เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
    เพิ่งเริ่มอ่านไปได้ไม่กี่หน้า คงอีกหลายวันกว่าจะอ่านจนหมด -__-"

    ตัวเองก็ฝึกตามรู้กายรู้ใจ + ทำสมาธิอยู่ แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลยค่ะ

    ขออนุโมทนากับการปฏิบัติของคุณอ้องด้วยค่ะ อ่านแล้วมีกำลังใจว่า

    ซักวัน...คงเป็นวันของเรามั่ง

    _/|\_
     
  2. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ขออนุโมทนาค่ะ สาธุ _/\_

    อ่านแล้วจะเอามาปรับใช้กับตัวเองด้วยค่ะ
     
  3. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    เรียนถามอาครับ

    ...คือว่าตอนผมนั่งสมาธิน่ะครับ
    แล้วนั่งไปนั่งมา ดูลมหายใจไป

    แล้วมีอาการแปลกครับคือ ตัวสั่น แล้วหายใจแรงขึ้น เร็วขึ้น เรื่อยๆ อะครับ แทบขาดใจตาย

    แต่ตั้งสติได้ ดูไปกลัวไปเรื่อยๆ

    จนร่างกายเริ่มหายใจแผ่วลงๆ เรื่อยๆ เหนือยมากครับ

    แล้ว.....

    ......วิ้ง........

    เงียบครับอา เหมือนคลื่นโทรศัพท์


    ผมอยากทราบว่า อาการหายใจแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันคืออะไรเหรอครับ

    มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย

    พอหายใจแรง จนเบาลง เหมือนร้างกายมีแค่ลม ครับ

    ตอนหายใจแรงหนะ ผมไม่อึดอัดน่ะครับอา


    แต่เร็วและแรง ภาวนาจนแทบไม่ทัน เลยครับ

    ตัวผมสั่นมากเลย หัวใจเต้น ตึ้บ ตั๊บเลย ~~~ ^_^

    วานอา ชี้แนะด้วยครับผม
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    สิ่งแปลกใจ ความตื่นเต้น ความสงสัย มันทำให้จิตเกิดอาการเข้าไปอยากรู้ อยากดู
    ใจสั่นหวั่นไหว เป็นเหตุให้สมาธิเสื่อมกำลังลง
    ถ้าจิตสงบนิ่งไม่หวั่นไหว ไม่เกาะกุม ปล่อยมันที่มีอาการของจิต

    ในการพบความละเอียด ปราณีตของจิต ปิติ สุข นิมิตอารมณ์ที่แปลกใหม่
    ถ้านิ่งจะสงบสยบทุกสิ่ง และกำลังของจิตจะไหลรวมมีกำลังมากยิ่งขึ้น

    คราวหน้าตั๊มเวลาพบสิ่งใดในสมาธิอย่าใส่ใจ อย่าเกาะกุม อย่าพยายามเข้าไปเพ่งกำหนดดู มันจะกลายเป็นการปรุงแต่งสัญญาชนิดหนึ่งและทำให้เกิดการยึดติด

    เรียกว่าติดดี ติดสุข ติดนิมิต และเมื่อพยายามที่จะเข้าไปรู้อีกภายหลังจะกลายเป็นตัณหาความอยากยิ่งเข้าสมาธิได้ยากยิ่งขึ้น

    ทำดีแล้วแต่ยังหวั่นไหว ยังเกาะกุม ยังตื่นเต้นมากไป ต้องนิ่งเท่านั้นสมาธิจะยิ่งรวมมากขึ้นจนพบใจในที่สุดครับ
    อนุโมทนา
    พี่อ้อง
     
  5. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอบคุณ มากครับอา

    ^_^
     
  6. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล

    ความศักดิฺสิทธิ์ที่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงคือวิบากที่ดีและเลวสรุปโดยย่อคือการกระทำ(กรรม)

    ความศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ได้มาจากการอ้อนวอน ร้องขอ วิงวอน ขอความเห็นใจดั่งคนที่พ่ายแพ้

    ไม่ว่าดีหรือเลวกรรมที่ได้กระทำเอาไว้แล้วย่อมส่งผลเป็นวิบาก

    เรานำพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว ที่ร่มเย็น เพื่อเป็นเครื่องอยู่ เพื่อเตือนตน เพื่อสำรวมระวัง เพื่อสติ เพื่อปัญญา

    เมื่อเราระลึกถึงท่านก็จงตั้งมั่นด้วยสติและต่อสู้ด้วยการกระทำของเราเอง

    ตนจึงเป็นที่พึ่งแห่งตน
    การกราบไหว้บูชาทุกวันนี้ เอาแต่ขอ มีแต่กิเลส สิ่งที่ได้คือความว่างเปล่า...

    คนที่อ้อนวอน ร้องขอ ที่ได้ดั่งใจนั่นเป็นวาสนา

    คำว่าไร้วาสนาอย่าขอพร
    บุญมาดวงดีได้เงินทอง
    ความร่ำรวยขอกันไม่ได้
    ไม่งั้นโลกนี้ไม่มีคนจน

    สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เป็นสัจธรรม เป็นความจริง
    ไร้บุญ ไร้วาสนา
    แข่งเรือแข่งพายหาประสพผล
    บุญพาวาสนาส่งเรืองจำนงค์
    ไม่ต้องขอ ไม่ต้องวอนมันมาเอง

    อย่าเป็นผู้ที่เอาแต่ขอ แต่จงเป็นผู้ที่มีสติ มีปัญญา พิจารณาไตร่ตรองและเอาไปแก้ไข

    อดีตกรรมเราแก้ไขไม่ได้ พระพุทธศาสนาสอนให้เรามีจิตสำนึก
    สอนให้เรามีสติ สอนให้เรามีปัญญา สอนให้เราคลายออก

    ไม่ได้สอนให้เราเป็นลูกช่างขอ วิงวอน เต็มไปด้วยกิเลส เป็นคนขี้แพ้
    ไม่มีความมั่นใจในตนเอง เหมือนดั่งเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง

    ถ้ามันต้องการจะออกสู่ทะเลมันต้องคลาน ต้องพึ่งตัวมันเอง
    ถ้ามันเอาแต่อ้อนวอน ร้องขอความเห็นใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์มันคงจะนอนตายอยู่บนบก

    เต่าบางตัวแม้มันไม่อ้อนวอน ไม่ร้องขอ แค่คิดอยากออกสู่ทะเลก็พบประสพคนใจดีมาพามันไปปล่อยนี่เป็นวาสนาของมันที่เคยเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่มาก่อน

    พระพุทธสาสนาจึงสอนให้เราเป็นคนเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ทำมงคล38ประการให้สมบูรณ์ สร้างเสบียงเพื่อไม่เดือดร้อนตนเองเมื่อยามมีภัยย่อมมีที่พึ่ง ที่อาศัย

    ขึ้นชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงจึงคือวิบากที่เหนือทุกสิ่งไม่ว่าดีหรือเลวย่อมไหลย้อนกลับมาเป็นผลถ้าได้กระทำเอาไว้

    ขอให้เพื่อนๆ น้องๆจงมีจิตสำนึก ไม่ต้องแก้กรรม
    ไม่ต้องแก้ไขอดีตกรรม

    แต่จงสำนึกและเริ่มต้นใหม่
    จิตสำนึกคือเราจะรู้สึกละอายที่ไปกระทำ มันจะรู้สึกฝืนใจ เป็นทุกข์ เป็นโทษ

    คนที่เอาแต่แก้ไขแต่ยังไปกระทำจะแตกต่างอะไรกับคนที่แก้ตัวไปวันๆและก็ยังกระทำผิดอยู่เสมอๆต่างจากคนที่มีสำนึกและมีสติ

    ขอเป็นคนใหม่และเริ่มชีวิตใหม่
    สิ่งใดที่เป็นความละอายในอดีตเอามาสอนตนเองว่าจะมีสติและเลี่ยงในการกระทำที่อึดใจในสิ่งนั้น
    นี่คือคุณธรรมที่เจริญงอกงาม นี่คือปัญญา นี่เป็นบัณฑิต นี่เป็นมงคลธรรมแห่งตนเอง

    ในคุณธรรมแห่งสัมมัปทาน๔นั้นคือละชั่วทำดี

    เหตุที่เรายังเป็นปถุชนอยู่
    จิตยังคิดดีและคิดชั่วอยู่เสมอยังกระเพื่อมยังหวั่นไหวในอารมณ์
    ที่มากระทบ จิตยังไหลไปสู่ที่ต่ำอยู่เสมอ

    การที่เรามีสติ ละชั่วทำดี พอความดี ความสะอาดปรากฏเราจะรู้สึกถึงความผ่องใสแต่พอจิตพอมันเผลอไปกระทำชั่ว คิดชั่ว
    กระเพื่อมหวั่นไหว

    สติแห่งคุณธรรมจะเจริญงอกงามตรงที่ตื่นขึ้นมากับอกุศลเพราะเห็นภัย

    ดังนั้นอย่าดูถูกบาป อย่าดูถูกอกุศลเพราะเราต้องอาศัยเค้าเพื่อตื่นรู้
    คำว่าตื่นรู้คือเราจะเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นพิษ เห็นภัยแห่งอกุศลและบาปที่มีรูปลักษณะที่อึดอัด เศร้าหมอง ไม่อยากไปกระทำแต่ก็ผลั้งเผลอหรือต้องไปทำอย่างเสียไม่ได้

    คำว่าทุกข์ อึดอัด เศร้าใจ บาป อกุศลจึงสร้างจิตสำนึกเราให้เจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับและพยายามที่จะหลีกเลี่ยงหรือหนีห่างจากอกุศลทั้งหลายด้วยสติที่ตื่นขึ้นมาจากการรู้อกุศลกรรมที่ปรากฏ
    เป็นปัจจุบันดารมณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า

    จิตจะเริ่มถูกอบรม บ่มเพาะจนมันเริ่มกลัวอกุศล กลัวบาป ด้วยปัญญา และละอายต่อการกระทำ

    จิตจะมีสภาพที่หดตัวลงมาเรื่อยๆและการกระเพื่อมหวั่นไหวก็เริ่มลดความรุนแรงเป็นลำดับจนมาอยู่กับปัจจุบัน

    ศีลก็จะมีสภาพที่มั่นคงมากขึ้น สติก็มากขึ้น สมาธิที่ปรากฏก็เนื่องมาจากการจดจำได้หมายรู้อกุศล บาป กุศล และบุญทั้งสิ้น(รู้โลกธรรม๘)

    ปัญญาคือการรู้แจ้ง เห็นความจริง เห็นอย่างถูกต้อง รู้ถูกต้อง เพียรก็ถูกต้อง รู้อย่างแจ่มแจ้ง บ่อยเข้า มากเข้า ทิฎฐิความยึดมั่นถือมั่นในกาย ในจิตก็จะเริ่มคลายออกจากตัณหาและอุปทานทั้งปวง
    อย่างค่อยเป็นค่อยไป

    คุณธรรมแห่งโพธิปักขิยธรรม37ประการก็จะเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับ
    เพราะเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัย

    อ้องจึงบอกว่า อย่าไปอ้อนวอน
    อย่าไปร้องขอ อย่าไปแก้กรรมเอาแต่แก้ไขแต่ไร้สำนึกตน

    ขอแต่จงสำนึกตนและอบรมสติให้เจริญมั่นคงเพื่อไม่กระทำอีกเราจะพ้นไปจากอำนาจแห่งโลกธรรมทั้งดีและเลว

    คนเราติดดีก็วิงวอน ร้องขอบรรลุธรรม
    คนเราติดชั่วก็วิงวอนร้องขออย่ามากระทำต่อตน(เจ้ากรรมนายเวร)
    การร้องขอคือกิเลส

    การต่อสู้หันหน้ามากระทำอันเป็นเหตุเป็นผลย่อมปรากฏ

    วิบากที่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลย่อมมีผลเพราะมาจากการหว่านพืขที่ดี

    จงเป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ผ่องใสเพราะรู้แจ้ง เห็นจริง

    พระพุทธองค์สอนให้ศาสนิกชนเป็นผู้เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าต่อสู้
    ท่านสอนให้สู้ ไม่ได้สอนให้วิงวอน ร้องขอ

    คำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นคือความจริง
    เมื่อคุณเดินเส้นทางสายกลางที่ถูกต้องดั่งบัณฑิตที่มีปัญญาทั้งหลาย
    ต่อสู้เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นไม่หวั่นไหว
    คุณจะพบธรรมแห่งความจริงที่ประเสริฐ
    ด้วยสติ ด้วยกำลัง ด้วยปัญญา ด้วยความเพียรของคุณเองล้วนๆ

    บัณฑิตทั้งหลาย ครูอาจารย์ทั้งหลาย ไม่เคยอ้อนวอนหรือร้องขอ
    ท่านต่อสู้ด้วยการกระทำจึงประสพผลสำเร็จทั้งสิ้น

    ขออนุโมทนาในกุศลครับ
    อ้อง
     
  7. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    อนุโมทนาค่ะพี่ชาย

    จงอย่าโทษสิ่งที่เกิด เพราะการกระทำของเราที่ผิดมาก่อน มันจะสอนใจเราเอง ให้ละอายและเกรงกลัวต่อบาป และใจของเราจะเข้มแข็งขึ้น เมื่อสำนึกในสิ่งที่ตัวเองกระทำผิด ก็จะเป็นเพียงวิบาก เพราะความสำนึกผิดนั่นเอง ไม่มีใครมาแก้กรรมให้เราได้ นอกจากการสำนึกจากใจของเราเองเท่านั้น จงเชิดหน้าชูใจ รับวิบากจากการกระทำของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจและเข้มแข็ง สิ่งนี้จะช่วยให้ใจเราเข้มแข็ง และต่อสู้กับอุปสรรคหนัก ๆ ได้ สัจธรรมมันจะสอนใจเราเองให้เข้มแข็ง และยอมรับสิ่งที่กระทำผิด เมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษของมัน เราก็จะไม่กระทำผิดอีกเลย เพราะใจมันจะคอยเตือนและคอยย้ำอยู่เสมอ
     
  8. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
    ถามคุณอ้อง ฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันค่ะ เวลานั่งสมาธิบางทีมันก็ไปรู้ลมที่ไหลไปมาในร่างกาย
    บางทีมันก็ไปรู้ที่อยู่ตัวรู้ อยู่อย่างนั้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ทำสมาธิแล้วรู้สึกจิตมันนิ่ง ละเอียดลงไป
    เดี๋ยวนี้มันวูบลงแบบแว๊บๆ 1-2ที แล้วกลับมารู้ต่อยาวๆเหมือนเดิม แล้วแบบนี้จิตมันจะมีกำลังพอไหมคะ


    ปล.เสี้ยงวิ้งๆ แบบคุณ loveyoutoo2 ข้างบนนั่นก็เจอเหมือนกัน เดี๋ยวนี้บางทีลืมตาอยู่แต่ใจนิ่งๆก็มาแล้ว
    มันคือจิตเข้าสมาธิ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2009
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คงต้องทำความเข้าใจเรื่องสมาธิและฌานนิดครับ
    สมาธิจิตจะยึดอยู่กับอารมณ์ตรงจุดตำแหน่งที่เรายึดเอาไว้และจิตก็จะเข้าสู่ขณิก
    อุปจารและอัปนา

    ฌานกับสมาธิคล้ายๆกันแต่ฌาน จิตจะผ่านภวังค์ทั้งสาม
    การที่วูบแล้วรู้สึกเป็นขณิกสมาธิ

    การรู้ปวงธาตุที่ซัดไปมามีสติเป็นคุณประกอบ มีสมาธิเป็นกำลัง
    การนิ่งแล้วเงียบเข้าไปเป็นฌาน

    สิ่งสำคัญคือเราดูตอนถอนออกมาถ้าเป็นอัปนาสมาธิพอถอนออกมาจะเห็นสรรพสิ่งมีแต่เกิด ตั้งอยู่ ดับไป จนใจมันสลดสังเวช

    ส่วนอัปนาฌานเห็นว่าอารมณ์ทั้งหลายมันจืดชืด น่าหัวเราะที่ไปยึดในอารมณ์

    เราจึงทำสมาธิเพื่อเอากำลังมาพิจารณา ไม่ว่าลืมตาหรือหลับตา

    ไม่ว่าเราเดิน ยืน นั่ง นอน มันจะมีสมาธิ มีกำลังเมื่อเราไปสร้างกำลังเอาไว้และแม้ถอนออกมาแล้วไม่ใช่สมาธิจะหดหายไป แต่เราจะได้กำลังเพื่อไปพิจารณาธรรมและสรรพสิ่งทั้งหลายว่าเป็นไปตามอำนาจของพระไตรลักษณ์ทั้งสิ้นหรือมีแต่สิ่งที่จืดชืด ไร้สาระ น่าตลกขบขันและรู้ถึงความอิสรของจิตที่เริ่มคลายออกจากอารมณ์

    สุขทุกข์ก็สั้นลงเพราะมีสติ สมาธิที่มีกำลัง มีปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงในพระไตรลักษณ์บ่อยๆ จิตย่อมคลายกำหนัด คลายออกจากอุปทานของขันธ์ที่เรายกมาพิจารณาในยามที่สมาธิเรามีกำลัง สติที่เราอบรมสภาวะที่ตื่นรู้ ปัญญาก็คือความจริง

    เพราะเราจะเห็นแต่ความจริง เรื่องจริง เมื่อยามที่จิตเราตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอย่างถูกต้องครับ
    อนุโมทนาทำดีแล้วแต่อย่าไปประคองรู้นะครับ
    จิตมันเกิดดับเร็วมาก เราตามรู้และนับหนึ่งเสมอ ไม่ต้องไปประคองให้มันอยู่กับเรานานๆ เพราะสรรพสิ่งเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ เปลี่ยนแปลง กระเพื่อมหวั่นไหว
    เดี๋ยวก็แวบ เดี๋ยวก็ไหลไปทางวิญญาณอายตนะในช่องทวารต่างๆ

    เราเข้าไปรู้ตรงเหตุ ตรงช่องทวารวิญญาณ ตรงจิตรู้ที่ปรากฏ ตรงที่มันไหล
    ตรงที่มันแวบ รู้ตรงนั้น เห็นตรงนั้น จนจิตมัยยอมรับ มันจะคลายอุปทานเองว่า

    คำว่าไม่มีนั้นมันมีแต่เพราะไปยึดว่ามาเป็นเรา ของๆเรา
    เมื่อใจเราไม่ยึดขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตก็ไม่ออกมาจากใจ
    สังขารตัวปรุงแต่งก็ไม่ปรากฏอีก

    ปิดทวารทั้ง๕ประหารใจ เวลาเราทำสมาธิมันปิดทวารทั้ง๕หมด แต่ใจมันยังไหล
    แวบไปแวบมา กระเพื่อมไหลไปตามทวารทั้ง๕ จิตที่ตั้งมั่น สมาธิที่มีกำลัง
    จิตจะเห็นจิตและจิตจะทำลายจิตคำว่าทำลายคือไม่ยึดจิต
    เมื่อไม่ยึดจิต จิตก็ไม่ออกมาจากใจ เหลือเพียงหนึ่งกับปัจจุบันอารมณ์

    มหากริยาจิตจะปรากฏ การที่เรามีมหากุศลจิตปรากฏนั่นก็เพราะเรามีสติที่ระลึกได้ในถีรสัญญาเป็นอานิสงส์ใหญ่ เพราะเป็นทางแห่งมรรคจิต

    ขอให้อบรมสติ อยู่กับความจริงเช่นกายตอนนี้เป็นอย่างไร จิตตอนนี้เป็นอย่างไร
    รู้ชัดตรงไหน ตรงกาย ตรงจิต ก็ตามนั้นมันรู้และก็ดับไปแล้วและมันก็จะซัดส่ายหาอารมณ์ใหม่อีกต่อไป

    ขออนุโมทนาครับ
    อ้อง
     
  10. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับพี่.. ภรรยาพี่อ้องหายจากการเจ็บป่วยแล้วใช่มั้ยครับ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง.ครับ
    ผมขออนุโมทนาบุญ กับธรรมะดีๆที่เหมือนความสว่างที่ขับไล่ความมืดบอด ของพวกเราครับ...เป็นเครื่อง เตือนสติอย่างดีเยี่ยม ผมเองวันไหนที่กำลังแห่งสมาธิอ่อน หรือเกิดความเหนื่อยล้า ก็อาศัยสิ่งที่พี่อ้องได้เขียนลงในบอร์ดนี้ เพื่ออ่านแล้วก็มีกำลังใจเดินต่อ..

    *** เก็บบันทึกส่วนตัวมาเล่าให้มิตรธรรมได้อ่านเล่นเป็นความบันเทิง**
    ผมตื่นในฝันประจำครับ...อาจจะเนื่องมาจาก การที่ฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนผมใช้แต่อาณาปณสติเป็นหลัก แต่หลังๆมานี้ผม ฝึกกสิณควบไปด้วย ..กสิณนี่ได้สมาธิเร็วครับ อยากจะบอกมิตรธรรมทุกท่านครับว่า กสิณ 10 นี่เป็นกรรมฐานที่น่าลองฝึกดูครับ.. ได้สมาธิเร็ว และเป็นกรรมฐานที่ก้าวไปถึง ฌาน 4 ได้ ซึ่ง กรรมฐานที่ทำได้ถึง ฌาน 4 นั้น มีเพียง 12 กองครับ คือ กสิณ 10 ,อาณาปาณสติ1,และ อบุกขา ในพรหมวิหาร อีก 1 ครับ
    กสิณ ที่ฝึกถ้าอยากให้ได้ไว อย่าไปเพ่ง กสิณโทษนะครับ กสิณโทษเหมาะสำหรับท่านที่มีบุญ บารมีมาแต่อดีตชาติ ถ้าไม่แน่ใจให้ฝึกตามแบบนะครับ เช่น ถ้าฝึกกสิณไฟ ต้องเพ่งไฟ จากกองไฟที่หาไม้หรืออะไรก็ได้ที่เป็นแผ่นกำบัง มาเจาะเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 1 ฟุต( 1 คืบ 4 นิ้ว) นั่งหากประมาณ 1 ช่วงแขนกับอีก 1 คืบ แล้วค่อยเพ่งตามแบบ.. อย่างอื่นถือเป็นกสิณโทษครับ เช่น ดวงอาทิตย์ เทียน เป็นต้น ฝึกแบบกสิณนี้จะนิ่งเร็วครับ..ลองฝึกดู ตำราก็มีครับ ลองศึกษาดู.. แต่ต้องมีอาณาปณสติเป็นบาทฐานด้วยครับ.จะได้เร็ว..
    การตื่นในฝัน ..ไม่แน่ใจว่าผมใช้คำถูกหรือปล่าว เพราะมันเหมือนจริง และก็ควบคุมได้ด้วย รู้สึกถึงกำลังวังชา มันชัดเจนจนเหมือนในชีวิตประจำวัน ไม่เลือนลาง ที่ๆไปมีสี มีสรร เมื่อคืน ได้ไปที่ไหนไม่รู้ มันเหมือนกับเมือง ที่มีซุ้ม เจดีย์ บางหลังคล้ายโบสถ์ คล้ายบ้านทรงไทยหลังใหญ่ หลังคาจะออกสีแดงอิฐ สลับกับป่าไม้เขียวชะอุ่ม กว้างใหญ่ไพศาล.. ผมมัวแต่เพลินนั่งมองไปรอบๆ เลยยังไม่ได้ไปพบใครเลย....ตื่นก่อน.. แต่ละวันก็ไปซ้ำที่เดิมบ้าง ไม่ซ้ำบ้าง ได้พบเจอคนบ้าง ผมได้บันทึกในสมุดบันทึกผมทุกครั้งที่ไป ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังครับ..
    ถ้าท่านอยากไปเที่ยว.. แบบตื่นในฝันทำแบบนี้นะครับ .( พี่อ้องสอนผมมา...)
    ตอนเอนกายลงนอนกำหนดความนึกคิดไปที่จุดหลับ(บริเวณ ปลายคาง)กับจุดตื่น( กึ่งกลางหว่างคิ้ว) คือผมจะเริ่มจากผ่อนคลาย ยังไม่คิดตั้งท่าว่าจะจับ คือ นอน..พอกายมันเริ่มสบาย มากำหนดที่จุดหลับพร้อมกับจับลมหายใจ ไปเรื่อยๆครับ แล้วพอเคลิ้ม จะหลับ ให้กำหนดมาที่จุดตื่นครับ ต้องฝืนเพื่อให้หลุดจากภวังค์ แต่เอวังส่วนมากผมไปไม่รอดซักที..55 (มีแค่ครั้ง สองครั้งเองที่รอดไปได้แต่ก็กำลังอ่อนมาก)ถ้าท่านใดหลุดไปได้ ท่านจะหลุดออกจากกายเนื้อครับ....

    พี่อ้องครับ..ไม่ใช้คิดแต่ใช้ความรู้สึกขยายขอบเขตไปด้วยกำลังที่ใจเจ้ารู้สึก.. ชอบประโยคนี้มากครับ เพราะบางครั้ง ผมไปนั่งคุยในกลุ่มคน เช่นในห้องประชุม ผมเห็นความรู้สึก นึกคิดของเขาเหล่านั้น..ซึ่งผมเองก็ไม่ได้สนใจ ไปตั้งท่าจะดูเขาเหล่านั้น มันรู้สึกมาเอง...เกิดบ่อย (55555.... สงสัยอุปาทานกินหัวผมแล้วมั้งครับพี่)
    หนุ่ยครับ...
     
  11. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับพี่.. ภรรยาพี่อ้องหายจากการเจ็บป่วยแล้วใช่มั้ยครับ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง.ครับ
    ผมขออนุโมทนาบุญ กับธรรมะดีๆที่เหมือนความสว่างที่ขับไล่ความมืดบอด ของพวกเราครับ...เป็นเครื่อง เตือนสติอย่างดีเยี่ยม ผมเองวันไหนที่กำลังแห่งสมาธิอ่อน หรือเกิดความเหนื่อยล้า ก็อาศัยสิ่งที่พี่อ้องได้เขียนลงในบอร์ดนี้ เพื่ออ่านแล้วก็มีกำลังใจเดินต่อ..

    *** เก็บบันทึกส่วนตัวมาเล่าให้มิตรธรรมได้อ่านเล่นเป็นความบันเทิง**
    ผมตื่นในฝันประจำครับ...อาจจะเนื่องมาจาก การที่ฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนผมใช้แต่อาณาปณสติเป็นหลัก แต่หลังๆมานี้ผม ฝึกกสิณควบไปด้วย ..กสิณนี่ได้สมาธิเร็วครับ อยากจะบอกมิตรธรรมทุกท่านครับว่า กสิณ 10 นี่เป็นกรรมฐานที่น่าลองฝึกดูครับ.. ได้สมาธิเร็ว และเป็นกรรมฐานที่ก้าวไปถึง ฌาน 4 ได้ ซึ่ง กรรมฐานที่ทำได้ถึง ฌาน 4 นั้น มีเพียง 12 กองครับ คือ กสิณ 10 ,อาณาปาณสติ1,และ อบุกขา ในพรหมวิหาร อีก 1 ครับ
    กสิณ ที่ฝึกถ้าอยากให้ได้ไว อย่าไปเพ่ง กสิณโทษนะครับ กสิณโทษเหมาะสำหรับท่านที่มีบุญ บารมีมาแต่อดีตชาติ ถ้าไม่แน่ใจให้ฝึกตามแบบนะครับ เช่น ถ้าฝึกกสิณไฟ ต้องเพ่งไฟ จากกองไฟที่หาไม้หรืออะไรก็ได้ที่เป็นแผ่นกำบัง มาเจาะเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 1 ฟุต( 1 คืบ 4 นิ้ว) นั่งหากประมาณ 1 ช่วงแขนกับอีก 1 คืบ แล้วค่อยเพ่งตามแบบ.. อย่างอื่นถือเป็นกสิณโทษครับ เช่น ดวงอาทิตย์ เทียน เป็นต้น ฝึกแบบกสิณนี้จะนิ่งเร็วครับ..ลองฝึกดู ตำราก็มีครับ ลองศึกษาดู.. แต่ต้องมีอาณาปณสติเป็นบาทฐานด้วยครับ.จะได้เร็ว..
    การตื่นในฝัน ..ไม่แน่ใจว่าผมใช้คำถูกหรือปล่าว เพราะมันเหมือนจริง และก็ควบคุมได้ด้วย รู้สึกถึงกำลังวังชา มันชัดเจนจนเหมือนในชีวิตประจำวัน ไม่เลือนลาง ที่ๆไปมีสี มีสรร เมื่อคืน ได้ไปที่ไหนไม่รู้ มันเหมือนกับเมือง ที่มีซุ้ม เจดีย์ บางหลังคล้ายโบสถ์ คล้ายบ้านทรงไทยหลังใหญ่ หลังคาจะออกสีแดงอิฐ สลับกับป่าไม้เขียวชะอุ่ม กว้างใหญ่ไพศาล.. ผมมัวแต่เพลินนั่งมองไปรอบๆ เลยยังไม่ได้ไปพบใครเลย....ตื่นก่อน.. แต่ละวันก็ไปซ้ำที่เดิมบ้าง ไม่ซ้ำบ้าง ได้พบเจอคนบ้าง ผมได้บันทึกในสมุดบันทึกผมทุกครั้งที่ไป ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังครับ..
    ถ้าท่านอยากไปเที่ยว.. แบบตื่นในฝันทำแบบนี้นะครับ .( พี่อ้องสอนผมมา...)
    ตอนเอนกายลงนอนกำหนดความนึกคิดไปที่จุดหลับ(บริเวณ ปลายคาง)กับจุดตื่น( กึ่งกลางหว่างคิ้ว) คือผมจะเริ่มจากผ่อนคลาย ยังไม่คิดตั้งท่าว่าจะจับ คือ นอน..พอกายมันเริ่มสบาย มากำหนดที่จุดหลับพร้อมกับจับลมหายใจ ไปเรื่อยๆครับ แล้วพอเคลิ้ม จะหลับ ให้กำหนดมาที่จุดตื่นครับ ต้องฝืนเพื่อให้หลุดจากภวังค์ แต่เอวังส่วนมากผมไปไม่รอดซักที..55 (มีแค่ครั้ง สองครั้งเองที่รอดไปได้แต่ก็กำลังอ่อนมาก)ถ้าท่านใดหลุดไปได้ ท่านจะหลุดออกจากกายเนื้อครับ....

    พี่อ้องครับ..ไม่ใช้คิดแต่ใช้ความรู้สึกขยายขอบเขตไปด้วยกำลังที่ใจเจ้ารู้สึก.. ชอบประโยคนี้มากครับ เพราะบางครั้ง ผมไปนั่งคุยในกลุ่มคน เช่นในห้องประชุม ผมเห็นความรู้สึก นึกคิดของเขาเหล่านั้น..ซึ่งผมเองก็ไม่ได้สนใจ ไปตั้งท่าจะดูเขาเหล่านั้น มันรู้สึกมาเอง...เกิดบ่อย (55555.... สงสัยอุปาทานกินหัวผมแล้วมั้งครับพี่)
    หนุ่ยครับ...
     
  12. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    อนุโมทนาด้วยค่ะ

    อนุโมทนาด้วยนะคะ สาธุ

    อยากทำได้เหมือนกัน แต่ว่าหลับไปก่อนทุกทีเลย T_T

     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ในท่านอนหงายที่กุ้งนอนสบายที่สุดจะเป็นท่าปราบเซียนกุ้งสูงสุด
    เพราะเป็นท่านอนที่กุ้งสบายที่สุดภวังค์จิตจึงมีอำนาจแรงดูดให้วูบเข้าไปสูงสุดเช่นกัน

    การจับหลับ ท่าเรานอนในท่าที่ไม่สบายจนเกินไป หรือในท่านอนที่ทำให้สติไม่ถูกอำนาจภวังค์ดูดมากเกินไปนั้น
    เราจะเห็นกายมันกรนเองได้
    ถ้าเราเห็นกายกรน
    เราจะแยกกายกับจิตออกมาจากกัน คือผู้รู้ส่วนหนึ่ง กายหยาบส่วนหนึ่งได้

    การที่เรามองกายหยาบเรากรน
    จะได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในเรื่องของจิตที่อาศัยอยู่ในถ้ำคูหาของวิญาณอายตนะ

    ทำให้เรารู้จักทวารแห่งอายตนะวิญญาน ในชั่วขณะเราอาจจะพบใจปรากฏได้ด้วย

    เพื่อเอาไว้พิจารณาธรรมในภายหลังได้ ถ้ารู้แจ้งวิญญาณแห่งอายตนะ

    เมื่อเราเห็นกายหลับแล้วก็ทำตัวในท่านอนปกติ
    สมาธิจะต่อเนื่องคือแม้กายมันหลับแต่สติมันตื่น รู้สึกตัวเหมือนตื่นทุกอย่างแต่กายมันหลับ

    การที่เรามีสติเราจะพลิกตัวหรือลุกขึ้นหรือได้ยินเสียงต่างๆภายนอกก็ทำไ้ด้

    คราวนี้ที่พี่สอนให้เราฝึกก่อนตายกันก็เพื่อไปดี มีสุขคติ นิมิตอารมณ์ที่ดี
    เป็นการฝึกปล่อยวาง สบายๆ เพราะเวลาเราหลับถ้าเรายังเห็นกายมันหลับได้

    เวลาเราตายเราก็จะเห็นกายมันหมดสภาพไปได้และเลือกคตินิมิตเป็นอารมณ์

    เพราะการฝึกปล่อยวาง ไม่ทุกข์ ไม่ร้อนใจ เมื่อฝึกใจผ่องใส สบายๆเป็นอารมณ์เสมอๆ
    ยามที่เราตายจะตายกันอย่าสง่าผ่าเผย ไม่กลัวตาย ไม่ดีดดิ้นทุรนทุราย
    ไม่ตัดพ้อ ไม่หวาดกลัว ไม่เศร้าหมอง

    โอกาสที่จะปรากฏคตินิมิตอารมณ์ที่เราฝึกนอนตายทุกวัน ที่เราปล่อยวาง สบายๆ
    รักษาจิตที่แจ่มใสภายใน การนอนหลับแบบเฝ้าดูอารมณ์ การนอนหลับไปพร้อมกับการเอาอามณ์มาพิจารณา
    ฌานหลับที่เราทำกันอยู่

    ตายไปก็เป็นพรหมกันเพราะมันจะเหมือนเราวูบเข้าไป
    เวลาเราหลับก็เช่นกันมันจะวูบเข้าไปแต่มันไม่มีกำลังของฌานแนบเข้าไป

    ฌานหลับถ้าวูบเข้าไปสุดกำลังของฌาน สูงสุดของสมาธิ จิตมันจะไปอยู่ในภูมิของเค้าเองที่เราจะไปแต่งเองไม่ได้ มันจะวูบเข้าไปเงียบอยู่ในภูมิของเค้าตามกำลัง

    ดังนั้นที่พี่ให้เพื่อนๆ น้องๆฝึกนอนตายกัน ฝึกจับหลับกัน ก็มีประโยชน์ไม่มากก็น้อยตามที่ว่ามา

    คนเราเวลาตายถ้าอบรมกาย อบรมจิตมาจะมั่นคงเด็ดเดี่ยว
    กล้าสู้กับความตายตรงหน้าเพราะทำอยู่ทุกๆคืน

    เวลาพี่นอนพี่จะบอกตนเองว่าคืนนี้เอ็งตายอีกแล้วอ้อง
    จะนอนไหลตายหรือไม่ หรือตายแบบไม่รู้ตัว เวลาจะหลับจึงมักจะเฝ้าดูอารมณ์เช่นดูลมหรือยกบริกรรมพุธโธเป็นอารมณ์

    ตามรู้ลมจนลมมันละเอียดและเร็วขึ้นและหายไปท้ายสุดภวังค์ถี่ยิบก็รู้

    จนปล่อยตัวเองจิตก็จะวูบเข้าไปเป็นฌานหลับไป

    ฝึกตายกันก่อนนะครับและฝึกแยกกายและจิตออกจากกันโดยดูได้ตอนจับหลับ
    พี่อ้องบางทีจะนอนคว่ำหน้ากับหมอน เพราะท่านอนนี้พี่จะดำรงค์สติเฉพาะหน้า
    เอาไว้ พอกายมันสงบไม่นานเราจะเห็นมันกรนออกมาแบบประหลาดใจ

    แต่ถ้าพี่นอนหงายเมื่อไหร่ก็อวสานต์แหะๆ มันท่าสบายเลย ลอยละล่อง
    ภวังค์จิตเล่นจนวูบแวบเข้าไปเลย คือถ้าอยากจะเห็นกายมันกรนพี่จะนอนคว่ำหน้านะ
    แต่พอผ่อนคลายแล้วพี่จะนอนหงายและปล่อยกายและใจไปสบายๆ

    ตามรู้ลมที่ละเอียด เบา หาย เร็ว และก็วูบเข้าไปเลย ตื่นอีกทีก็ตอนตี3มานั่งสมาธิต่อ ชม นอนไปอีกชม และลุกมาทำสมาธิต่อและมาตื่นตอน8โมงเช้า สบายแฮ...

    อนุโมทนานะกุ้ง อ่านยาวหน่อยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2009
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จดหมายถึงเพื่อน

    การรู้สึกไปที่รูปลักษณะที่ปรากฏเวลาที่ใจเที่ยงธรรมปรากฏอ้องเหมือนกับรู้สึกมองสิ่งที่ตาย เหมือนเป็นของตาย คำว่าตายคือมันไม่เกี่ยวอะไรกับใจเลย ใจเป็นผู้รู้อยู่เฉยๆเท่านั้น

    ความจริงคือปัญญา การรู้แจ้งคือเห็นสิ่งที่ถูก มันเข้าใจตรงรู้สึก เพียงแต่อินทรีย์ถูกอธิษฐานจิตปิดเอาไว้เพราะเจตจำนงค์
    ต้องการเดินไปอีกยาวไกลนัก...

    การที่อ้องเข้าไปรู้บ่อยๆ เห็นบ่อยๆ มันรู้ทุกข์ ใจมันตั้งท่าจะประหารให้สิ้นเลย คำว่าต่อเนื่อง คำว่าจิตหนึ่ง อ้องรู้สึกว่า
    ใจเค้าไม่เอาของตาย ไม่เอารูปลักษณะ จิตไม่ออกมาจากใจ การปรุงแต่งเหมือนหยุดไปไม่อิงการเวลา จุด ตำแหน่ง ให้สืบค้นมันหายไป
    คือแม้เพียงเสี้ยวแห่งภพ เศษแห่งภพ ใจมันไม่เอา จิตมันไม่ออก มันวางอุปทานลง

    การที่เราละอกุศลอยู่เสมอด้วยสติ ขันติ ปัญญา อ้องว่าคุณธรรมมันเจริญงอกงามเป็นลำดับคือเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัย เห็นพิษ เห็นกรงขัง เห็นความไร้สาระ
    เห็นสิ่งที่น่าตลกขบขัน แต่พอกำลังสมาธิหมดลง จิตก็ออกมาวิ่งไปวุ่นวายที่ทวารทั้งหลายต่อไปด้วยเพราะยังเป็นปถุชนจิตย่อมซัดส่ายและตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระไตรลักษณ์

    ชีวิตก็ปรากฏอีกครั้งในโลกใบเดิม เจอของเดิมๆ

    อ้องว่าเราเจอครูอาจารย์เช่นหลวงพ่อปราโมทย์ นับว่าเป็นวาสนา บารมีพอดู เพราะลองทำดูปัจจัตตังรู้เฉพาะตนอ้องว่าไม่ผิด
    ปัญญาความเข้าใจในโลกมีมากขึ้น

    วันนี้นึกครึ้มๆก็เลยส่งอารมณ์ให้คุณบุญรักษ์เสียบ้างก็ดี
    เห็นคนไปหาหลวงพ่อเยอะมากอ้องเลยไม่อยากไปเพราะยังไม่ติดอะไรมากนัก นับหนึ่ง เริ่มใหม่ตลอดยิ่งทำให้เข้มแข็งมากขึ้น
    อ่านหนังสือหลวงพ่อ ฟังเทปท่านก็พอเข้าใจได้บ้างอยู่ คิดว่าพอพึ่งตนเองได้ แต่วันใดที่ติดอารมณ์คงจะไปหาท่านซักวัน

    ตอนนั้นคงจะเบียดเข้าถึงท่านได้หรือเปล่า คนเยอะอาจจะขอให้คุณบุญรักษ์ทำหน้าที่เปิดทางให้ฮิๆดันเข้าไป
    ขออนุโมทนาและด้วยความยินดีที่ได้พบเจอกันแม้เพียงความรู้สึกแต่ก็เหมือนเป็นสหายธรรมที่เคยร่วมทางกันมายาวนาน

    ด้วยความเคารพในธรรมเสมอ

    อ้องครับ
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไม่ไปหา คุณดำเกิง(ทีมเชียงใหม่) หละครับ

    ท่านนั้นๆ ไม่ต้องไปหาด้วยตัวเป็นๆ ได้
     
  16. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    บำเพ็ญ ภาวนาเพื่อเป็นกุศล ^^

    ...สวัสดีครับอา ขอของพระคุณอามากครับสำหรับเรื่องดีๆ ที่อามีให้ทุกคน

    พรุงนี้ วันเกิดผมครับ วันที่ 20 ตุลาคม 2532 ครบรอบ 20ปี ครับ ^^

    ...พรุ้งนี้จะตื่นแต่เช้าทำบุญ

    ... และบำเพ็ญ ถือศีล 8 เพื่อการสำรวม เป็นทุพธบูชาแด่ผู้มีพระคุณครับ

    .................

    ^^

    อวยพรผมมั่งครับอา

    ^^
     
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ขอให้ตั๊มมีปัญญาเข้าถึงสัจธรรมด้วยสติ ด้วยความเพียร
    ขอให้มงคลแห่งชีวิตที่เข้าถึงบัณฑิตทั้งหลายพบพวกท่านที่มีปัญญาแท้จริง
    เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความเจริญในการเดินเส้นทางที่พ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง

    สุขสันต์วันเกิดนะครับ อย่าลืมโทรศัพท์หาคุณแม่ที่ให้ตั๊มเกิดมาด้วยนะครับ
    ดีก็เพราะเรา เพราะเรากระทำตัวเรา แต่เพราะเราอาศัยแม่จึงมีเรา อย่าลืมท่านด้วยนะครับ

    อนุโมทนา
    พี่อ้อง
     
  18. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สาธุครับอา ....^_^


    ขอพระคุณมากครับอา


    ไม่เจออาอ้องวันนั้น คงไม่มีผมวันนี้


    สาธุ ๆ ๆ

    ^_^

    ***************
     
  19. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    โดนมากครับ



    อนุโมทนาครับ ^_^
     
  20. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    อารมณ์พระ โสดาบัน ฮะ

    อารมณ์พระโสดาบัน
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับคืนนี้ก็มาเริ่มปฏิบัติเนื่องในโสดาปัตติผล หรือว่า ปฏิบัติเพื่อพระโสดาปัตติมรรค การเจริญพระกรรมฐานนี่ พระพุทธเจ้ามีความต้องการให้ผู้ปฏิบัติทุกท่านเข้าถึงพระอริยมรรค พระอริยผล ถ้าเราจะปฏิบัติกันอย่างเลื่อนลอยก็มีความสุขเหมือนกัน แต่มีความสุขไม่จริง ที่จะปฏิบัติให้มีความสุขจริงๆ ก็จะต้องมีจุดใดจุดหนึ่งเป็นเครื่องเข้าถึงจึงจะใช้ได้
    ในอันดับแรกนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการผลอันดับต้น คือได้พระโสดาปัตติมรรคหรือพระโสดาปัตติผล หรือการที่เราเรียกกันว่า พระโสดาบัน
    ก่อนที่ท่านทั้งหลายจะศึกษาอย่างอื่น ก็โปรดทราบว่า สำหรับพระโสดาบันนี้ละสังโยชน์ได้ ๓ ประการ คือ:-
    ๑. สักกายทิฏฐิ ตัวนี้มีปัญญาเพียงเล็กน้อย เพียงแค่มีความรู้สึกว่าเราจะต้องตายเท่านั้น เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต คิดอยู่เสมอว่าความตายเป็นธรรมดาของชีวิต เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความตายให้พ้นได้ และความตายนี้ จะปรากฏกับเราเมื่อไรก็ไม่แน่นอนนัก และเชื่อว่า ตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายกลางวัน อย่างนี้ไม่มีความแน่นอน
    เพราะว่าความตายไม่มีนิมิต ความตายไม่มีเครื่องหมาย แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงให้พ้นจากความตายไปได้ นี่สำหรับข้อแรกสักกายทิฏฐิ ที่เห็นว่าร่างกายก็คือ ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรานิยมเรียกกันว่า ร่างกาย
    พระโสดาบันมีความรู้สึกว่ามีปัญญาเพียงเล็กน้อย รู้แค่ตายเท่านั้น ยังไม่สามารถจะจำแนกร่างกายว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราได้ ความรู้สึกของพระโสดาบัน ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหลายยังเป็นเรา เป็นของเรา
    แต่ทว่ามีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายที่เป็นของเรานี้ทั้งหมด เมื่อเราตายแล้วเราก็ไม่มีสิทธ์ที่จะเข้ามาครอบครอง หรือถ้าว่าเรายังไม่ตาย สักวันหนึ่งข้างหน้ามันก็ต้องสลายตัวไป เนื่องในข้อว่า สักกายทิฏฐิ พระโสดาบันคิดได้เพียงเท่านี้ ยังไม่สามารถจะแยกกาย ทิ้งไปได้ทันทีทันใด องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงกล่าวว่า พระโสดาบันมีปัญญาเล็กน้อย
    ในข้อที่ ๒ วิจิกิจฉา พระโสดาบันไม่สงสัยในคำสั่ง และคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    คำว่า คำสั่ง ก็ได้แก่ ศีล
    คำสอน ก็ได้แก่ จริยาอันหนึ่งที่เราเรียกกันว่า ธรรมะ เป็นความประพฤติดีประพฤติชอบ
    ศีล พระพุทธเจ้าสั่งให้ละ หมายความว่า ละตามสิกขาบทที่กำหนดให้ไว้ คำสอนทรงแนะนำว่า จงทำอย่างนี้จะมีความสุขอีกทั้งคำสั่งก็ดี ทั้งคำสอนก็ดี พระโสดาบันก็มีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ เชื่อพระพุทธเจ้า ในการเชื่อก็ใช้ปัญญาพิจารณาก่อน ไม่ใช่สักแต่ว่าเชื่อ
    นี่สำหรับสังโยชน์ข้อที่ ๓ สีลัพพตปรามาส เพราะอาศัยที่พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแนะนำบรรดาพระสงฆ์ว่า จงนำธรรมะนี้ไปสอน พระสงฆ์ก็ไปสอน พระโสดาบันใช้ปัญญาเพียงเล็กน้อยมีความเข้าใจดี ยินยอมรับนับถือคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสมา แล้วพระสงฆ์นำมาแสดง อาศัยที่ศรัทธาในพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการนี้ พระโสดาบันจึงเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
    เป็นอันว่าพระโสดาบัน ถ้าเราจะไปพิจารณาจริงๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรสำคัญ มีสภาวะเหมือนชาวบ้านชั้นดีนั่นเอง ทีนี้เราจะกล่าวถึง องค์ของพระโสดาบัน ท่านที่เป็นพระโสดาบันจริงๆ นั้น มีอารมณ์ใจ
    คำว่า " องค์ " นี่หมายความว่า อารมณ์ที่ฝังอยู่ในใจ อารมณ์ใจของพระโสดาบันจริงๆ ก็คือ
    ๑. มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    ๒. มีความเคารพในพระธรรม
    ๓. มีความเคารพในพระสงฆ์
    ๔. มี ศีล ๕ บริสุทธ
    อันนี้ก็ตรงกับพระบาลี ที่องค์พระชินสีห์ตรัสว่า พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้มีอธิศีล
    สำหรับกิเลสส่วนอื่นจะเห็นได้ว่า พระโสดาบันยังมีกิเลสทุกอย่าง ตามที่เรากล่าวกันคือ:-
    โลภะ ความโลภ
    ราคะ ความรัก
    โทสะ ความโกรธ
    โมหะ ความหลง
    จะว่ารักก็รัก อยากรวยก็อยากรวย โกรธก็โกรธ หลงก็หลง แต่ไม่ลืมความตาย คำที่ว่าหลงก็เพราะว่า พระโสดาบันยังต้องการความร่ำรวยด้วยสัมมาอาชีวะ พระโสดาบันยังต้องการความสวยสดงดงาม ต้องการมีคู่ครอง
    อย่าง นางวิสาขามหาอุบาสิกา ก็ดี ภรรยาของพรานกุกกุฏมิตร ก็ดี ทั้งสองท่านนี้เป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ ๗ ปี แต่ในที่สุด ท่านก็แต่งงานมีเครื่องประดับประดาสวยงาม เป็นอันว่ากิเลสที่เราต้องการกัน เนื่องจากการครองคู่ระหว่างเพศ พระโสดาบันยังมี และก็ยังมีครบถ้วน เพราะว่าอยู่ในขอบเขตของศีล
    ไม่ทำ กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น ไม่ทำให้ผิดประเพณีหรือกฎหมายของบ้านเมือง และเป็นไปตามศีลทุกอย่าง คือรักอยู่ในคู่ผัวเมียตามปกติ
    นี่ขอบเขตของพระโสดาบันมีเท่านี้ มีความต้องการรวยด้วยสัมมาอาชีวะ พระโสดาบันยังประกอบอาชีพ แต่ไม่คดไม่โกง ไม่ยื้อไม่แย่งใครเท่านั้น หามาได้แม้จะร่ำรวยแสนจะร่ำรวยก็ได้มาด้วยความบริสุทธ์ ไม่คดไม่โกงเขา พระโสดาบันยังมีความโกรธ ไอ้โกรธน่ะโกรธได้ แต่ว่าพระโสดาบันยังไม่ฆ่าใคร เกรงว่าศีลจะขาด
    พระโสดาบันยังมีความหลง แต่หลงไม่เลยความตาย ยังมีความรู้สึกอยู่ว่าต้องการชีวิต ชีวิตของเรามีอยู่ ต้องการทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น ยังไงๆ เราก็ตายแน่ การที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นจากความตายไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
    เป็นอันว่าถ้าเราพิจารณากันจริงๆ ความเป็นพระโสดาบันนี่รู้สึกว่าไม่ยากเลย สำหรับในวันนี้ก็จะขอแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้พยายามใคร่ครวญถึงความตายเป็นสำคัญ เรื่องความตายนี่ก็ดี การควบคุมอารมณ์จิตให้ปราศจากความฟุ้งซ่านก็ดี ควรจะทำให้เป็นปกติ ถ้าวันใดถ้าเราเผลอจากการควบคุมอารมณ์จิต ให้ระงับจากความฟุ้งซ่านก็ดี ควรจะทำให้เป็นปกติ ถ้าวันใดเราเผลอจากการควบคุมอารมณ์จิต ให้ระงับจากความฟุ้งซ่านก็ดี วันใดถ้าเราเผลอไปลืมนึกถึงความตายก็ดี ก็จงประณามตนเองว่าเรานี้เลวเต็มทีแล้ว
    เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอนตามความเป็นจริงทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านทั้งหลายจะพิจารณาเห็นได้ว่า คนและสัตว์ทุกอย่าง ทั้งคนและสัตว์ที่เกิดมาตายให้เราดูเป็นตัวอย่างและในเรื่องความตายนี้ไม่จำเป็นต้องศึกษาละเอียด เห็นกันอยู่แล้วทุกคน เพราะว่าคนส่วนใหญ่ลืมคิดไปว่าตัวเองจะตาย เคยไปในงานศพชาวบ้าน แต่ไม่ได้เคยคิดว่าเราจะเป็นศพอย่างชาวบ้านที่เขาตายกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...