เห็นแต่ไม่รู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปุณฑ์, 5 ตุลาคม 2011.

  1. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ที่ตากนี่ ตอนน้ำจะมาวันที่ 5 6
    ฝนตกหนักมากๆ หลายวันติด
    เราก็คิดว่าน้ำจะมาใกล้บ้าน แต่คงไม่ท่วมบ้าน (ตามฝัน)
    แต่ขอบอก บรรยากาศ ที่บ้านน่ากลัวทีเดียว
    ของกทม. นี่อาจเลยจุดนั้น แต่ก็น่าเป็นห่วงมากมายเหลือเกิน
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ................ของผม ขึ้นอยู่กับบางกอกน้อย และมหาสวัสดิ์....2-3 วัน โดน แน่แน่ ขอบคุณที่ถามมาครับ และ ขอบคุณสำหรับถุงทรายที่มหาสวัสดิ์ ครับผม:cool:
     
  3. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    ทั้งบ้านทรัพย์สินทั้งคนและครอบครัวอยู่รอดปลอดภัยนะพี่ๆนะ:cool:
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผลกระทบจากน้ำท่วม นั้น เป็นลูกโซ่ครับ...ถ้าน้ำสูงขนาดอยู่ไม่ได้ ก็ ต้องย้ายออก ไปอยู่ศูนย์อพยพ หรือ บ้านญาติต่างจังหวัด แต่ ถ้าไม่ยอมย้าย..และ เป็นหมู่บ้านลึกลึก..ก็จะมีปัญหาเรื่องของกิน ของใช้ ไฟฟ้าถ้าตัด ก็จะลำบากไปอีกขั้น...และน้ำท่วมครั้งนี้จะขังไปอีกเป็นเดือน..(ทั้งคนต่างจังหวัดและกรุงเทพ).คงไม่มีใครสามารถทนอยู่ในสภาพแบบนั้นได้ นานนาน(เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย)...การเตรียมการ จัดการว่า เราเหมาะที่จะอยู่ แบบใหน ให้พอดี กับ ชีวิตเรา สำคัญมากทั้งที่มีทางเลือก และ ไม่มีทางเลือก...การ..ปรับตัวและสติจึงสำคัญมากครับ({)
     
  5. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    ถ้าน้ำขังนานระวังโรคที่เนื่องมาจากน้ำ
    ล้างบ้านใช้น้ำยาฆ่าเชื้อช่วยได้ สู้ๆนะครับ
    เมื่อวานมีรถติดเครื่องขยายเสียงรับบริจาค
    ช่วยไปตามเรื่องตามราวทั้งสิ่งของและเงิน
    อยู่ไกลช่วยไปตามกำลัง โอกาส ช่องทาง
     
  6. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ในนาทีที่เกิดวิกฤติปัญหาแล้ว
    ก็คงต้องร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าวิกฤติออกไป อย่าเห็นแก่ตัวเพราะจะตายกันหมด
    ไปขโมยถุงทรายมากั้นแค่หน้าบ้านตัวเอง แต่ถ้าน้ำเข้าแรงก็ไม่รอดอยู่ดี
    การรักษาส่วนรวมไว้ ทุกคนก็จักช่วยกันได้

    ในนาทีนี้ ก็ต้องฟังคนที่เขาเก่งมีประสบการณ์แนะนำและช่วยกันอย่างเคร่งครัด
    อย่างอดีตอธิบดีกรมชล และหลายคนออกมาแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่อย่างเร่งด่วน

    ส่วนการมองปัญหาโดยภาพรวม
    ว่าปัญหาเป็นมาอย่างไรและจะแก้ต่อไปอย่างไร
    ดร.สมิทธ เป็นผู้หนึ่งที่คร่ำหวอดมากับภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งแผ่นดินไหวและน้ำท่วม ฯลฯ

    ..

    ไม่ใช่ภัยพิบัติลงโทษแต่...บริหารน้ำผิดพลาด

    ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงอุตุนิยมวิทยา มายาวนาน ฟันธงว่าวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่เป็นผลพวงจาก "ภัยพิบัติ" แต่เป็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำไม่เป็น!!!

    "คือไม่สามารถจะบริหารน้ำได้ ไม่มีการติดตามข้อมูลตั้งแต่ต้นฤดูฝนว่าจะตกเยอะไหม ควรเก็บน้ำในเขื่อนไว้เท่าไหร่ ปรากฏว่าทุกคนเก็บน้ำไว้ในเขื่อนใหญ่หมด ทั้งกรมชลประทาน การไฟฟ้าฯ ซึ่งกลัวว่าจะไม่มีน้ำใช้ในหน้าแล้งซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ผิด

    ...ถ้าฝนตกต่อเนื่องทั้งกลางฤดู ปลายฤดู ยังตกอยู่ ปริมาณช่องว่างน้ำในเขื่อนจะไม่สามารถเก็บน้ำฝนกลางฤดูได้ ตอนนี้เขื่อนใหญ่เต็มหมดแล้วปัญหาคือ เมื่อเขื่อนใหญ่เต็มหมดแล้ว ก็ปล่อยน้ำในเขื่อนออกมาพร้อมกัน ปริมาณน้ำที่ปล่อยมามากกว่าปริมาณน้ำฝนที่ตกใส่เขื่อน"

    ดร.สมิทธ อธิบายว่า การปล่อยน้ำจากเขื่อนใหญ่ทั้ง เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ทำให้น้ำมารวมตัวในภาคกลางตอนบนไล่มาตอนล่าง ขณะที่ภาคกลางก็มีน้ำฝนที่ตกมาอยู่ท้ายเขื่อนอยู่ในที่ลุ่มอยู่แล้ว ดังนั้นน้ำในขณะนี้จึงมหาศาลมาก หลายคนบอกน้ำปล่อยมานิดเดียวแต่เพราะน้ำมีอยู่แล้วในที่ลุ่ม ในนา เมื่อปล่อยมาพร้อมกันปริมาณน้ำจึงมาก ทำให้หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมพร้อมกัน ตั้งแต่ จ.นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา

    "เป็นวิกฤตบริหารน้ำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่มีการวางแผนไว้ก่อน อันที่จริงเราควรเก็บน้ำไว้ครึ่งหนึ่ง และถ้ามีฝนกลางฤดูที่แล้วก็สามารถเก็บน้ำไว้อีกได้"

    ทั้งนี้ ที่ผ่านมานักวิชาการหลายคนบอกว่าน้ำไม่เคยสูงเช่นนี้ บางคนบอกน้ำเยอะแต่ไม่เคยท่วม ทุกคนต่างคนต่างมีข้อมูลของตัวเอง แต่ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเถียงกันเรื่องข้อมูล เพราะข้อมูลที่แท้จริงกรมอุตุนิยมวิทยามีอยู่แล้ว เรามีสถานีวัดปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน กว่า 200 แห่งที่วัดปริมาณฝนได้

    สำหรับแนวทางการแก้ไขในเวลานี้ ดร.สมิทธเห็นว่า จำเป็นที่จะต้องหยุดปล่อยน้ำจากเขื่อนเพราะช่วงนี้ไม่มีปริมาณน้ำฝนที่จะตกเข้าเขื่อนแล้วทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนนี้3 เขื่อนใหญ่ก็จะไม่มีน้ำเข้าแล้ว ดังนั้นถ้าเรายังปล่อยน้ำมหาศาลซ้ำเติมระบบน้ำท่วมที่อยู่ในภาคกลาง น้ำจะท่วมหมด

    "ความเสียหายเป็นแสนล้านบาท ประเทศไทยมีหน่วยงานที่ดูแลปัญหาเกี่ยวกับน้ำภายใต้สังกัดกระทรวงต่างๆ กว่า 20 หน่วยงาน แต่เราไม่มีดาตาเบส ต่างฝ่ายต่างทำไม่เอาข้อมูลมาแชร์กัน จึงทำให้ขาดผลวิเคราะห์ในการตัดสินใจ

    ...การบริหารน้ำถ้าไม่มีการประสานงานกันทั้งกรมอุตุฯ กรมชลฯ การไฟฟ้าฯ ว่าควรจะเก็บหรือปล่อยน้ำแค่ไหนมันก็ไม่มีฐานข้อมูลที่นำมาคำนวณปริมาณน้ำว่าควรจะปล่อยหรือพร่องน้ำในระดับใดจึงจะทำให้พื้นที่ไม่เดือดร้อน"

    นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าการไม่มีเอกภาพในการทำงาน การที่นักวิชาการทะเลาะกันเอง ไม่มีความรู้อย่างแท้จริงนำไปเสนอรัฐบาล จึงทำให้ระบบรวนทั้งหมด สุดท้ายก็นำไปสู่ปัญหาอุทกภัยทั้งๆ ที่น้ำมวลใหญ่ที่ปล่อยออกมาจากเขื่อนใหญ่ๆนั้นบริหารจัดการได้

    "ฝนปีนี้อาจจะมากกว่าปีที่แล้ว แต่การบริหารน้ำที่เราเก็บไว้มากไป แล้วปล่อยมาทีเดียว ไม่ปล่อยให้น้ำไหลไปตามธรรมชาติ หากปล่อยมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นฤดูตามธรรมชาติ กลางฤดูพอฝนตกก็เก็บบ้างปล่อยบ้างปลายฤดูก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยทีเดียวเยอะๆ น้ำก็จะไม่ท่วม ถ้าเราไม่ปล่อยน้ำก้อนใหญ่จากเขื่อน 3 แห่ง รับรองว่าน้ำไม่ท่วม กทม.ปริมณฑล พระนครศรีอยุธยา และอีกหลายจังหวัดอย่างที่เห็นกันอยู่"

    มาตรการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าเวลานี้ ดร.สมิทธ มองว่า อันดับแรกเขื่อนใหญ่ควรหยุดปล่อยน้ำและหาทางระบายน้ำที่อยู่ในแม่น้ำใหญ่ๆ ทั้งแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกงให้ลงทะเลเร็วที่สุด ด้วยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณปากแม่น้ำทั้งสามสาย เพราะช่วงนี้น้ำทะเลหนุนสูง น้ำเหนือไหลมาสมทบจะทำให้น้ำนิ่ง ไหลช้าลง ก็ต้องเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลก็จะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วม กทม.ได้

    "แต่เพราะหลายเขื่อนยังปล่อยมาหลาย100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่แม่น้ำต่างๆระบายต่อวันได้ไม่ถึง 50 ล้านลูกบาศก์เมตรทุกเขื่อนพร้อมใจกันปล่อย มันก็มารวมกันที่ภาคกลาง เหมือนเราเทน้ำลงมาพร้อมกัน น้ำที่เต็มแก้วเมื่อเติมไปอีกมันก็ล้น

    ...เรื่องนี้ไม่ใช่ภัยพิบัติลงโทษ แต่เป็นเพราะการบริหารน้ำที่ผิดพลาด หากเราบริหารไม่ดีท่วมแน่ ถ้าไม่รู้จักเก็บน้ำในเขื่อนไว้ให้เหมาะสม นอกจากนี้การบริหารในเขื่อนเล็กๆแต่ละเขื่อนไม่สามารถระบายออกทะเลได้รวดเร็วพอ มันก็เอ่อในที่ลุ่มภาคกลาง"

    ประเมินมาตรการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ออกมาถูกทางหรือไม่นั้น ดร.สมิทธ มองว่าจริงๆ รัฐบาลควรตั้งศูนย์เฉพาะกิจแต่แรกเพราะการบริหารภัยพิบัติใหญ่ๆ ต้องตั้งศูนย์เฉพาะ ต้องมีผู้บริหารใหญ่และผู้ควบคุมศูนย์คนเดียว จะเป็น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกหรือนายกรัฐมนตรี ก็ได้ แต่ต้องตัดสินใจคนเดียว ทว่าตั้งช้าไปหน่อย แม้ตอนนี้จะเริ่มมีการตัดสินใจเดินหน้าแก้ไขหลายเรื่องแล้วแต่มาเริ่มตอนวิกฤตน้ำใกล้ท่วม กทม.ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอยู่มาก ทำให้ผลกระทบเยอะ

    ส่วนความตื่นตระหนกของชาวบ้านที่ไม่มั่นใจสถานการณ์ และแก้ปัญหาด้วยการสร้างพนังกั้นน้ำหน้าบ้านตนเองจนวัตถุดิบขาดตลาดนั้น ดร.สมิทธ เห็นว่าอาจไม่ถูกต้องตามวิธีการ เพราะเป็นการสร้างที่ไม่มีหลักวิชาการการเอาดินวาง เอากระสอบทรายมาวาง มันสู้แรงดันน้ำไม่ได้

    ทั้งนี้ น้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร หนักถึง 1 ตันถ้าสร้างเขื่อนสูง 2 เมตร แสดงว่ามีแรงดันน้ำถึง 2 ตัน ดังนั้นหากเขื่อนสร้างไม่แข็งแรงน้ำจะซึม กระสอบทรายไม่หนักพอก็ทลาย น้ำก็จะไหลอย่างรวดเร็วและแรงจนเอาไม่อยู่

    ดร.สมิทธ อธิบายถึงแนวคิดที่ในอดีตเคยเสนอให้ตั้ง "กระทรวงน้ำ" ขึ้นมารับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรง ว่าเป็นเพียงข้อเสนอของนักการเมืองที่จะทำให้มีตำแหน่งทางการเมืองเพิ่มขึ้นทั้งรัฐมนตรี ที่ปรึกษาและข้าราชการการเมือง เป็นการสร้างตำแหน่งเปล่าๆ

    "ผมว่าทำอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันก็เหมาะสมแล้ว คือการตั้งศูนย์เฉพาะแล้วรวมเอานักวิชาการผู้มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำมารวมกัน แต่ว่าการบริหารต้องการคนที่รู้เรื่องมาคุยกัน อย่าให้มานั่งเถียงกัน และการตัดสินใจก็ให้นายกฯ เป็นผู้ชี้ขาด"

    เขื่อนใหญ่ต้องหยุดปล่อยน้ำ
    ยังต้องลุ้นระทึกกับมวลน้ำก้อนใหญ่ ที่คาดว่าจะถึง กทม.ในวันสองวันนี้ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ยังอดเป็นห่วงฝีมือ กทม. กับการผันน้ำ กทม. หากเกิดน้ำทะลักเข้าพื้นที่เข้ามาจริงๆ
    [​IMG]
    "ผมไม่เชื่อฝีมือ กทม. เพราะไม่เคยศึกษาหรือไปดูเขื่อน เช่น เขื่อน จ.ปทุมธานี ที่เพิ่งแตกไป กทม.ก็ไม่ดูแลบอกว่าท้องถิ่นสร้างขึ้นเอง ทั้งที่จริงแล้ว กทม.ควรมีหน้าที่ไปดูแลพื้นที่ด้วย เพราะน้ำที่จะแตกจากปทุมฯ จะเข้า กทม.กทม.อยู่ติดจังหวัดต้นน้ำ ถ้าเถียงกันอย่างนี้ กทม.จมแน่"

    ทั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าเขื่อนรอบๆ กทม.จะมีความแข็งแรงพอหรือไม่ เพราะเขื่อนกั้นน้ำของ กทม.มีทั้งเขื่อนดินและเขื่อนคอนกรีต กระสอบทรายโดยเฉพาะในพื้นที่รอบนอก ทาง อบต. และอบจ. จะเป็นคนดูแล โดยใช้ผู้รับเหมาก่อสร้าง ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ อาจทำให้มีปัญหาเรื่องความแข็งแรง

    "อันนี้ถือเป็นจุดอ่อนจะทำให้เกิดวิกฤตน้ำในกทม.ได้ ขณะนี้น้ำล็อตใหญ่ที่มาจากเขื่อนภูมิพลสิริกิติ์ ป่าสักชลสิทธิ์ กำลังผ่านเข้ามาใน 3-4 จังหวัดที่ท่วมอยู่แล้ว กทม.จึงต้องระวังเพราะเป็นช่วงน้ำทะเลหนุน ตอนนี้ดูแล้ว กทม.คงรอดยาก"

    ดร.สมิทธ ประเมินว่า วิธีการแก้ไขให้ได้ผลเร็วคือ ต้องหยุดปล่อยน้ำจากเขื่อนใหญ่ จากนั้นตั้งเครื่องสูบน้ำที่ปลายแม่น้ำที่จะลงสู่ทะเลให้มากที่สุดเพื่อสูบน้ำออกปากอ่าว นี่คือวิธีเดียวที่จะระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    "การเอาเรือไปดันน้ำจะดันได้เฉพาะผิวน้ำเท่านั้น ไม่สามารถดันน้ำที่อยู่ลึกไปข้างล่างได้พระราชดำรัสของในหลวงเรื่องการสร้างคลองลัดโพธิ์ การที่เป็นคลองแคบจะทำให้การดันน้ำไหลออกจากคลองได้เร็ว แต่ถ้าเอาเรือหลายลำไปผูกแล้วดันน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กว้าง เป็นการเสียน้ำมันเปล่า เพราะดันได้แค่ผิวน้ำเท่านั้นเรื่องนี้ต้องคิดต้องรู้ลักษณะของน้ำ ดังนั้นที่ถูกต้องคือการตั้งระบบสูบน้ำที่ปลายคลองหรือปลายแม่น้ำออกสู่ทะเลเลย"

    สำหรับแนวคิดที่ กทม.ลงทุนทำอุโมงค์ยักษ์มีการระบายน้ำจากที่ลุ่มของกทม. เช่น รามคำแหงหนองจอก แทนที่จะระบายออกอ่าวไทย แต่กลับเอามาออกที่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งไม่ช่วยอะไรเลยเพราะจะทำให้เจ้าพระยาล้นตลิ่งอีก หมุนเวียนถ้าจะลงทุนให้มากหน่อย วางท่อให้ยาวแล้วไปลงที่อ่าวไทยจะดีกว่า และทำให้ กทม.ปลอดภัยจากน้ำท่วมด้วย ไม่รู้ทำไมถึงคิดกันแค่นี้ เห็นว่าผู้ว่าฯกทม.จะทำอีกหลายอุโมงค์แต่ไม่รู้จะไปออกที่ไหน

    ดร.สมิทธ ประเมินถึงสถานการณ์พายุบันยันที่วิเคราะห์แล้วเชื่อว่าไม่เข้าไทย แต่การที่นักวิชาการไม่มีความรู้แล้วไปให้ข้อมูลกับ ศปภ.และนายกฯ ว่าพายุจะสร้างผลกระทบต่อประเทศทำให้เกิดความตื่นกลัวกันหมด คนไม่รู้มาพูดทำให้ตกใจและประเมินพลาด

    "พายุลูกนี้จะเข้าที่อ่าวตังเกี๋ย ประเทศจีนจากนั้นก็จะไปเวียดนามเข้ามาทางเหนือบ้านเราก็จะทำให้มีฝนตกนิดหน่อยที่เชียงใหม่ เชียงรายจากนั้นจะทำให้อากาศหนาวเย็นลง ผมอยากขอให้คนที่ไม่มีความรู้เรื่องอุตุนิยมวิทยา หรืออุทกวิทยา หยุดให้ข้อมูล เพราะจะให้เกิดความตระหนก แตกตื่นกันไปหมด"

    ดร.สมิทธ วิเคราะห์ต่อไปว่า หลังจากนี้ทางภาคเหนือ ภาคอีสาน จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วหากมีพายุเข้ามาจะไม่ส่งผลให้มีฝนตก หรือถ้าตกก็จะไม่มาก สิ่งที่กรมอุตุฯ และรัฐบาลต้องระวังต่อไป คือ ร่องลมมรสุมที่จะเลื่อนจากภาคกลางตอนล่างไปยังตอนใต้ ผ่านสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ซึ่งปีที่แล้วช่วงเดือนเดียวกันก็มีพายุดีเปรสชันก่อตัวทางทะเลจีนตอนล่างพัดเข้าสู่อ่าวไทย คลื่นลมที่พัดมาจะทำให้เกิดคลื่นพายุหมุนซัดชายฝั่ง(สตอร์ม เซิร์จ) สูง 4-5 เมตร และจะส่งผลกระทบให้ภาคใต้ เช่น ปัตตานี ยะลา

    ดังนั้น ข้อมูลในการเตือนภัยพิบัติของกรมอุตุฯ จะต้องแม่น และหากสภาวะลมแรงจะทำให้สตอร์ม เซิร์จ สูงถึง 5-6 เมตร ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณแนวฝั่งและรัฐบาลต้องเตือนให้เขาอพยพไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัย

    น้ำท่วม...บริหารจัดการไม่เป็น - โพสต์ทูเดย์ ข่าววิเคราะห์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2011
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    จะว่าไป ประเทศไทยโชคดี ไม่เคยเจอพายุระดับทอร์นาโด ไต้ฝุ่น ฯลฯ
    อย่างเก่งก็แค่ ดีเพรสชั่น โซนร้อน ..
    ยังเป็นกันได้ขนาดนี้

    มันถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องระดมคนเก่งมาบริหารประเทศ
    ในยุคที่โลกกำลังเอาคืน กับภัยพิบัติต่างๆที่ทยอยเกิด
    เพื่อวางแนวของรักษาประเทศไว้
    ไม่ใช่พวกเด็กสร้างบ้าน

    ไม่เช่นนั้น ฟ้าดินจะลงโทษก่อนภัยพิบัติ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เราไม่เคยเจอพายุทอร์นาโด แต่เราเจอ สะโพก [ ห้าม Click ดูเฉลย ]

    เราไม่เคยเจอใต้ฝุ่น แต่เราเจอ เปื้อนฝุ่น [ Click ดูเฉลยพอได้ ]


    คำเตือน : ภิกษุ และ ผู้มีเน็ตช้า ไม่ควรคลิกแม้แต่คลิกเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2011
  9. ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +141
    วูบหน้าผากเลย ๕๕๕ขุดหลุมดักคนเล่นนิ:'(
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ครับ เห็นด้วยทุกประการครับ...นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว คนทุกคนต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม ความร่วมมือ และ อีกสารพัด:'(
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แหม เล่าสภาพธรรมแบบนี้ บ้างค่อย ชื้นใจหน่อย

    มันแสดงได้ว่า จิตนั้นมีเจ้าหน้าที่ ที่คอยดูและให้จิตเข้าไปทำ "สมถะ" ตาม
    หน้าที่ของตนอยู่เหมือนกัน เรียกว่า "อาการเพ่งฌาณ" เพื่อกั้น บางสิ่งที่จะ
    ไหลออกจากมโนทวารหลังจากจักษุวิญญาณกระทบรูป แต่ไม่ขึ้นวิถีอกุศลจิต
    แต่ไหลเข้าภวังคกิจ(เพ่งฌาณ)แล้วรักษาภพที่ดีนี้ไว้แทน ก็จะเป็นอาการ
    หน่วงๆที่คิ้ว เป็นลักษณะทั่วไปของ สมาธิอินทรีย์อ่อน หากสมาธิอินทรีย์มี
    มากก็จะเป็นนิมิตกระด่งกระดูก หรือไม่ก็แยกออกเป็นเม็ดสีแล้วภาพเบลอลง
    ไปไม่เป็นหน้าคน เป็นต้นฯ

    ทีนี้ อาการนี้เรียกว่า สมาธิมันล้ำหน้า ซึ่งมีดีกว่าไม่มี นิยมใช้เป็นแผน
    แรกและมักเรียกว่า หลักเกณฑ์

    หากไม่มี ก็จะมีการตรึกธรรม ใคร่ครวญแบบปัญญานึกคิด อันนี้เป็น
    แผนสอง หากไม่มี หรือไม่เคยทำแผนนี้ ก็ไม่ได้กิน ไม่มีทางรู้จักทางเอก

    ฮะเอ่อ....เป็นไงหละ

    มาถึงจุดนี้ต้องทำใจนะ ธรรมะจะฟังยากขึ้น สำหรับคนที่ยังฟังธรรมจาก
    เพื่อน หรือ ฟังธรรมจากภายนอก แต่จะง่ายมั๊กๆ หากฟังแล้วนมสิการ
    ฟังธรรมจากภายในแทน

    คนที่ฟังธรรมนอกๆ ธรรมในๆ แล้ว ฟังธรรมจากตน(กลาง)เป็นราวเกาะ
    แทน ตรงนี้ถึงจะเรียกว่า ฟังธรรมเป็น นอกนั้นเรียกว่า ยังทำตามๆกันไป
    หรือ ยังถือว่ามีอาจารย์ หรือ ยังถือว่ายังใช้อยาตนะนอก

    เรียกว่า ทั้งสองอย่าง คือ สมถะ และ วิปัสสนา ต้องทำทั้งคู่ แต่ทำใน
    ที่นี้ต้องให้ จิตมันแสดงอาการของมันเอง อย่างเช่นอาการหน่วงหน้า
    ผาก อันนี้ มันเป็น วิบากอาการจากจิตไหลไปทำสมถะ(จิตเพ่งฌาณเรียบ
    ร้อยไปแล้ว) ถือว่า เราไม่ได้ปรุงขึ้น แต่มันเกิดเอง บางคนไม่เกิดหน่วง
    ศรีษะ(สติอบรม/บังคับจิต-สมถะ)แต่จิตไหลไปตรึกหรือบริกรรมแทน อันนี้คือ
    "ปัญญาอบรมสมาธิ"

    อาการทั้งสอง ไม่เอาทั้งคู่ คือ ให้นำมา"อาศัยระลึก" อาศัยเห็น พฤติจิตทั้งคู่

    ถ้าเอา ทำเพื่อเอา "เอาอยู่" ก็จะ "ยิ่งไหล" คือ ไปตัดคิด(จิตอกุศล)ติด
    สมถะบ้างหรือไม่ก็ เอาแต่ตรึกจนจิตข้ามการไหลไปอกุศลบ้าง แต่หาก
    เราทำเพื่ออาศัยระลึกนะ จะเห็นเลยว่า มันมีอีกสภาวะธรรมหนึ่ง ที่เป็น
    หนึ่งและฉลาดกว่า และมีหน้าที่ "รู้" อย่างเดียว ส่วนเรื่องไหลไปทำสมถะ
    เข้าภพ หรือ ไหลไปคิดอยู่ในภพ ล้วนแต่เป็น จิตที่ไหลออกไปจากฐานรู้
    แล้ว เรียกว่า "ไม่รู้"

    ฝึกเห็นจิตไหลไปด้วยอาการสมถะบ้าง ไหลไปตรึกนึกคิดบ้าง ดูไปเรื่อยๆ
    ก็จะค่อยๆไล่ตาม "จิตตีนนท์" ได้ ก็จะไปแย่ง "หญ้าปากคอก" กินกัน

    * * * *

    คำเตือน : เมื่อภาวนามาเห็น สภาพธรรม สมถะ และ วิปัสสนา ชัดจิต
    จะเริ่มผลิกไปมี มหากรุณา หากไม่มีธุระปะปังอะไร อย่ามาเสียเวลาให้
    น้อมไปที่ มรณะสติ เพื่อยกเข้า มุทิตาจิต หรือ ธรรมสังเวชเสีย จะได้ไม่
    เสียเวลาภาวนาแบบควบสมถะและวิปัสสนาเคียงกันไป เพราะมันจะยาว
    โดยไม่จำเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2011
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
  13. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    <table class="news2006_topic" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="595"><tbody><tr><td height="10" width="585"><table class="news2006_topic" border="0" width="100%"><tbody><tr><td align="left" valign="bottom">ตกไหลในพรุ วิชาเด็กท่าสะท้อน

    </td> <td align="right" width="100">
    </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td>[​IMG]</td> </tr> <tr> <td class="news2006_graylight" height="10">โดย ข่าวสด วัน ศุกร์ ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550 14:24 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="595"> <tbody><tr> <td height="10">
    </td> </tr> </tbody></table> <table class="news2006_black" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="595"><tbody><tr><td rowspan="6" width="10">
    </td> <td width="575">คอลัมน์ สดจากเยาวชน

    สุคนธ์วิชญ์ นิภานนท์


    [​IMG]"วิธีการสังเกตหารูปลาไหลให้ดูที่ปากทางเข้าใต้น้ำ จะมีขี้ปลาไหลเห็นเป็นขุยสีขาวนวลอยู่ มองเห็นได้ชัดเจนเลยครับ" กอล์ฟ เด็กชายกฤษฎา ทองแดง บอกเล่าถึงวิธีการหารูปลาไหลในป่าพรุ

    วันนี้ กอล์ฟและเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดท่าสะท้อนอีกหลายคนมากันที่ป่าพรุของชุมชน มาเรียนวิชาทรัพยากรก่อเกิดชีวิต ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งของสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตนเอง โดยหัวข้อการเรียนรู้ของวันนี้คือเรื่องการตกปลาไหลในป่าพรุ

    โรงเรียนวัดท่าสะท้อนเป็น โรงเรียนประถมศึกษาตั้งอยู่ที่หมู่บ้านท่าสะท้อน ต.ชะอวด อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เปิดสอนครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2502 จนกระทั่งปี พ.ศ.2547 หลังจากประสบปัญหาขาดแคลนครูผู้สอนมาอย่างต่อเนื่อง โรงเรียนบ้านท่าสะท้อนจึงปิดตัวลงในที่สุด นักเรียนที่เหลืออยู่ก็ถูกโอนย้ายไปเรียนยังโรงเรียนที่อยู่ไกลออกไปนอกหมู่ บ้าน

    [​IMG]จน เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2550 หลังจากลูกหลานบ้านท่าสะท้อนต้องเดินทางไปเรียนยังโรงเรียนที่อยู่ไกลชุมชน มานานกว่า 3 ปี โรงเรียนวัดท่าสะท้อนจึงเปิดทำการเรียนการสอนอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นผลมาจากการรวมตัวเรียกร้องของชาวบ้านท่าสะท้อน เพื่อให้มีสถานศึกษาที่อยู่ในชุมชนแก่เด็กๆ

    โรงเรียนเปิดใหม่คราว นี้ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมกับโรงเรียน กำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนในส่วนสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของเนื้อหาการเรียนการสอนทั้งหมด เด็กๆ จะได้เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตและทรัพยากรในชุมชน โดยมีครูผู้สอนเป็นชาวบ้านในชุมชน เรียกกันว่าครูมืออาชีพ

    ครูบ่าว หรือสมศักดิ์ คงทอง ครูมืออาชีพเรื่องการตกปลาไหลผู้พาเด็กๆ เข้ามาเรียนกันถึงในป่าพรุวันนี้ บอกว่า "เรา สอนเรื่องนี้ให้เด็กๆ เพราะว่าการตกปลาไหลถือเป็นอาชีพสำคัญอีกอย่างหนึ่งของผู้คนในชุมชน เด็กๆ จะได้เรียนรู้วิธีการหาอยู่หากินที่ชาวบ้านสืบทอดกันมาเนิ่นนาน ภูมิปัญญาเรื่องปลาไหลจะได้ไม่สูญหายไป"

    กอล์ฟบอกเล่า ความรู้เรื่องการตกปลาไหลที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากครูมืออาชีพให้ฟังว่า "หลังจากหารูปลาไหลเจอแล้ว ก็ต้องค่อยๆ เดิน เบาๆ เงียบๆ อ้อมไปหารูปลาไหลที่อยู่บนโคก ถ้าปากรูไม่มีหญ้าขึ้นอุดและน้ำสะอาดแปลว่ารูยังไม่ร้าง ยังมีปลาไหลอยู่ในรู"

    "หลังจากนั้นก็หย่อนเบ็ดลงไปในรูปลาไหลบนโคก ใช้นิ้วสะกิดเบ็ดให้กระตุกเป็นจังหวะเพื่อล่อปลาไหลให้มากินเหยื่อ" เบ็ดตกปลาไหลทำจากก้านหวาย ใช้เหยื่อเป็นเนื้อปลาเกี่ยวเข้ากับตะขอ ใช้เชือกมัดเหยื่อให้แน่นอีกทีเพื่อกันเหยื่อหลุด

    กอล์ฟบอกว่า "ส่วนที่ยากที่สุดก็คือการรอปลาไหลกินเบ็ดนี่แหละครับ ต้องใจเย็น ใช้สมาธิและต้องเงียบๆ ด้วย ถ้าเสียงดังปลาไหลจะไม่กินเบ็ด"

    กอล์ฟเล่า ให้ฟังว่า "ครูมืออาชีพสอนว่าปลาไหลในพรุบ้านเรามีทั้งหมด 3 ชนิด คือ ปลาไหลหัวแหลม ปลาไหลหัวป่าน และปลาไหลหางจาก ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเข้าพรุมาตกปลาไหลคือช่วงเช้า เพราะถ้าเป็นช่วงกลางวันไปแล้วน้ำในพรุจะร้อน ปลาไหลจะไม่ออกจากรู โอกาสตกปลาไหลได้จึงน้อย"

    [​IMG]ปกติ เด็กๆ ในชุมชนอย่างกอล์ฟหาโอกาสที่จะเข้ามาในป่าพรุของชุมชนได้ยาก ป่าพรุบ้านท่าสะท้อนเป็นเขตป่าเสื่อมโทรมเชื่อมต่อกับเขตป่าสงวนแห่งชาติ บ้านกุมแป ถือเป็นพื้นที่สาธารณะที่ชาวบ้านเข้ามาหาอยู่หากินกันเป็นประจำ เข้ามาวางไซหรือยกยอจับปลา ตกเบ็ดปลาไหล หาน้ำผึ้งและเก็บกระจูดเอาไปสาน

    กอล์ฟบอกว่าถ้าไม่ได้มาเรียนเรื่องการตกปลาไหลก็คงไม่ได้เข้ามาในป่าพรุ "ได้ เข้ามาเรียนรู้และปฏิบัติจริงในป่าพรุ มาเห็นกับตาตัวเองดีกว่าเรียนในห้องเฉยๆ เมื่อก่อนเคยเห็นผู้ใหญ่มาตกปลาไหลในพรุแต่ทำไม่เป็น แต่ตอนนี้ตกปลาไหลได้ด้วยตัวเองแล้ว นอกจากนั้นยังทำให้รู้ว่าป่าพรุมีความสำคัญกับชุมชนเรามากเพียงใด"</td></tr></tbody></table>
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เด็กใต้ ตกปลาใหลในพรุ แต่ เด็ก กทม ตกปลาในท่อน้ำ...ผู้รายงานข่าวไม่ทราบสำนัก รายงานว่า พบเจอการตกปลาในท่อน้ำ..ที่บริเวณด้านข้างลานพระบรมรูปทรงม้า มีท่อน้ำข้างฟุตบาทของกทม...มีกลุ่มชายฉกรรณ์หลายนายกำลังตกปลาโดย หย่อนเบ็ดลงไปใน ฝาท่อ ที่มีรูอยู่ ได้ปลา หมอ ปลา ช่อนปลาดุก...จากการสอบถาม ได้ความว่า ท่อน้ำ นี้ มีส่วนหนึ่งที่ต่อกับสระ ในสวนสัตว์ ดุสิต คาดว่าปลารักอิสระจำนวนหนึ่งว่ายออกมาตามท่อ...จนตกมาเป็นเหยื่อของคนในที่สุด ถือว่าเป็นงานอดิเรกที่แปลกของชาว กทม จบการรายงานข่าวมโนสาเร่..ครับ.:cool:
     
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ที่จริงยังไม่ได้ตอบคำถามขมิ้นชันแบบความเห็นส่วนตัวเลย
    เรื่องที่คิดไม่แจ้งไม่แทงตลอดสาย
    แต่ยก สุตะ จินตะ ภาวนา มาเป็นหลักเกณฑ์ให้พิจารณาก่อน
    (เพื่อความเข้าใจโดยรวม)
    กับ หญ้าปากคอก ของคุณจิต ที่ว่า หยุดที่รู้

    หากนำเอามาเชื่อมกัน ก็คนนึงอยากรู้ต่อ อีกคนนึงอยากรู้หยุด(หยุดแล้วจะรู้)
    ก็เอาประสบการณ์ของตัวเองมา สมัยวัยรุ่นที่เป็นคนชอบคิด
    (คล้ายขมิ้นชันหรือเปล่าไม่ทราบ)
    เป็นคนขี้สงสัย ดังนั้นจะต้องคิด เดินคิด นั่งคิด นอนคิด ในเรื่องที่สงสัยอยู่ตลอด
    ก็คือต้องคิดให้ออกตลอดสาย คืออยากรู้คำตอบในสิ่งที่สงสัย
    แต่สิ่งที่ประสบมา ก็คือเกิดสมาธิในความคิดเป็นหนึ่งมีสติตามรู้สิ่งที่คิด คือเกิดกำลังในการตื่นรู้อย่างยิ่ง จนพอมีกำลังมากก็หยุดคิดไปต่อหน้าต่อตา(เข้าเอกัคตา) เรียกว่ายังคิดเรื่องสมมุติไม่แจ้ง ก็เข้าฌานไปก่อน เมื่อออกจากฌานก็รู้ปรมัตถ์ว่าความคิด(จิต)ไม่เที่ยงบังคับไม่ได้ เนี่ยรู้เพราะหยุด ต่างจากที่บังคับความคิดจนเป็นสมาธิ คือยิ่งคิดยิ่งรู้.. และหากไม่อุปาทานคิดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จะทราบว่าคำตอบของเรามันชัดเจนหรือยังคลุมเครือ เนี่ยเพราะอยากให้รู้ตลอดสาย แต่ก็อย่าไปยึดแม้นรู้สึกว่าคิดชัดเจนแล้วเพราะจะไม่ทำให้สามารถรับข้อมูลใหม่ได้ อีกสิบปีข้างหน้าเราอาจทราบในสิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าก็ได้

    หลายครั้งที่เข้าฌานแล้วออกมาคิดต่อ คือรู้ปรมัตถ์เรื่องนึง (รู้จริงเพราะเข้าไปเห็นไม่ใช่คิดรู้) แต่เรื่องสมมุติก็ยังอยากคิดต่อ อากจากฌานก็คิดต่อ เพราะอยากรู้เรื่องสมมุติเดิมที่ยังคิดต่อ

    คำว่าคิดออกตลอดสาย เราอาจจะคิดไม่ออกในเรื่องที่ขบคิดอยู่ในขณะนั้นก็ได้ แต่การเจริญสติสมาธิในความคิดที่เราเกาะอยู่ อาจนำพาไปสู่สภาวะการพ้นจากความคิด รู้โลกกับรู้ปรมัตถ์ มันก็มาเชื่อมกัน

    แต่ถ้าเราไม่อยากคิด(พวกจริตไม่ชอบคิด) ก็อย่าทิ้งตัวรู้ และก็อย่านึกว่าความคิดจะหยุดได้ง่ายๆ เพราะมันแค่พัก(เพราะสงบอยู่) แต่ถ้าหยุดได้จริง นั่นก็เพราะเราไม่ทิ้งตัวรู้หรือสตินั่นเอง
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    นิมิตหลายปีก่อน ก็น่าจะเฉลยแล้ว
    พระอาจารย์รัตน์ บอกว่าปีนี้แค่ท่วมเทียม
    อย่างไรถ้าใครพร้อมจะอพยพจริงๆ โดยไม่ฉุกละหุก
    ก็วางแผนกันได้แล้วเนอะ
     
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    จะบอกว่า เกือบทุกครั้งที่ นึกประโยค สั้นๆ โดยที่แค่คิดถึงเรื่องนั้นๆ แล้ว
    ประโยคเหล่านั้นจะออกมาเอง บ่อยครั้งที่เขียนไว้ บันทึกไว้
    เพราะตัวเองก็ไม่ได้เข้าใจ แจ้ง ในข้อความที่ออกมาหรอก
    จะมา บางอ้อ ทีหลังทุกครั้ง
    แรกๆที่เกิดแบบนี้จะคิดๆๆๆ แล้วก็ปวดหัว เครียด หาคำตอบของประโยคที่เขียนเองไม่ได้ ไม่แจ้ง ไม่เข้าใจ มันตัน
    แต่พอช่วงหลัง เขียนแล้วทิ้งไว้ (คิดแล้ววางเสีย)
    ไม่นานจะแจ้งได้เอง โดยที่ไม่ได้ย้อนกลับมาคิด เพียงแค่จะมีคำหรือเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงมาสะกิด
    จึงเพิ่งมาเข้าใจ อยุดที่รู้ ว่าความหมายที่ที่ตนเขียนเองแต่แรกนั้น เป็นเช่นไร
    มิใช่การหยุดรู้ หยุดคิด หากแต่ คำตอบอยู่ในประโยคนั้นแล้ว
    จบประโยค แล้ว
     
  18. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ถ้ารู้ที่หยุด (หยุดคิดเลยรู้) มันจะรู้เรื่องที่เลยคิด ไม่ใช่เรื่องที่คิดอยู่
     
  19. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    [​IMG]
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มันส์ แต่ตรงนี้ จะมีเครื่องมือดูว่า ภาวนาอยู่ในทางหรือเปล่า

    ซึ่งจะมีสองอย่าง คือ กิเลส3 หรือ สัมปชัญญะ(สมถะยากนิก
    ไปเรียกว่า ผู้รู้ ซึ่งจะอธิบาย รู้+สติ ที่ไปใช้แบบนั้น เพราะไม่ได้
    เล็งกลับมาที กายคตา หากเอาสมาธิมาวางที่กายคตา จะรู้ทัน
    ทีว่า ควรเรียกว่า สัมปชัญญะ )

    ก็จะเห็นว่า หากหนักไปทางปัญญา ตัววินิจฉัยว่า อยู่กับงานหรือเปล่า
    คือ เรี่องที่คิดมันหักกิเลส หรือว่า เรื่องเรื่อยเปื่อย

    ส่วนกายคตา หรือ สมถะยากนิก จิตผลิกไปเพ่งฌาณ(หยุดคิด) แล้ว
    มันออกไปที่อะไร หากออกไปที่ กองสมาธิฐานนอกกาย ก็จะถือว่า
    ติดสมถะ แต่หากพิจารณามาที่กายคตาแล้วแลอยู่ จะอยู่กับงาน(สงัดจาก
    ทิฏฐิหรือ ห่างจากกิเลส) [ บางครั้งจิตก็คิดต่อ แต่มันมีจิตที่พิจารณากาย
    เกิดร่วมด้วย แบบนี้ก็มี -- ไก่ตาแตกแถวๆนี้แหละ ]

    อีกอย่าง กรณีที่คิดๆๆ แล้วเห็นความคิด หรือ เห็นว่าจิตกำลังคิด ตรง
    นี้จะต้องผลิกอีกหน่อย ไม่ได้เอาจิตที่รู้คิด ตัวนั้นไม่ใช่ แต่ให้ดูมา
    ที่จิตอีกตัวหนึ่งที่ทำงานในขณะปัจจุบันได้ คือ สมองมันคิดหลายเรื่อง
    แต่ทว่า การงานกับเดินได้อย่างราบรื่น ไม่เบลอลงไปกับการคิดเสียหมด
    ตรงนี้จะเห็นว่า ผลิกดูดีๆก็เป็นจิตที่เป็นกายคตาเหมือนกัน เป็นสัมปชัญญะ
    เหมือนกัน ให้ดูมาที่ตัวนี้ ไม่เอาจิตไปรู้คิด(ส่งในเกินไป) ยิ่งจิตรู้เรื่องที่คิด
    (ส่งออกนอก)ให้โยนทิ้งไปเลยจะคนละเรื่อง แต่การเห็นแบบนี้ จะชั่วฟ้าแล๊บ
    ต่างจากสมถะยานิก

    พอเห็นฐานจิตได้แจ่มๆ จะรู้เลยว่า จิตอยู่ตรงไหนจะปราศจาก "อุปกิเลส10"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...