เรียนพระอภิธรรมกันเถอะค่ะ ปริยัติ และ ปฏิบัติไปด้วย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Mantalay, 12 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ร่วมโมทนาสาธุบุญด้วยนะครับ....

    ดีแล้วๆ....

    ไม่รู้ปริยัติ ใยรู้ปฏิปฏิบัติ ไม่รู้ปฏิบัติ ใยรู้ปฏิเวธ......
     
  2. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณแปะ และคุณPhanudet ด้วยค่ะ
    .....................................................................................................

    ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า "คนส่วนมากไม่รู้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาไม่รู้"
    เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจหลุดพ้นไปจากความไม่รู้ไปได้เลย
    เมื่อไหร่มี เขาเริ่มรับความจริงว่า ไม่รู้
    ย่อมทำให้หันมาสนใจใส่ใจศึกษาเพื่อออกจากความไม่รู้นั้น
    ..................................................................................................

    ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เคยกล่าวไว้ค่ะ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2011
  3. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    วันที่ 15 ก.พ. 2554 14:18
    ความคิดเห็นที่ 1

    [​IMG] <INPUT class=noborder type=checkbox align=middle value=1 name=c_sel[1]>


    ความจริง ธรรมแต่ละอย่างก็แตกต่างกันโดยลักษณะของธรรมนั้นๆ แต่เพราะเรา

    เพิ่งจะเริ่มอบรมปัญญา จึงยังไม่คุ้นเคยที่จะเห็นถูก ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างที่มีจริง

    ต่างกันโดยลักษณะเฉพาะของธรรมนั้นๆ ตายตัว และไม่ปะปนกับธรรมอื่น เพราะการ

    สะสมความยึดมั่นว่าสิ่งต่างๆ ที่มีจริงเป็นอัตตามานาน จึงทำให้ไม่ชินที่จะรู้ว่า ไม่มีเรา

    แต่มีธรรม และธรรมที่มีก็หลากหลายมาก เมื่อเริ่มฟัง เริ่มเข้าใจขึ้น ก็จะค่อยๆ เห็น

    ถูกในลักษณะของธรรมที่มีจริง ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆๆ เพิ่มขึ้น

    เช่น ฟังว่า เห็น เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งรูปารมณ์ (สิ่งที่เป็นอารมณ์ของจิตเห็น)

    สภาพเห็น เป็นนามธาตุ คือ ธาตุรู้ อาการรู้ ขณะนี้ก็มีเห็น เริ่มฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจสิ่ง

    ที่ได้ฟัง แต่ยังไม่รู้จักเห็นตามความเป็นจริง ส่วน
    รูปารมณ์ เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    (และปรากฏทางใจซึ่งรับรู้ต่อจากทางตาได้)
    ฟังว่า รูปารมณ์เป็นรูปธาตุ คือ สิ่งที่มี

    จริงแต่ไม่รู้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ขณะนี้ก็กำลังมีรูปารมณ์ แต่ก็ยังไม่เข้าถึงลักษณะ

    ของสิ่งนั้นเช่นกัน ต่อเมื่อฟังไป พิจารณาไป เมื่อเข้าใจขึ้นๆๆ จนเป็นปัจจัยปรุงแต่ง

    ให้สติสัมปชัญญะระลึกรู้ตรงเห็น ขณะนั้นปัญญาก็ศึกษาสภาพเห็นที่ปรากฏชั่วขณะ

    แล้วปัญญาก็ดับไป เมื่อมีปัจจัยอีก สติสัมปชัญญะก็เกิด ระลึกรู้ตรงสภาพของรูป

    ปัญญาก็ศึกษารูปที่ปรากฏชั่วขณะ แล้วปัญญาก็ดับไปอีก โดยความเป็นอนัตตาของ

    สติสัมปชัญญะที่เกิดโดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าจะระลึกธรรมใด อาจจะไม่ใช่การระลึกรู้

    สภาพเห็น หรือ สภาพรูปก็ได้ แล้วแต่ว่าสภาพธรรมใดจะปรากฏ เมื่อสติสัมปชัญญะ

    เกิด สติสัมปชัญญะก็ระลึกศึกษาในสภาพธรรมที่ปรากฏนั้นครับ

    แต่นี่เป็นเพียงขั้นการอบรม ยังไม่ใช่ขั้นที่เห็นแจ้งในลักษณะของนาม-รูป ที่ต่าง

    กันโดยชัดเจนทันที ยังจะต้องสะสมปัญญาต่อไปอีกมาก ...อีกยาวนานมาก เพราะ

    ปกติก็หลงลืมสติกันมากอยู่แล้ว เมื่อมีปัจจัยให้ระลึกได้ ระลึกได้นิดนึง แล้วก็ดับไป

    แล้วก็มีปัจจัยให้หลงลืมสติทันที เพราะเราสะสมอกุศลมามาก จึงต้องพึ่งการฟังพระ-

    ธรรม อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ อย่างมั่นคง โดยไม่ถูกความต้องการจูงไปในหนทางที่ผิด

    อบรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกาลที่จะประจักษ์แจ้งความต่างกันโดยชัดเจนของนาม-รูป

    ที่ปรากฏ โดยไม่ใช่เพียงขั้นฟังแล้วคิดว่าต่างกัน แต่จะต้องรู้ชัดโดยปัญญาขั้นวิปัสสนา-

    ญาณ ที่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกันโดยการประจักษ์จริงๆ ครับ

    ซึ่งวิปัสสนาญาณนั้น เป็นผลที่จะต้องมาจากการอบรมเหตุ คือ ความเข้าใจ

    ถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จนเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ก่อน อย่า

    พึ่งใจร้อน อยากจะรู้ความแยกกันของนาม-รูปใด นาม-รูปหนึ่งครับ ไม่ลืมว่าทั้งหมดเป็น

    หน้าที่ของธรรม ไม่ลืมว่าเป็นอนัตตา ทำไม่ได้ แต่อบรมปัญญาให้เข้าใจธรรมได้ ธรรม

    ที่จะรู้ชัดความจริงของนาม-รูปได้ตามลำดับ ก็คือ ปัญญา เท่านั้นครับ


    จาก...เวปบ้านธัมมะ[​IMG]
     
  4. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ขออนุโมทนากับ จขกท. ด้วยครับ เริ่มดีจบดีแม้ว่าตอนกลางจะแปล่งๆไปหน่อยเพราะมีคนเกิดอาการหลุดๆบ้างก็นะ ก็อย่างว่าปฏิฆะจะตัดได้ขาดก็ต้องอนาคามีแล้ว สาธุ สาธุ
     
  5. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    ขอขอบพระคุณค่ะ ทุกๆท่านที่เป็นกำลังใจให้ค่ะ
     
  6. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    เรื่อง ... เข้าใจอย่างไรจึงจะเป็นบารมี

    ประณีต จากหนังสือเรื่องบารมี ๑๐ ในชีวิตประจำวัน อ่านแล้ว มีความรู้สึก
    เหมือนกับว่า ให้มีตัวเราที่จะไปปฏิบัติ สร้างบารมีเหล่านั้นล่ะค่ะ จริงๆ

    เราควรจะเข้าใจ อย่างไรคะ
    ท่านอาจารย์ ควรจะเข้าใจอย่างไร ....ถ้าได้ยินคำว่า “ละชั่ว” เข้าใจอย่างไร

    ประณีต คือให้ลดน้อยลง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ปัญญาที่เห็นโทษของชั่ว จึงสามารถที่จะละได้หรือคะ ?

    ประณีต คือหมายถึงว่า ....ถ้าเห็นโทษ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ จะละชั่วได้ไหม ? .....ไม่ได้ค่ะ
    เพียงแต่ได้ยินคำว่า “ละชั่ว” เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินคำว่า “บารมี”

    ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีปัญญาเลย แล้วจะเป็นบารมีได้อย่างไร “ต้องมี

    ความเห็นถูก ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จึงจะเป็นบารมี

    บารมี ๑๐ เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดดับกิเลสให้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉท เป็นลำดับขั้น จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่ากุศลใดเป็นบารมี และกุศลใดไม่ใช่บารมี

    อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์.....จากบ้านธัมมะ
     
  7. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ทำไมการกล่าวว่าพระธรรมยาก
    จึงเป็นการสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า

    ท่านผู้ถาม ...พวกเรามักจะพูดว่าพระธรรมยากมาก และท่านอาจารย์
    สุจินต์ ท่านก็รับรองว่า นั่นเป็นการสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า

    กระผมขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า " ทำไมการกล่าวว่าพระ-

    ธรรมยาก จึงเป็นการสรรเสริญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-

    พุทธเจ้าครับ ?

    ท่านอาจารย์ ถ้าพระธรรมง่าย ก็คงไม่ต้องอาศัยพระปัญญาคุณของ
    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าใครๆ ก็ย่อมสามารถที่จะ

    เข้าใจสภาพธรรมได้เอง แต่สภาพธรรมแม้ที่กำลังมีในขณะนี้

    นะคะ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่า

    เป็นเรา ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบ

    สัมผัส คิดนึก ตั้งแต่เกิดจนตายเนี่ยค่ะ ก็เป็นเราทั้งนั้น มอง

    หาธรรมไม่เจอ ว่าธรรมอยู่ที่ไหน

    ต่อเมื่อใดที่ได้ฟังแล้วนะคะ ก็ไม่ต้องหาธรรมเลยค่ะ

    เพราะว่าไม่มีวันพ้นจากธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น

    การที่จะรู้ว่าเป็นธรรมเนี่ยค่ะ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหตุว่า ถ้า

    เป็นธรรม ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอีกต่อไป

    แต่ต้องเป็นสภาพธรรมที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะธรรมนั้นๆ ซึ่งไม่

    อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วก็สิ่งใดก็ตามนะคะ ที่

    ปรากฏ ถ้าคิดให้ลึกๆ ให้ถูกต้อง ก็ต้องเข้าใจถูกได้ว่า สิ่งที่

    ปรากฏเนี่ยค่ะ ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้น จะไม่มีอะไรปรากฏเลย

    ......ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย เราก็ใช้คำว่า "เกิด" อยู่

    แล้วใช่ไหมค่ะ ตั้งแต่เกิด หมายความว่าต้องมีการเกิด แต่เกิด

    ด้วยความไม่รู้ ว่าเกิดคืออะไรเกิด ? เมื่อไม่รู้ ก็ยึดถือสภาพธรรม

    ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมดว่าเป็นเรา พอเกิดมาก็เห็น แต่ถ้า

    คนตาบอดก็ไม่เห็นนะคะ

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าถ้าพิจารณาไตร่ตรองจริงๆ เนี่ย

    ค่ะ ก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของธรรม

    แต่ก็ไม่มีใครไตร่ตรองในลักษณะนี้นะคะ จนกว่าจะได้ฟัง

    พระธรรม เพราะฉะนั้น กว่าจะได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง

    ของสภาพธรรมที่มีการเกิดขึ้น มีการปรากฏ แล้วก็ดับไป ก็ต้อง

    เป็นการฟังด้วยการพิจารณาจริงๆ นะคะ จึงจะสามารถรู้ในพระคุณ

    ที่ได้ทรงประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ถึงความเป็นพระ-

    อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด โดย

    นัยประการต่างๆ ๔๕ พรรษา เพราะว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครเพียงฟัง

    เดี๋ยวนี้นะคะ อย่างที่ได้ฟัง แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ฟัง

    แล้วก็ต้องฟังอีกค่ะ แล้วก็ต้องมีการพิจารณาไตร่ตรอง จนกระทั่ง

    สามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมได้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องยากแน่นอน ไม่ใช่เรื่องที่เพียง

    ฟังวันนี้ แล้วทุกคนก็จะเห็นว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เราอีกต่อไป


    โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
    บ้านธัมมะ
     
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    เรียนพระอภิธรรมกันเถอะค่ะ ปริยัติ และ ปฏิบัติไปด้วย

    เห็นด้วยมาก ๆ กับเจ้าของกระทู้นะคะ ...

    เราควรศึกษาธรรมะด้วยตนเองให้รู้แจ้งถ่องแท้ มีความรู้เป็นพื้นฐาน และปฏิบัติไปด้วย หากเรามีบุญบารมีที่จะได้รู้แจ้งอย่างแท้จริง ได้พบครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จะทำให้เราเกิดปิ๊งในสติปัญญาที่ได้เรียนรู้มา ทำให้เราเข้าถึงได้อย่างถูกต้อง

    คนส่วนใหญ่..มักมองว่าการเรียนธรรมะเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลีและภาษาธรรม ยอมรับว่า หากไม่ตั้งใจจริง ๆ ก็ยากที่ศึกษาค่ะ จึงมักจะหันหาวิธีลัด ให้ครูบาอาจารย์แนะนำ จึงได้มีพระสงฆ์ผู้สืบทอดพระศาสนาสั่งสอน เราก็รู้ตามที่ท่านรู้นั่นแหละค่ะ ได้น้อย..ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ในชีวิตนี้นะคะ
     
  9. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ช. กล่าวโดยชื่อ คือ นามแห่งคุณของนิพพาน มีตั้ง ๑00 กว่าชื่อ เพียงแต่ชื่อของนิพพาน ก็พอที่จะทำให้ทราบความ หมายแห่งนิพพานด้วย ดังนั้นจึงขอยกมากล่าวสัก ๓0 ชื่อ คือ
    ๑. อเสสวิราคนิโรโธ เป็นธรรมที่ ดับทุกข์โดยพ้นจากราคะไม่มีเศษเหลือ
    ๒. อเสสภวนิโรโธ เป็นธรรมที่ ดับภพไม่มีเศษเหลือ


    <HR width="100%">หน้า ๑๓๑

    ๓. จาโค เป็นธรรมที่ สละจากตัณหาทั้งปวง
    ๔. ปฏินิสฺสคฺโค เป็นธรรมที่ พ้นจากภพต่างๆ
    ๕. มุตฺติ เป็นธรรมที่ พ้นจากกิเลส
    ๖. อนาลโย เป็นธรรมที่ ไม่มีความอาลัย
    ๗. ราคกฺขโย เป็นธรรมที่ สิ้นราคะ
    ๘. โทสกฺขโย เป็นธรรมที่ สิ้นโทสะ
    ๙. โมหกฺขโย เป็นธรรมที่ สิ้นโมหะ
    ๑0. ตณฺหกฺขโย เป็นธรรมที่ สิ้นตัณหา
    ๑๑. อนุปฺปาโท เป็นธรรมที่ ดับขันธ์ ๕
    ๑๒. อปวตฺตํ เป็นธรรมที่ ดับรูปนาม
    ๑๓. อนิมิตฺตํ เป็นธรรมที่ ไม่มีสังขารนิมิต
    ๑๔. อปฺปณิหิตํ เป็นธรรมที่ ปราศจากความต้องการ
    ๑๕. สุญฺญตํ เป็นธรรมที่ สูญสิ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง
    ๑๖. อปฺปฏิสนฺธิ เป็นธรรมที่ ไม่ปฏิสนธิอีก
    ๑๗. อนุปฺปตฺติ เป็นธรรมที่ ไม่อุบัติต่อไป
    ๑๘. อนายูหนํ เป็นธรรมที่ ไม่มีความพยายามอีกแล้ว
    ๑๙. อชาตํ เป็นธรรมที่ ไม่มีความเกิด
    ๒0. อชรํ เป็นธรรมที่ ไม่มีความแก่


    <HR width="100%">หน้า ๑๓๒

    ๒๑. อพยาธิ เป็นธรรมที่ ไม่มีความเจ็บป่วย
    ๒๒. อคติ เป็นธรรมที่ ไม่มีที่ไป
    ๒๓. อมตํ เป็นธรรมที่ ไม่มีความตาย
    ๒๔. อโสกํ เป็นธรรมที่ ไม่มีความโศกเศร้า
    ๒๕. อปริเทว เป็นธรรมที่ ไม่มีการร้องไห้
    ๒๖. อนุปายาส เป็นธรรมที่ ไม่มีการรำพันพร่ำบ่น
    ๒๗. อสงฺกิลีฏฺฐ เป็นธรรมที่ ไม่มีความเศร้าหมอง
    ๒๘. อสงฺขตํ เป็นธรรมที่ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
    ๒๙. นิวานํ เป็นธรรมที่ พ้นจากเครื่องร้อยรัด
    ๓0. สนฺติ เป็นธรรมที่ สงบสุขจากทุกข์ทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ไม่เห็นใครกล่าว อคิติเป็นนิพานเลย
    แม้หาความหมายมายืนยัน
    ผู้รู้ท่านก็ไม่กล่าวอย่างนั้น

    ไม่ต่างกรณีนิพพานเป็นอัตตา
    นิพพานก็นิพพาน ต้องมีอัตตา อนัตตาด้วยหรอ อาแปะ
     
  11. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ผู้รู้คนไหนจะกล่าวแบบไหน
    ผู้ไม่ค่อยรู้แบบอาแปะ จะกล่าวแบบนี้
    แบบนี้ แบบไหน
    แบบนี้.....หากไม่ผิด.......แล้วละก็
    อ่านแล้วไม่ชอบใจ จงควักลูกตาออกซะ
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=GYJ-eVDH6OE&feature=player_embedded]YouTube - ピタゴラスイッチ Pythagoraswitch, algorthim march,[/ame]
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    น้องมันดาเล เชื่อพี่ไหมมีพระอริยะหลายท่าน
    ที่ไม่เข้าใจสภาวะธรรมที่เป็นไป เช่นนั้นหลาย
    ท่านยังต้องกลับมาเรียนพระอภิธรรมเพื่อเอาไว้
    สอนชาวบ้าน เพราะในขณะที่ปฎิบัติไปเป็นเพียง
    สภาวะธรรมที่เกิด ไม่มีตัวอักษรแสดงไว้ว่าเรียกว่าอะไร
    แต่จิตรู้เข้าใจในความเป็นธรรมขั้นปรมัตถธรรม
    คือ ธรรมชาติที่เป็นความจริงแท้แน่นอน ที่ดำรงลักษณะเฉพาะของตนไว้โดย
    ไม่ผันแปรเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมที่ปฏิเสธความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคล Mantalay
     
  14. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    เมตตา

    วันที่ 20 ก.พ. 2554 22:00

    ทางลัด ไม่มี




    เส้นทางลัด....คือทางหลง

    พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา มีความละเอียดลึก

    ซึ้ง เห็นได้ยาก และที่สำคัญแสดงถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ที่ไม่เคยรู้มา

    ก่อนเลยว่าเป็นธรรม การที่จะเข้าใจธรรมได้นั้น ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษา

    พระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับ และจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการ

    อบรมเจริญปัญญา สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ขึ้นชื่อว่าชาวพุทธแล้ว ต้องเป็นผู้

    ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

    แสดง จะไปหาทางลัด ด้วยการไปทำอะไรที่ผิดปกติ ไปปฏิบัติผิดด้วยความเป็น

    ตัวตนมีความจดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ความจริง เพราะทางลัด

    เป็นทางหรือวิธีของความไม่รู้ เป็นความเห็นผิด ถ้าดำเนินตามทางที่ผิด ซึ่งเริ่ม

    ด้วยความเห็นผิด โดยมีความไม่รู้เป็นประธาน ทุกอย่างก็ย่อมผิดทั้งหมด ทั้งความ

    ตรึกนึกคิด ความเพียร เป็นต้น ผิดทั้งหมด กล่าวโดยสรุป คือ ผิดทั้งทางกาย

    ทางวาจา และทางใจ ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาเลย
    หนทางหรือปฏิปทา ที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา(ความเข้าใจถูก

    เห็นถูก) มีทางเดียวเท่านั้น คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อสะสมปัญญา

    จากการฟังธรรมในแต่ละครั้ง ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ เนือง ๆ

    โดยไม่ขาดการฟัง ก็จะเป็นปัจจัยให้สติปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของ

    สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ โดยสภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจ

    หน้าที่ ซึ่งไม่มีตัวตนที่ไปทำหรือไปปฏิบัติเลย เพราะเป็นกิจหน้าที่ของธรรม ไม่ใช่

    เรา และเมื่อสะสมปัญญามากขึ้น คมกล้าขึ้น ในที่สุดก็จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ด้วยหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา นี้เท่านั้นจริง ๆ

    ไม่มีทางอื่น ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก็ดำเนินตามทางนี้มา

    แล้ว จึงบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้

    ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า พระธรรม ต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความละเอียด

    รอบคอบ จึงจะเข้าใจ เพราะทางลัดหรือวิธีลัด ไม่มีในพระพุทธศาสนา

    ดังธรรมวาทะที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้ว่า “ทางลัด ไม่มี

    เพราะทางลัด เป็นเรื่องไม่รู้ แต่ความรู้(ปัญญา) ไม่ลัด” เพื่อความเป็นผู้ไม่

    ประมาทในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป.

    ทางสายเอกมีหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่มีหนทางอื่น

    หน
    ทางอื่นเป็นหนทางที่จะพาไปหลง ไม่ใช่ทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แต่

    เป็นทางที่คิดกันเอาเอง

    khampan.a

    วันที่ 19 ก.พ. 2554 21:46


    ทางอื่น ไม่มี [คาถาธรรมบท]




    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๓ - หน้าที่ ๙๙

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระคาถานี้ว่า

    “ทางนี้เท่านั้น (คือ มรรคมีองค์ ๘) เพื่อความหมดจดแห่งทัสสนะ(คือมรรคและผล)

    ทางอื่น ไม่มี, เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย จงดำเนินตามทางนี้ เพราะทางนี้

    เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง, ด้วยว่า ท่านทั้งหลาย ดำเนินไปตามทางนี้แล้ว

    จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้; เราทราบทางเป็นที่สลัดลูกศร(คือกิเลส) แล้ว จึงบอกแก่

    ท่านทั้งหลาย, ท่านทั้งหลาย พึงทำความเพียรเครื่องเผากิเลส, พระตถาคตทั้งหลาย

    เป็นแต่ผู้บอก, ชนทั้งหลายผู้ดำเนินไปแล้ว มีปกติเพ่งพินิจอยู่ ย่อมหลุดพ้นจาก

    เครื่องผูกของมาร(กล่าวคือ วัฏฏะ)”

    (จาก ... พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)




    ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

    จาก...บ้านธัมมะ
     
  15. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ปริยัติแค่ไหน จึงจะปฏิบัติ


    คำถาม ปริยัติเป็นเรื่องจำเป็นในการที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องได้ผล แล้วจะปริยัติมากน้อยแค่ไหนจึง

    จะสมควรไปปฏิบัติ หากเอาแต่ปริยัติแล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร? ขอคำตอบที่ถูกต้องครับ
    ..........................................................​

    chaiyut

    วันที่ 23 พ.ย. 2553 10:17

    ความคิดเห็นที่ 1




    ควรทราบครับว่า ปริยัติคืออะไร ปริยัติคือการศึกษาพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค

    ทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพื่อเกื้อกูลให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง รู้ความจริงโดยรอบ

    ในสิ่งที่มีเป็นปกติในชีวิตประจำวันทางตา หู .......กาย ใจ รู้ตาม เห็นตาม ด้วยความ

    เข้าใจที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง ไม่ใช่จะไปรู้อะไรอื่นที่ไม่จริง แต่กว่าจะรู้ได้ ก็ต้อง

    อาศัยการฟัง การศึกษาให้เข้าใจธรรมะที่ทรงแสดงตามลำดับขั้น เพราะปัญญาจะเจริญ

    ข้ามขั้นทันทีไม่ได้ครับ
    ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ก็จะไม่มีใครทราบความจริงของธรรมอันลึกซึ้งที่

    ทรงแสดงไว้ ฉะนั้น ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น พุทธสาวก ซึ่ง "พุทธ" หมายถึง ผู้รู้ด้วยปัญญา

    ส่วน สาวก มาจากคำว่า "สาวโก" หมายถึง ผู้ฟัง จึงควรฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ เพื่อรู้

    ถูก เห็นถูก จนเป็นปัญญาของตนเอง ไม่ใช่การไม่ฟังแล้วไปหาทางเอง ไม่ใช่การฟัง

    นิดเดียว แล้วคิดว่าเข้าใจหมดแล้ว แล้วก็ไปหาทางพากเพียรปฏิบัติธรรมเอง แต่หาก

    สิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่สอดคล้องกับธรรมทั้งหมดที่แสดงไว้ อย่างนี้ก็ยังไม่ใช่พุทธสาวก

    แต่ผู้ที่เป็นสาวกที่ดี ควรฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ฟังแล้ว

    พิจารณาตาม ถึงเหตุผลอันละเอียดลึกซึ้งของพระธรรม เพื่ออย่างเดียว คือ เพื่ออบรม

    ปัญญา เพราะปริยัติที่ศึกษาด้วยดีและรอบคอบ ย่อมทำให้เกิดปัญญาที่จะเกื้อกูลต่อ

    การน้อมประพฤติปฏิบัติตามในกุศลประการต่างๆ ได้
    ขอแนะนำให้ฟังธรรมที่ถูกต้องต่อไปเรื่อยๆ ความเข้าใจจากการฟังจะน้อมใจ

    ให้ค่อยๆ เห็นประโยชน์ของสิ่งที่ได้ฟัง และจะทำให้ค่อยๆ น้อมประพฤติปฏิบัติตาม

    ทีละเล็กทีละน้อยได้ ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตามที่กะเกณฑ์หรือตามต้องการ เพราะ

    ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา จึงไม่ควรคำนึงถึงความมาก-น้อย หรือ ระยะเวลาของการ

    เรียนปริยัติว่าเท่านี้ หรือเท่านั้น หรือเท่าไรจึงจะสมควรปฏิบัติ เพราะทั้งหมดไม่ใช่

    ว่าเราจะทำอะไรได้ตามใจชอบ แต่เป็นเรื่องของปัญญา ที่เมื่อเข้าใจธรรมมากขึ้นแล้ว

    จะเจริญขึ้นตามลำดับขั้น
    ปริยัติที่ถูกต้อง ย่อมนำไปสู่ปฏิบัติที่ถูกต้อง
    ปฏิบัติที่ถูกต้อง ย่อมนำไปสู่ปฏิเวธที่ถูกต้อง(รู้แจ้งอริยสัจธรรม)

    แต่เป็นเรื่องไม่ง่าย , ไม่เร็ว และเป็นเรื่องที่สวนทางกับความต้องการ เพราะยิ่ง

    ต้องการผลเร็วๆ ก็ยิ่งช้า ควรเจริญเหตุ คือ การอบรมปัญญา เห็นประโยชน์ของพระ-

    ธรรมที่หาฟังได้โดยยาก แล้วตั้งใจศึกษาพระธรรมต่อไป ไม่ท้อถอย มีความอดทน

    พากเพียร ไม่ละทิ้ง และไม่ประมาทแม้ปัญญาที่เข้าใจขั้นปริยัติ เพราะพระอริยสาวก

    ทั้งหลาย กว่าที่ท่านจะบรรลุธรรมะได้ ท่านก็ผ่านการเรียนปริยัติ และได้ปฏิบัติตามที่รู้

    ในขั้นปริยัติมานาน เป็นแสนกัปป์ เป็นอสงไขยก็มี นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าการศึกษา

    ปริยัติที่ถูกต้อง ย่อมจะนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้แน่นอนครับ
    ขอเชิญคลิกอ่าน >>> • ความหมายของคำว่า ปริยัติ ตามรากศัพท์บาลี
    การอบรมเจริญปัญญาขาดปริยัติไม่ได้ ไม่ใช่จะไปปฏิบัติเลย
    ปฏิบัติ

    จาก...บ้านธัมมะ
     
  16. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ก่อนจะหาทางพ้นทุก ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง

    ถามใจตัวเองว่า เราทำไม่เรียนไม่จบไม่สิ้น

    มีทางใดบ้างที่จะให้เรียนจบแล้วไม่ต้องกลับมาเวียน

    ว่ายตายเกิดอีก คำตอบขณะนั้น ออกบวช
     
  17. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
  18. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คนเข้าถึงธรรม ก็อธิบายธรรมได้
    แต่เป็นภาษาของตน

    แต่จะให้กระจ่างแจ้ง ครอบคลุม สวยงาม
    ราวปิดของคว่ำให้หงาย
    อย่างพระสัพพัญญูเจ้า นี่ไม่มี

    คนถึงธรรมหลายท่าน ก็กลับมาศึกษาปริยัติ
    เพื่อความเข้าใจในอรรถในธรรมมากขึ้น
    (ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับทุกข์ที่ทำลายไป)
     
  19. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรม มีมากมายหลายประการ แต่ที่สำคัญพอสรุปได้ดังนี้<O:p</O:p
    ๑. ศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา เพราะพระอภิธรรม เกิดจากสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า การเข้าถึงพระอภิธรรม จึงเท่ากับการเข้าถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง<O:p</O:p
    ๒. การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือการศึกษาธรรมชาติการทำงานของ กาย และ ใจ ซึ่งเป็นธรรมชาติซึ่งอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายเท่าที่เกิดได้ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องจิต เจตสิก เรื่องวิถีจิต เรื่องกรรม และการส่งผลของกรรม เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องสัตว์ในภพภูมิต่างๆ และกลไกการทำงานของกิเลส ทำให้รู้ว่าชีวิตของเราในชาติปัจจุบันนี้มาจากไหนและมาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย เมื่อได้รับคำตอบชัดเจนดีแล้วก็จะรู้ว่าตายแล้วไปไหน และไปได้อย่างไรอะไรเป็นตัวเชื่อมโยงชาตินี้กับชาติหน้า ทำให้หมดสงสัยว่า ตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ นรก สวรรค์มีจริงไหม ทำให้เข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรม อย่างละเอียดลึกซึ้งตามความสามารถของตน<O:p</O:p
    ๓. ผู้ศึกษาพระอภิธรรมจะเข้าเรื่องปรมัตถธรรม หรือสภาวธรรมอันจริงแท้ตามธรรมชาติ ในพระอภิธรรมจะแยกแยะสภาวะออกให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล อะไรทั้งนั้น คงเป็นสภาวธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ที่วนเวียนในการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยอาศัยเหตุ อาศัยปัจจัยอุดหนุน ซึ่งกันและกันให้เกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นใหม่แล้วดับไปอีก เป็นเช่นนี้ตลอดไปนานแสนนานไม่รู้จบสิ้น แม้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวะทั้ง 3 อย่างนี้จะเกิดขึ้นโดยไม่หยุดพักเลย<O:p</O:p
    สภาวธรรมหรือธรรมชาติเหล่านี้ มิใช่เกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า พระพรหม พระอินทร์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ ใดๆ เป็นผู้บันดาล หรือเป็นผู้สร้าง แต่สภาวธรรมเหล่านี้เป็นผลอันเกิดมาจากเหตุ คือกิเลส ตัณหานั้นเอง ที่เป็นผู้สร้าง <O:p</O:p
    การศึกษาพระอภิธรรม จะทำให้เข้าใจสภาวธรรมอีกประการหนึ่ง อันเป็นจุดหมายสูงสดในพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน นิพพาน หมายถึงการหลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา ผู้ที่ปราศจากตัณหาแล้วนั้น เมื่อหมดอายุก็จะไม่มีการสืบต่อของจิต เจตสิก และรูปอีกต่อไป คือเข้าถึงพระนิพพาน นั่นเอง<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2011
  20. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ขอขอบคุณความคิดเห็นของคุณปุณฑ์ ค่ะ
    ขอขอบคุณบทความประโยชน์ที่ได้จากการศึกษาพระอภิธรรมค่ะ ลุงหมาน
    [​IMG]
    khampan.a

    วันที่ 5 มี.ค. 2554 18:53
    จาก...เวปบ้านธัมมะ

    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    ข้อความโดยสรุป

    ทุติยฉิคคฬสูตร*
    (ว่าด้วยการได้ความเป็นมนุษย์แสนยาก)

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า แผ่นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยน้ำ การที่เต่าตาบอด

    ๑๐๐ ปี โผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง แล้วจะสอดคอเข้าไปในแอกที่มีช่องเดียวซึ่งถูกลมพัด

    จากทิศทั้ง ๔ นั้น เป็นสิ่งที่เกิดได้ยาก เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในโลก

    ดังนี้ คือ

    -การได้เกิดมาเป็นมนุษย์

    -การที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

    -การที่พระธรรมวินัยที่พระตถาคตประการแล้วจะรุ่งเรืองในโลก

    เมื่อได้สิ่งที่ยากเหล่านี้แล้ว จึงควรอย่างยิ่งที่จะเจริญความเพียรเพื่อตรัสรู้สัจจะ

    ทั้ง ๔ ตามความเป็นจริง ซึ่งในอรรถกาแสดงไว้ว่า การตรัสรู้สัจจะทั้ง ๔ ก็เป็นการ

    ยากอย่างยิ่ง ด้วย

    *หมายเหตุ คำว่า ฉิคคฬะ หมายถึงช่อง หรือ รู ในพระสูตรนี้ หมายถึง

    ช่องของแอก ครับ

    [​IMG]
    ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ

    ไม่ควรล่วงเลยขณะที่ได้ฟังพระธรรม

    แก้ว ๕ ประการ หาได้ยากในโลก [ปัญจกนิบาต]

    ความปรากฏขึ้นที่หาได้ยาก [ฉักกนิบาต]

    ไหนๆ ก็ต้องตาย...ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจดีกว่า

    พระพุทธโอวาท [สีลขันธวรรค]

    ขณะ อย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย

    ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไร?

    ควรที่จะได้ประโยชน์จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด ฯลฯ

    ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...