู้ว่าของจริงหรือแค่พวกขี้โม้ ยกตนข่มท่าน เพราะอยากรู้จริง ๆ ว่าแน่จริงหรือเปล่า

ปล.ผมลองท้าคุณนพกานต์ เขาสามารถทำได้และผมก็ยอมรับ ...แต่ผมแค่สงสัยว่าคุณทำได้จริงไหม นี้แค่ง่าย ๆ นะครับ ไม่ต้องรีบตอบนะ ทรงฌานดี ๆ แล้วค่อย ๆ ตอบครับ ผิดถูกไม่เป็นไร แค่ขำ ๆ นะครับ อย่าคิดมาก

 

ถ้าคุณ นพกานต์ ทำได้แบบนั้นและคุณยอมรับ แล้วชีวิตคุณดีขึ้นด้วยเรื่องแบบนั้น
ก็ไม่ต้องถามผมต่อหรอกครับ ผมทำไม่ได้หรอกครับ เรื่องที่จะไปดูว่าใครเป็นอย่างไร
ผมบอกได้แต่ว่า คุณควรต้องรู้จักตัวเองอย่างไร ตามหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาครับ

 

เหรอสำเร็จวิชามโนมนึกทึกทักเดา
มั่วสญาน มาเหรอครับ ๕๕๕
เก่งจังเลยเนาะ ถ้าเก่งขนาดที่มโนฯนี้
และ ถ้าไม่กลัวแล้วทำไม่ไม่กล้า
รับคำท้าหละ ๕๕๕
กลัวคนเห็นหนังหน้าเป็นๆ
ไอ้ขี้โม้ รโชหรณัง หรืออออ ๕๕๕

อ่อ
พนัน แปลว่า เล่นเอาเงินหรือสิ่งอื่นฯลฯ
ไอ้เบื้อก
ไปเปิดตำราดูไป๊

ไอ้นี่แสดงว่าโง่จริงๆวะ
ท้าแสดงความสามารถ ๕๕๕
บ้านป้าน้องเรียกท้าพนันหรือ
ขำระดับ ควายเรียกพี่
สำหรับมุข ไก่ชนกับ พนันที่มันเข้าใจ
และพยามยามโม้ให้ตนเองดูดี ๕๕
ความหมายแบบโง่ๆ
ขอบใจนะที่ช่วยปล่อยไก่
ทั้งเล้านะครับ. ๕๕๕

 

ไม่กลัวก็ไม่รู้จะเตือนอย่างไรหละครับ คุณ นพ ชนไก่
ก็ได้แต่ดูกันไปตาม ยถากรรม หละครับ