เรียนถามเรื่อง อรูปฌาน(อรูปสัญญา)

อรูปฌาน ก็คือ ฌาน ๔ โดยกำหนดเอาตัวในบทอรูปฌานเป็นอารมณ์..... กล่าวง่ายๆคือ เอากรรมฐานที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยรูปเป็นอารมณ์.....แต่ต้องตีกสิณให้ได้ก่อนที่จะทำตัวนี้นะ.....เข้ากสิณฌาน ๔ ถอยกำลังลงอุปจารสมาธิแล้วกำหนดอรูป....เข้าต่อฌาน ๔ ในอรูป......แล้วก็ถอยลงมาอุปจารสมาธิ....ตีตัวต่อไป(ไม่ต้องไปทรงกสิณตอนนี้ตัดกสิณไป..กสิณเป็นเบื้องฐานตัวแรก..ยึดเอาตัวที่ถอยจากอรูปนั่นต่อตัวต่อไปเลย...เหมือนหลวงพ่อท่านสอนไว้ข้างหน้าหนะ).....ทำอย่างนี้...จนจบอรูป ๔ ตัว......เมื่อครบ ๔ ตัวอย่างละเอียด....และคล่องจนเป็นวสี.....ถือว่าฝึกจบสมาบัติ ๘ ......ละเอียดสูงสุดในฝ่ายของสมถะภาวนา.......

จริงๆ...ดูเหมือนไม่ยากนะ....ไม่ยากสำหรับผู้ที่สำเร็จรูปฌานแล้ว.....อารมณ์ไม่ต่างกัน.....ต่างแต่กรรมฐานมีรูปและไม่มีรูป.....เท่านั้นเอง......ถ้าฝึกกสิณมาจะรู้ได้ง่ายเลยว่ากรรมฐานมีรูปเป็นอย่างไร...เพราะว่ากสิณมันใช้รูป......มันเห็นชัด.......

พูดให้ง่ายเข้าไปอีก....ก็คือ....คุณไปตีกสิณให้มันได้ก่อนสักกอง....ถ้าฉลาดหน่อยตีต่ออีก ๙ กอง.....ตีจบแล้วก็ตีต่ออรูปอีก ๔ กอง......อารมณ์มันก็อารมณ์เดียวกัน.....ณาน ๔ มันก็อารมณ์เดียวกันนั่นหละไม่ว่ากรรมฐานกองใหน....ก็ เอกกัตคัตตา กับ อุเบกขา......ถามว่าถ้าได้อานาก็อารมณ์เดียวกัน.....พูดไปอีกอย่างถ้าไม่คิดจะทำครบเพื่อเรียนรู้อะไรมาก....ไม่ต้องทำก็ได้...ทำกองเดียวพอ ฌาน ๔ ตีวิปัสสนา จบกิจ(สำหรับผู้ที่ต้องการจบ)........

ไปฟังในพระธรรมเทศนาหน้าแรกเรื่องอรูปหนะครับ.....ถ้าคุณสำเร็จรูปฌานแล้ว......ไปฟังท่านบอก.....เข้าใจง่ายปฏิบัติได้เลย.....

 

ทำได้แล้วใช้ให้เป็นนะคุณ.....ของมีในมือ.....ต้องรู้จักหัดที่จะใช้......

ไม่รู้จักหัดใช้ก็เป็นโทษได้....รู้จักใช้ได้ก็เป็นประโยชน์.....

 

ตอบ...คุณไปดูความเห็นที่หนึ่ง กับที่สาม ในกระทู้ที่ส่งมาให้นี้ มีอรูปฌาณ แฝงอยู่ในความเห็นนั้น...แต่ไม่มีคำอธิบายอื่นๆ ให้จ้า...

http://palungjit.org/threads/เป็นพระโสดาบันมานานเกินไปแล้ว.248818/

 

พระปักเจกพุทธเจ้า ต้องตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง ยังเป็นพระโสดาบันไม่ได้นะ (ขัดแย้งกันเอง)

 

ตอบ...ตรงนี้ท่านควรกลับไปอ่านกระทู้ใหม่จ้า..แล้วกลับมาแนะนำใหม่นะจ๊ะ...

 

ขอบพระคุณ ท่านอริยบุตร ที่ชี้ทาง
ขอบพระคุณ ท่านPhanudet ที่แนะแนว

แจ่มแจ้งแ้ล้วครับ

ต่อไปจะเล่าเพื่อแชร์ความรู้แก่ผู้ที่เพียรเรื่องอรูปฌาน แต่ไม่ได้มาทางกสิน

ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้ามาทาง อนาปานสติไม่ได้มาทางกสิน

เมื่อพอจะชำนาญในฌาน๔จึงเริ่มศึกษาอรูป

เมื่อเริ่มน้อมจิตเอากาอาศเป็นอารมณ์ ในครั้งแรกๆจึงไม่สามารถเข้า อรูปได้

สภาวะจึงกลายเป็น ฌา่น๔ ในกสินกอง อากาโส นั้นเป็นการตีกสิน

แต่ด้วยความที่พอจะชำนาญในฌาน๔ในระดับหนึ่ง จึงทำให้สามารถเข้าใจอรูปฌานในการปฎิบัติต่อจากครั้งนั้น

หลังจากได้ฟังฟังในพระธรรมเทศนาหน้าแรกเรื่องอรูป ก็เลยย้อนกลับไปตีกสิน
ทีนี้ เลยเข้าใจกสินทุกกองก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย

ข้อสำคัญ ขอยกคำกล่าวของท่านPhanudet "อารมณ์มันก็อารมณ์เดียวกัน.....ณาน ๔ มันก็อารมณ์เดียวกันนั่นหละไม่ว่ากรรมฐานกองใหน"

เพราะฉะนั้นถ้าพอจะชำนาญ ก็สามารถตีกสินทุกกองได้ และอรูปฌานก็ไม่ใช้ของยากถ้าเพียร

๘ปีที่ข้าพเจ้าพยายามเห็นผลวันนี้นี่เอง

ขอบพระคุณทุกท่านที่ชี้แนะครับ

 

ความจริงกรรมฐานมันไม่ได้ยากอะไรนะ....ขอให้จับหลักมันได้....จะเอามาไม้ใหนมันได้หมด....พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้มาก....ที่แท้ท่านก็สอนให้มันไปจุดเดียวกัน....อันนี้คือความอัศจรรย์ของจิต....และความอัศจรรย์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านทรงสอนได้อย่าง(ไม่รู้จะเอาอะไรมาเป็นคำพูดเพื่อบรรยาย..จะว่าสุดยอดมันก็น้อยไป..)......

เอานะท่านนะหลังจากนี้ไม่มียั้งกันหละ.....เต็มที่นะท่านนะ.....

โมทนาสาธุบุญ....ตั้งใจปฏิบัติครับ.....

 

อ้อ ถ้าไม่จริงนะ ก็โทดด้วย แต่คงไม่ได้ไปอ่านนะหลายหน้าอ่านไม่ไหว
และถ้าไม่ตรงกับ จริงนะ เพราะเราไม่รู้ว่า จริงจริงนะ ว่า จริงนะว่ายังไง
แต่ที่ว่าไปว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องตรัสรู้ด้วยตนเองก่อนเป็นโสดาบันนะ จริงนะ

 

โมทนาสาธุ.............

 

มีแอบฮาด้วยนะครับพี่ มันมีสุกมีดิบด้วยอะนะ ฮาก๊ากเลยอะ

 

หัวสูง ชัดเจนดี เด็ดให้ขาดนะพี่ จริตเหมือนกันเลยอะ ไม่รู้ทำไงถึงจะหายเหมือนกัน ผมก็นิสัยเสียตรงนี้เองแล่ะ

 

ชัด แชะ โช๊ะ เลยอะ

สาธุครับ

 

อืม...เอาเข้าไปนะเรา....

 

อนุโมทนาสาธุครับ...
คริ คริ...ยกขึ้นมาพิจารณา..
ขอบคุณครับ..

 

ชอบ ฌาน8 ครับ

ขอเข้ามาศึกษาด้วยคนครับ

 

[FONT=&quot]ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต[/FONT]​

[FONT=&quot]ปัญญาเป็นแสงสว่างให้โลก

[/FONT]

เรียนถามเรื่อง อรูปฌาน(อรูปสัญญา)
​

อรูปฌาณ แปลว่า ความเพ่งในสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่จิตจะกำหนดรู้ได้ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีรูป คือมีรูป แต่เป็นรูปละเอียด ที่จิตปัจจุบันกำหนดรู้ไม่ได้

อรูปสัญญา แปลว่า ไม่ใช่สิ่งที่จิตจะกำหนดรู้ในส่วนของความจำ แต่มีความจำ(สัญญา)ในอดีตอยู่ เป็นวิญญาณธาตุชนิดหนึ่ง เมื่อเพ่งอรูปนั้นได้ จะยังผลให้เกิดการระลึกชาติได้ ความรู้ต่างๆ ที่เคยสั่งสมไว้ ภพแล้วภพเล่า จะกลับมา เป็นต้น
​

​

 

..เอาแบบเริ่มฝึกใหม่ ไม่ง่ายๆ(ลองดู)

...แต่หากอาศัยของเก่า เริ่มจากทำใจให้เข้าถึง มโนมยิทธิ แล้วจับผลของอรูปฌาน ก็ได้เลย...

 

เรียน ท่านมีอายุทั้งหลาย

อันเราจะกล่าวนี้ เป็นเพียงแค่ข้อคิดเห็นของเรา อันที่จริงแล้วนั้นการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้น อรูปฌานนั้นหาใช่จำเป็นไม่ อันพระอรหันต์ ประเภท สุกขวิปัสสกะ นั้นท่านไม่ได้ฌานใด ๆ เลย เจริญแต่วิปัสสนายังถึงพร้อมอารมณ์พระนิพพาน เว้นสักแต่ว่าท่านผู้มีอายุทั้งหลายปราถณาในปฏิสัมภิทา ความเป็นจริงแล้วนั้นการทรงอารมณ์ในรูปฌานอย่างเชี่ยวชาญแล้วนั้น และยกขึ้นเพื่อวิปัสสนาเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเจริญอรูปฌาน อีกประการนึงการที่ได้อรูปฌานนั้นเมื่อภพนี้ไม่เสร็จกิจแล้วนั้นจักจะเกิดในอรูปพรหม 4 ขึ้นอยู่ว่าจะเจริญได้อรูปฌานลำดับใด ซึ่งอายุขัยในอรูปพรหมลำดับต่าง ๆ นั้น ถือว่าเยอะมากเลยที่เดียว อากาสานัญจายตนภูมิ อายุขัย 20,000 มหากัป วิญญาณัญจายตนภูมิ อายุขัย 40,000 มหากัป อกิญจัญญายตนภูมิ อายุขัย 60,000 มหากัป เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ อายุ 84,000 มหากัป อันเราเห็นว่าภพภูมิเหล่านี้ไม่ควรจักไปเกิด เพราะเหตุอย่างนี้ จะเป็นการเสียเวลาอย่างยิ่งหากท่านผู้มีอายุท่านใดได้ไปเกิดในภพภูมิทั้ง 4 นี้ คือ อากาสานัญจายตนภูมิ 1 วิญญาณัญจายตนภูมิ 1 อกิญจัญญายตนภูมิ 1 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ 1 เนื่องจากอรูปฌานทั้ง 4 นี้ จะจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์ อารมณ์แห่งการวางเฉย แล้วนั้น การที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ท่านผู้มีอายุทั้งหลายที่ได้ไปเกิดในภพภูมิทั้ง 4 นี้ ก็ได้หารู้ว่าไม่ว่ามีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมากี่พระองค์แล้ว ถึงรู้ก็ตามทีไม่อาจจะสดับธรรมที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแสดงได้ เนื่องจากท่านไม่มีรูป ไม่มีอายตนะทั้ง 6 คือ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็แสดงว่าไม่มีโสตทวาร เพื่อที่จะสดับพระธรรมที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแสดง จึงไม่อาจจะบรรลุมรรคผลนิพพานในภพภูมิทั้ง 4 นี้ได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรอหมดอายุขัยเพื่อจะมาเกิดในภูมิที่เป็นรูป ได้แก่ มนุษย์ภูมิ 1 เทวภูมิ 6 รูปพรหมภูมิ 16 เพื่อจะสดับพระธรรมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ต่อไป

อนุโมทนา ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผู้เจริญในธรรม ผู้ปฏิบัติในธรรม ผู้พิจารณาในธรรม ผู็มีความถึงพร้อมใธรรม อารมร์พระนิพพานจึงบังเกิดแก่ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย สาธุ

 

พออยากก็หลุดแล้วครับ

ทำไมพระองค์ท่านกล่าวว่า
สงบแล้วรออยู่
รออะไร
สังเกตุอย่างเดียวครับว่าหลังจากนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีก
จะเดินข้างหน้าถอยมาหลังอยู่ที่เดิม
แต่เกาะสติให้มั่นนะครับไม่หวั่นไหว

คือการปฎิบัติหรือไม่

หากเราสังเกตุแล้วจะรู้ด้วยตัวเราเองหรือไม่

สิ่งที่ควรทำนะครับ

หากเห็นใครไม่ใส่รองเท้าท่านถอดรองเท้าให้เขาไปเลยครับ
ท่านคงเริ่มอากาสนะ หรือมีโอกาสหรือว่างเปล่าคือเอกคตารมณ์แน่นอนครับ
ระวังคนทีบ้านไม่ซื้อให้ใส่อีกแล้วกันนะครับเพราะมีเมื่อไรถอดเมื่อนั้นไปเลยเพื่อทำบารมีให้เต็มที่
โลกนี้คงสว่างอารมณ์ไปเยอะ

ขอท่านเจริญในธรรมครับ

 

....ผมอยากเห็นคุณ bentagon มากเลยครับ

...ทำได้ถึงฌานสี่ นี้เป็นพระอรหันต์ชัดๆเลย ตามที่ผมเคยฟังจากพระไตรปิฏกนะ ขอเถอะครับ ขอเบอร์โทรด้วย จะไปหา ไกลสุดขอบฟ้าก็จะไปหา
...ถึงฌานสี่ มีธรรมเอกผุดขึ้น ก็คือเกิดญาณ เอาตัวญาณน้อมเป็นวิปัสสนาญาณ บรรลุเห็นๆ

....ขอเห็นตัวสักครั้งเถอะครับ อยากเห็นตัวท่านจริงๆ ถ้าเพ่งกระสิณซะหน่อย ก็เดินบนอากาศได้สบาย อย่าให้ผมผิดหวัง บอกที่อยู่มาจะไปหา