เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพนำคณะไปยังศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้า เมืองเฉิงตู ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ตรงนี้ หากแต่ว่าอยู่ที่บริเวณอุทยานแห่งชาติหวงหลง แต่เนื่องจากว่าได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จึงต้องย้ายมาอยู่สถานที่นี้แทน

    จากที่พักวิ่งไปยังบริเวณศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้านั้น ก็ไม่นับว่าไกล หากแต่ว่าเมื่อไปถึงลานจอดรถแล้ว การที่ต้องเดินเพื่อเข้าไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อซื้อตั๋วเข้าชมหมีแพนด้านั้น เป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลทีเดียว แต่ว่าบริเวณลานจอดรถ ก็มีร้านจำหน่ายของที่ระลึกหลายสิบร้าน ยาวเหยียดทั้งสองฝั่ง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของที่ระลึกในรูปหมีแพนด้าเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ สารพัด แต่ว่ามีเสียงตักเตือนกันว่า "อย่าเพิ่งรีบซื้อ เอาไว้ขากลับแล้วค่อยมาซื้อ"

    เมื่อพวกเราเข้าไปถึงบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว คุณไวยากรณ์ มัคคุเทศก์ท้องถิ่นของเรา ก็ซื้อตั๋วเข้าชมให้แล้วทุกคน หลังจากที่รับตั๋วมา สแกนผ่านเครื่องไป ก็ต้องรอเข้าแถวเพื่อรอขึ้นรถไฟฟ้า ปรากฏว่าเขาจัดแถวได้สลับซับซ้อนมาก ม้วนกันไปม้วนกันมา อย่างชนิดน่าเวียนหัว กว่าที่จะได้ขึ้นรถไฟฟ้าก็ต้องเดินจนกระทั่งแทบจะเป็นลม..!

    เมื่อขึ้นรถวิ่งเข้าไปถึงบริเวณที่เป็นทางแยก เขาก็จอดให้พวกเราลง แล้วให้เดินขึ้นไปทางด้านบนกันเอง ในระยะที่ไม่ไกลมากนักก็เริ่มเป็นคอกหมีแพนด้า หรือจะเรียกว่าบ่อก็ได้ ซึ่งมีต้นไม้ มีอะไรเป็นธรรมชาติ แต่ว่าหมีแพนด้านั้นจะถูกกักอยู่ภายในกรง ลักษณะเหมือนกับคุกที่มั่นคงแข็งแรงทีเดียว รอบข้างมีแต่กล้องวงจรปิด บ่อหนึ่งมีกล้องถึง ๖ - ๗ ตัวเลยทีเดียว

    หมีแพนด้านั้นพอดีได้เวลาอาหารเช้า จึงเดินออกมา แต่น่าจะยังไม่หิวมาก จึงได้ปล้ำกัน ผลักกัน ฟัดกัน บางทีก็เดินกลับเข้าไปนอนในกรงของตนเองก็มี บรรดานักท่องเที่ยวยืนถ่ายรูปกันแน่นไปหมด โดยมีเจ้าหน้าที่ถือป้ายห้ามเสียงดัง แต่ก็อดไม่ได้ตามประสาคนจีน ซึ่งไปไหนก็ต้องมีเสียงดังมาก

    ครั้นเมื่อถ่ายรูปกันจนเป็นที่พอใจแล้ว พวกเราก็เดินสูงขึ้นไป ทางขวามือเป็นคอกหมีแพนด้าคอกที่ ๒ หรือว่าบ่อที่ ๒ คอกนี้มีหมีแพนด้าอยู่ด้วยกัน ๓ ตัว ออกมากินอาหารเช้าพอดี ปรากฏว่ามีเจ้าตัวหนึ่งน่าจะหิวน้ำมาก นอนพังพาบเอาหัวทิ่มลงไปในบ่อน้ำอยู่เป็นนาที แล้วถึงเดินไปกินไม้ไผ่ร่วมกันเพื่อนตัวอื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2024
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    ครั้นเลี้ยวซ้ายไปถึงคอกที่ ๓ ปรากฏว่าหมีแพนด้าคอกนี้น่าจะตื่นนักท่องเที่ยวที่เสียงดัง เมื่อปรากฏตัวออกมาแล้ว นักท่องเที่ยวชี้โบ๊ชี้เบ๊ ถ่ายรูปกัน จึงหนีกลับเข้ากรงไปเลย ทำให้ไม่รู้ว่าคอกนี้มีกี่ตัวกันแน่ ? พวกเราเมื่อผิดหวังจึงต้องเดินกันต่อไป ปรากฏว่าคอกหลัง ๆ สองคอกนั้นเป็นหมีแพนด้าโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ว่านอนกินไม้ไผ่อย่างมีความสุข

    พวกเราเดินลึกเข้าไปอีก จนกระทั่งเกือบจะออกมาด้านนอกถนนอีกฝั่งหนึ่ง ก็ปรากฏว่าหมีแพนด้าสามคอกแรกนั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ตัวเดียว แต่ว่าคอกสุดท้ายนี้กลับเฮฮาปาร์ตี้ อยู่ด้วยกันถึงสามตัว กินไม้ไผ่ร่วมกันอย่างมีความสุข ให้ทุกคนถ่ายรูปอย่างจุใจทีเดียว

    แล้วเราก็ต้องมาขึ้นรถอีกรอบหนึ่ง เพื่อพาไปตรงยังบริเวณสะพานเหล็ก ที่ข้ามห้วยเข้าไป ทางด้านนี้ก็มีหมีแพนด้าอยู่อีก แต่ว่าทางด้านนี้นั้นเป็นหมีแพนด้าแดง ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับชะมดมากกว่า นอนแอ้งแม้งอยู่บนต้นไม้ ต้องซูมกล้องจนสุด ถึงจะถ่ายรูปได้ อีกฝั่งหนึ่งก็มีกรงของบรรดาไก่ฟ้าหลังเงิน ไก่ฟ้าสีทอง ไก่ฟ้าหางลายขวางเลี้ยงดูอยู่ด้วย เมื่อเดินออกมาทางด้านนอก ก็ยังพอมีหมีแพนด้าให้ดูอยู่บ้าง

    แต่ปรากฏว่าเดินสุดออกมาแล้ว กลายเป็นที่จอดรถไฟฟ้าจุดแรก ที่พวกเรามาเข้าแถวขึ้นนั่นเอง โดยที่คุณไวมัคคุเทศก์ นัดแนะให้เราไปรออยู่ในอาคารซ้ายมือของทางออก ปรากฏว่าเป็นร้านจำหน่ายของที่ระลึก ทุกคนจึงต้องควักกระเป๋ามากบ้างน้อยบ้าง เพื่อที่จะซื้อของฝากคนอื่น แล้วก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ทั้ง ๆ ที่ซื้ออยู่ด้วยกันนั่นแหละ พอออกมาทางด้านนอกแล้ว ก็ยังมีการนำมาอวดกันอีก ก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าซื้อด้วยกัน ต่อราคากันแล้วมาอวดกันเองนี่ เขาเรียกว่า "ขิง" ใส่กันหรือเปล่า ?

    เสร็จสรรพเรียบร้อยจากการซื้อของ พวกเราก็ไปเข้าห้องน้ำก่อน หลังจากนั้นก็เดินย้อนออกไปบริเวณที่จอดรถ ซึ่งบรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายดูแลพวกเราวันนี้ดีมาก เนื่องจากว่าโดนกระผม/อาตมภาพต่อว่าไปเมื่อวัน โดยป๋าดิเรก (คุณดิเรก ฐิติโชติชยามร) ซึ่งมากับลูกสาว ก็คือตุ๊กตา (คุณมาลีรัตน์ นาคทอง) ปรากฏว่าป๋าดิเรกเดินพลาด เนื่องจากพื้นไม่เสมอกันแล้วหกล้ม ทำให้มีรายการโดนกระผม/อาตมภาพต่อว่าต่อขานขึ้นมา วันนี้บรรดาเจ้าที่จึงได้ประกบกันชนิดแทบจะคนต่อคน ตัวต่อตัวกันเลยทีเดียว..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2024
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    พวกเราออกมาแล้วก็ยังมีการมาซื้อของบริเวณร้านค้าหลายสิบร้านทั้งสองฝั่ง ที่อยู่บริเวณลานจอดรถ โดยเฉพาะคุณนวลจันทร์ เพียรธรรมนั้น ได้ซื้อกระเป๋าลายหมีแพนด้าไป เพื่อฝากพนักงานบริษัทของตนเองด้วย ส่วนคนอื่น ๆ ก็เสียเงินมากบ้างน้อยบ้าง มีแต่กระผม/อาตมภาพเท่านั้น ที่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะซื้อของด้วยกล้อง จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถ จนกระทั่งพวกเรามากันจนครบเรียบร้อยแล้ว ค่อยวิ่งไปยังร้านอาหาร

    ปรากฏว่าวันนี้โดนญาติโยมรังเกียจ เพราะว่าน้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) สั่งให้เขาจัดอาหารแยกต่างหากให้กับโต๊ะพระ โดยที่กระผม/อาตมภาพได้กำชับไปแล้วว่า ถ้าไม่สั่งจำนวนอาหาร เขาก็จะมาเท่ากับโต๊ะใหญ่ ก็คือ ๑๘ จาน บวกน้ำแกง ๒ อย่าง น้องการ์ตูนจึงสั่งเป็นกับข้าว ๕ อย่างมาให้ โดยที่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะกินได้สักครึ่ง ที่เหลือจึงต้องยกส่งไปให้โต๊ะใหญ่เขา ทำเอาบรรดาแม่ครัวเอะอะโวยวายกัน เพราะคิดว่าเรายังได้อาหารไม่ครบ ๕ จาน..! ต้องชี้แจงกันอยู่พักใหญ่กว่าที่จะรู้เรื่อง

    หลังจากที่อิ่มเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกวิ่งตรงเข้าป่า คำว่าตรงเข้าป่านี้ก็เพราะว่าจุดมุ่งหมายที่เราจะไป ก็คือบริเวณแดนสวรรค์จิ่วไจ้โกว ซึ่งอยู่ในป่าเขาลึกมาก พวกเราจึงต้องวิ่งออกจากเมืองตรงไป โดยที่เข้า ๆ ออก ๆ อุโมงค์เป็นว่าเล่น เพราะว่าเมื่อผ่านภูเขา "พี่จีน" ก็ไม่มีการที่จะอ้อมหลีก หากแต่ว่าเจาะอุโมงค์ผ่านไปตรง ๆ เลย..!

    จนกระทั่งมาถึงเมืองเวิ่นชวน พวกเราได้ลงพักรถ เข้าห้องน้ำกัน เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยก็วิ่งต่อมาบริเวณทะเลสาบเต๋ซี ซึ่งคนไทยมักจะออกเสียงว่าทะเลสาบเต๋อซี บริเวณนี้นั้นเกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ภูเขาหินถล่มทับลงมา สายน้ำเดิมซึ่งเคยไหลออกไปก็ไม่สามารถที่จะไหลได้ จึงกลายเป็นทะเลสาบขนาดมหึมา กลายเป็นบริเวณที่ผู้คนมักจะมาจอดรถ เพื่อชมทะเลสาบกัน

    แล้วก็มีชาวบ้านนำเอาวัวจามรีสีขาว ซึ่งน่าจะเป็นจามรีเผือก เพราะดูแล้วจมูกและตาเป็นสีชมพูทั้งหมด โดยที่เจ้าของดูแลดีมาก ก็คือวัวจามรีนั้น ขนได้รับการแปรงเรียบร้อย นุ่มนวลทีเดียว พวกเราจึงไปขี่วัวจามรีถ่ายรูปกัน โดยจ่ายค่าขี่คนละ ๑๐ หยวน แต่กระผม/อาตมภาพมีเงินหยวนใบเล็กที่สุด ก็คือ ๕๐ หยวน จึงยกให้เขาไปเลย โดยที่คนอื่น ๆ ที่เสียดายเงิน ก็เลยเปลี่ยนใจ จากที่กลัววัวจามรี กลายเป็นวิ่งมาขี่กันอุตลุด เพราะว่าว่าจะขาดทุน..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2024
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    เมื่อเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไป เพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางในคืนนี้ ก็คือบริเวณปากทางเข้าหุบเขาจิ่วไจ้โกว ปรากฏว่าวันนี้อากาศแปลกมาก เพราะว่าตั้งแต่เช้าก็ฟ้าเปิด แดดจัดเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วเราคงจะถ่ายรูปหมีแพนด้าหาความสวยไม่ได้เลย ถ้าหากว่าฟ้ามืดครึ้มแล้ว หมีแพนด้าก็ตัวกระดำกระด่างแบบนั้น บางทีอาจจะถ่ายไม่ติดเสียด้วยซ้ำไป..!

    ปรากฏว่าฟ้าเปิดยาวยืดมา จนกระทั่งพวกเรามาถึงเมืองโบราณซงพาน ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่มีมาเป็นพันปีแล้ว พวกเราได้เข้าไปชมบริเวณเมือง ซึ่งยังอนุรักษ์กำแพงเมืองหนา ๓ จั้ง เอาไว้ได้ ซึ่งคำว่าจั้งก็เป็นความยาวประมาณ ๓ เมตรเศษ ดังนั้นกำแพงเมืองหนา ๓ จั้ง ก็คงประมาณ ๑๒ เมตรของเรา เข้าไปภายในก็มีสินค้าที่ระลึก และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยเฉพาะรูปหล่อชาวเมืองโบราณที่ทำจากโลหะ เป็นวิถีชีวิตชาวบ้านที่ต้องอาศัยม้าในการขนใบชาไปจำหน่าย จนกระทั่งบางทีเรียกกันง่าย ๆ ว่า "ชาม้า"

    แต่ละคนก็หามุมถ่ายรูป และซื้อของกินกันตามอัธยาศัย โดยเฉพาะเหมาหนิวโร่ว หรือว่าเนื้อวัวจามรี ซึ่งทำในลักษณะเหมือนกับสเต๊ก แต่ว่าใส่พวกผงหมาล่าเป็นเครื่องปรุงรส ไม้ละ ๑ หยวนเท่านั้น ดูแล้วถ้าเป็นบ้านเราก็คงประมาณ "หมูปิ้งไม้ละ ๑ บาท" ทำให้จำหน่ายได้ดีเป็นพิเศษ

    จนกระทั่งพวกเรากลับขึ้นรถมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เวลา ๖ โมงครึ่งก็วิ่งออกจากเมืองโบราณซงพาน ปรากฏว่าอุณหภูมิลดฮวบ ๆ ลงไป จนเหลือแค่ ๙ องศาเซลเซียสเท่านั้น..! โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างถนนนั้น เห็นยอดเขาหิมะโผล่มารำไรทีเดียว แต่ปรากฏว่าเมื่อวิ่งต่อไป จนกระทั่งถึงเวลาทุ่มกว่า ถนนก็เป็นทางลาดลงยาวตลอด เพื่อไปลงยังปากหุบเขาจิ่วไจ้โกว จึงทำให้อุณหภูมิขึ้นมาที่ ๑๓ - ๑๔ องศาเซลเซียส

    พวกเรามาถึงโรงแรมที่พักเวลา ๒ ทุ่มโดยประมาณ ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวคณะอื่นมาด้วย จึงเบียดเสียดเยียดยัดกันหน่อย กระผม/อาตมภาพเข้าสู่ห้องพักได้ ก็รีบบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อที่จะนำมาออกทางช่อง YouTube ให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ฟัง ส่วนพรุ่งนี้ก็จะไปยังจุดมุ่งหมายในการเดินทางครั้งนี้ ก็คือสวรรค์บนดิน หรือว่าอุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกว มรดกโลกของประเทศจีนนั่นเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2024
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...