แฉความลับ (ทหารปฏิรูปประเทศไทย)

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 15 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 10 ส.ค.57 ส่งบุญวันพระ และอวยพรสาร์ทจีน สายสัมพันธ์ 2 เชื้อชาติ

    วันนี้เป็นวันสาร์ทจีน และเป็นวันพระพอดี เป็นวันมงคล อวยพรให้คนพุทธ คนจีน และคนเชื้อสายจีนทั่วโลกทุกท่าน มีความสุข อิ่มบุญ และร่ำรวย

    ไทย-จีน ใช่อื่นไกล เราเป็นพี่น้องสายเลือดเกี่ยวพันกันมานานกว่า 1 พันปีแล้ว และจะยังคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป ตราบนานโดยมีศาสนาพุทธ เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรม 2 ชนชาติ



    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 10 ส.ค.57 ทหาร อกสามศอก กับผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เขาเรียกว่าแม่

    ทหารรูปร่างใหญ่โต กล้ามแน่นเป็นมัดๆ ความสามารถจากการฝึกหนัก เขาสามารถหักคอข้าศึกรุกรานได้ภายในพริบตา ทหารที่ฝึกเป็นนักรบพิเศษ สู้กันตัวเปล่ากับชายทั่วไป เขาสามารถยืนหยัดล้มคู่ต่อสู้ได้เกิน 30 คนสบายๆ

    แต่ยามเขาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เขาเรียกว่า "แม่ " เขากลายเป็นเด็กหนูน้อยตัวเล็กๆ ไร้เขี้ยวเล็บความแข็งแกร่งโดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงก้มลงกราบเท้าผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดมาเท่านั้น..หากท่านเป็นแม่ของทหารผู้นี้ ท่านจะรู้สึกภูมิใจแค่ไหน ?

    แต่หากให้ยอมก้มหัวให้ศัตรูเพียงน้อยนิด ทหารก็จะขอสู้จนตัวตายดีกว่า เหมือนดั่งผู้การแดงกับลูกน้องไม่กี่คน ตอนปี 53 ที่กลุ่มติดอาวุธแดง นปช.ล้อมศูนย์ดาวเทียมไทยคมไว้ และบังคับว่าหากจะออกไป ต้องก้มคลานลอดหว่างขาแกนนำ นปช.ไปเท่านั้น

    แต่ทหารไทยไม่มีวันยอมเช่นนั้น ตายเป็นตาย แต่ใครจะตายก่อนกัน และตายมากกว่ากันก็ยังไม่รู้ เมื่อทหารไทยใจถึงไม่ยอมก้มหัว กลุ่มติดอาวุธแดง นปช. ก็ไม่กล้าบุกเข้าไป เพราะอาจเกิดการปะทะเดือด และเห็นใบไม้สีแดงปลิดปลิวร่วงทั้งต้น

    เขาจึงเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่ค่อยมีคนรู้นักในการแก้ไขปัญหาชาติที่เดินหน้าต่อไม่ได้ โดยการรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.57 ด้วยคำพูดที่เด็ดเดี่ยวบอกกับชายผู้ไม่ยิ้มขณะนั้นว่า " ถ้าพี่ไม่ทำ ผมจะทำเอง "

    ทหารไทย จะโหด และน่าเกรงขาม สำหรับศัตรูของชาติเท่านั้น แต่เป็นมิตร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับประชาชนคนดี เสียสละ มีระเบียบวินัยเป็นเลิศ มีศักดิ์ภาพการรบระดับแนวหน้าของโลก มีความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูงยิ่งกว่าชีวิต
    ซึ่งจะหาคุณสมบัติพิเศษแบบนี้ไม่ได้เลยในนักการเมืองของไทย ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติใด เพราะนักการเมืองไทยมีคติประจำใจว่า "ฉิบหายไม่ว่า ขอข้ารวยก่อน "


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 สิงหาคม 2014
  3. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    ผมหูตาสว่างกว่าเดิมมากเลย และเดี๋ยวนี้ไม่เครียดเรื่องการเมืองอีกเลย ทำงานแบบสบายใจถึงลำบากกายแต่ใจสบาย ขอบคุณผู้พิทักษ์และรักในหลวง ที่ออกมาทำหน้าที่ครับผม
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 10 ส.ค.57 ตูมอีกแล้ว..สายการบินอิหร่านตก มีผู้เสียชีวิต 48 ราย

    เครื่องบินโดยสารของสายการบิน เซปาฮานแอร์ไลน์ รุ่น AN140 เที่ยวบิน SPN5915 ซึ่งออกจากสนามบินเมหะราบัด ในเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน มุ่งหน้าสู่เมือง ตาบาส ทางตะวันออกของประเทศ เกิดเหตุ ตกในเขตเมือง อาซาดี ห่างไปทางตะวันตกของเมืองหลวงไปเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเบื้องต้นราว 48 ราย ตรวจสอบแล้วไม่มีคนไทย

    สนามบินเมห์ราบัดนี้ อยู่ไม่ไกลจากกรุงเตหะราน และเป็นศูนย์กลางการบินในประเทศของอิหร่าน ได้ชื่อว่ามีการสัญจรที่คับคั่งที่สุดในประเทศอีกด้วย เนื่องจากมีเส้นทางให้บริการทางอากาศไปยังทุกเมืองใหญ่ของอิหร่าน ส่วนเที่ยวบินนานาชาติ จะใช้บริการของสนามบินนานาชาติเตหะราน อิหม่าม โคไมนี่ ที่อยู่ทางตะวันตกของกรุงเตหะราน

    เป็นที่น่าสังเกตุว่าตอนนี้สายการบินพาณิชย์ยกเลิกเส้นทางบินผ่านอิรักหมดแล้ว เพราะอเมริกาใช้ทั้งเครื่องบิน F18 และ Drone ไร้คนขับ โจมตีตอนเหนือของอิรักอย่างหนัก จนมีอพยพเข้าไปอยู่ในหุบเขาราว 150,000 ราย ในจำนวนนี้ตายไปแล้ว 70% เนื่องจากอากาศร้อนกว่า 50 องศา

    และมีการขาดน้ำและอาหารอย่างหนัก ส่วนอเมริกาก็ช่วยเหลือแบบสร้างภาพ คือเอาน้ำใส่เครื่องบินไปทิ้งมั่วซั่ว ไม่ตรงจุดผู้อพยพ เหมือนจงใจแกล้งให้ตายฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ในไม่ช้าน่าจะตายทั้งหมด ถ้าอเมริกายังไม่หยุดแทรกแซงอิรัก

    นี่เครื่องบินพาณิชย์ตกที่อิหร่าน พรมแดนติดอิรักอีกแล้ว สาเหตุยังไม่แน่ชัดว่าโดนอะไรเข้าไป หรือโดนรีโมทบังคับจากดาวเทียมอเมริกา เพราะอเมริกาสามารถบังคับทิศทางเครื่องบินทุกลำในโลกได้จากดาวเทียม

    ซึ่งมาเลย์ MH370 เคยเจอมาแล้ว จนตอนนี้เจ้ง ต้องขายกิจการแบบเลหลังคลองถม ให้บริษัทตะวันตกมาช้อนซื้อถูกๆ โดยมีเครื่องบิน 151 ลำ และพนักงาน 2 หมื่นคนแถมให้ แล้วเปลี่ยนชื่อสายการบินใหม่


    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 10 ส.ค.57 นำ "ชินจัง" มือยิง M79 ใส่ กปปส.11 จุด ทำแผนยิงที่ตึกชินวัตร3

    จากกรณีจับ นายยงยุทธ บุญดี หรือ"ชินจัง" กลุ่มติดอาวุธแดง นปช. สายโกตี๋ ได้เมื่อต้นเดือน ส.ค.57 ที่ผ่านมา และเขารับสารภาพว่ายิง M79 ใส่มวลชน กปปส.จำนวน 11 จุด

    นายยงยุทธ เป็น 1 ใน ผู้ต้องหา 29 คน ที่ถูกออกหมายจับในคดีเกี่ยวกับอาวุธสงคราม ที่ผ่านมา โดยให้การรับสารภาพว่า เป็นคนยิง M79 ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่อาคารชินวัตร 3 ด้วย

    วันนี้ตำรวจ นำตัวนายยงยุทธ บุญดี ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ 5 จุด โดย

    - จุดแรก คือ ถนนเส้นเชื่อมระหว่าง วิภาวดี กับ พหลโยธิน ข้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งนายยงยุทธ ใช้ปืน M79 ยิงจากบนรถโตโยต้า ยาริส

    - ส่วนอีก 4 จุด คือ ถนนแจ้งวัฒนะ 2 จุด และ หน้าสำนักงาน ปปช.สนามบินน้ำ 2 จุด

    ชินจัง ยอมรับว่ารู้จักกับ น.ส. กริชสุดา คุณะแสน หรือ เปิ้ล สหายสุดซอยจอมลวงโลก ที่ถูกซัดทอดว่าเป็นคนจัดหาอาวุธสงคราม และยังหลบหนีอยู่

    แต่นายยงยุทธ บอกว่าไม่ได้รับอาวุธมาจาก น.ส.กริชสุดา แต่รับมาอีกทีมหนึ่ง ของแดงติดอาวุธ กวป. แต่ อย่างไรก็ตามอาวุธที่ถูกนำมาใช้ในการก่อเหตุความรุนแรงในช่วงการชุมนุมกลุ่ม กปปส. มีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด

    คนเสื้อแดงทุกคนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ชินจัง เป็นแดงเทียม เพราะเขาทำกิจกรรมการชุมนุมต่างๆ กับกลุ่มติดอาวุธแดง นปช.มาตลอดเวลา โดยก่อนยิง เขาจะกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ย้อมใจให้มีความกล้าก่อนทุกครั้ง

    ชินจัง และ เพื่อนที่ถูกจับกุมไปจำนวนมากก่อนหน้า คือ หลักฐานพิสูจน์ต่อสังคมว่า เหตุความรุนแรง M79 ที่ผ่านมาทั้งหมด เป็นฝีมือเผาไทย และกลุ่มติดอาวุธแดง นปช.ทั้งสิ้น โดยคลังอาวุธใหญ่ที่ไปรับมามีหลายคลัง

    ที่สำคัญคือคลังของนางเมย์ ที่เป็นคนสนิทคนแดนไกล , คลังกวีไม้หนึ่ง ของขบวนการล้มเจ้า อ.หวาน ที่ไปรับเงินจากคนแดนไกลที่ฮ่องกง , คลังโกตี๋ และ กวป. , คลัง เสธ หยอย เพื่อนรุ่นเดียวคนแดนไกล , คลังนายชัชวาลย์ และยังมีคลังเล็กคลังน้อยอีกมาก

    ส่วนคลังขบวนการล้มเจ้านั้น มี CIA ของอเมริกา จัดหาอาวุธสงครามมาหนุนให้อีกชั้นหนึ่ง โดย CIA พวกนี้มีราว 4,000 คน ในไทย เคลื่อนไหวหลายส่วน สถานทูตมะกัน ของทูตพริตตี้ เป็นผู้ประสานการเคลื่อนไหวทั้งหมด

    การเคลื่อนไหว CIA ในไทยหลักๆ เช่น หนุนทุนขบวนการล้มเจ้า เว็ปประชาไทย และนักวิชากำกวมล้มเจ้า มหาลัยเก่าแก่ และ ม.เชียงใหม่ , การหนุนหมู่บ้านเสื้อแดง ให้ตั้งรัฐซ้อนรัฐ เพื่อแยกประเทศ , การสร้างข่าวสิทธิมนุษยชนผ่านยิวไซออนิสต์ CNN , BBC , การหนุนอาวุธให้กองกำลังแบ่งแยกดินแดน นปช. , อพปช. , ชายแดนใต้ , การค้ามนุษย์ผู้หนีภัยสงครามพม่า ฯลฯ

    และอีกสารพัดองค์กร ที่ CIA และสถานทูตมะกันหนุนให้เกิดความแตกแยกในไทย ส่วนใหญ่เคยเล่าให้ฟังแล้วทั้งหมดที่เพจ แฉ ความลับ ( https://www.facebook.com/topsecretthai )

    ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศไทย จึงมีความซับซ้อนกว่าประชาชนจะเข้าใจ เพราะหากทำผลีผลาม ก็จะเสี่ยงที่พาชาติเข้าสู่สงคราม เหมือนยูเครน ซีเรีย อิรัก

    ขอแค่คนไทยรู้ทันว่า มีนักการเมืองไทย ใจเป็นทาส ยอมก้มกราบมะกัน ทำทุกอย่างตามที่เขาสั่ง เพียงเพื่อให้ได้เขามาโกงประเทศได้เท่านั้น และเป็นบทเรียนสอนใจว่า พรรคการเมืองแบบไหน อันตรายสุดขั้วเกินกว่าประชาชนจะคิด


    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 10 ส.ค.57 ความเข้มแข็งไม่ใช่อาวุธ แต่มันอยู่ที่ภายในจิตใจ

    ในภาพคือเด็กปาเลสไตน์ ที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอล โดยใช้อาวุธจากอเมริกา แต่จิตใจเขายังคงเข้มแข็งเต็มเปี่ยม..เขาจึงนอนอยู่ระหว่างกลางหลุมศพพ่อกับแม่ของเขา และต่อไปเขาก็จะกลายเป็นทหารนักรบฮามาสในที่สุด..

    ทีนี้เข้าใจจุดกำเนิดนักรบฮามาสหรือยัง? ว่าทำไมเขาถึงหัวรุนแรง? ทำไมเขากล้าระเบิดพลีชีพตัวเอง และเขาไม่กลัวตายหรือ?..คำตอบคือจิตใจเขาตายไปแล้ว แต่ร่างกายมันยังอยู่ เขาจึงสามารถสู้กับอาวุธร้ายแรงขออเมริกา อย่างไม่ถอย

    คนที่ท้อถอย ท้อแท้ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตตนเอง ให้ดูตัวอย่างกำลังใจของเด็กปาเลสไตน์คนนี้ เมืองไทยเราเคยสิ้นหวังจากนักการเมืองประชาธิปไตย..แต่เราก็ได้ คสช.มาแทน..เป็นข้อเตือนใจประชาชนว่า สิ่งที่ คสช.กำลังทำคือการหวังผลระยะยาว

    มันไม่ออกผลทันทีอย่างที่คิดเหมือนนโยบายประชานิยมของนักเลือกตั้ง..แต่มันจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ชนิดเป็นเขตปลอดนักการเมืองเลวทีเดียว


    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 สิงหาคม 2014
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 9 ส.ค.57 แฉ..รู้ทันเสรีภาพอเมริกา ที่แท้เสรีเทียม กลบปมด้อยก่อตั้งประเทศ

    ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ในสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งชนพื้นเมืองอะแลสกา เป็นผู้อพยพมาจากทวีปเอเชียเมื่อ 15,000 ปีที่แล้ว จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้มีการสำรวจบุกเบิกและตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปเริ่มต้นขึ้น ราชอาณาจักรอังกฤษ ได้ทำการก่อตั้งอาณานิคมใหม่ และเข้าควบคุมอาณานิคมที่ก่อตั้งมาก่อนอื่นๆ

    ชนพื้นเมืองอเมริกันเหล่านี้ หลายล้านคนเสียชีวิต หลังจากการยึดครองอาณานิคมของชาวยุโรป เกิดจากโรคระบาดซึ่งติดจากชาวยุโรป เช่น ฝีดาษ ทำให้จำนวนประชากรพื้นเมืองลงอย่างมาก

    ค.ศ. 1776 หลังจากที่ถูกรัฐบาลตัวแทนจากเกาะบริเตนปกครองมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี อาณานิคมที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษจำนวน 13 อาณานิคม ซึ่งมีทำเลอยู่ตามฝั่งทะเลแอตแลนติก ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์เพื่อประกาศอิสรภาพ วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 (พ.ศ. 2319) ด้วยการสนับสนุนทางทหาร และทางการเงินที่สำคัญจากประเทศฝรั่งเศส

    ค.ศ. 1783 เกิดการก่อการจลาจล สงครามปฏิวัติอเมริกาขึ้น และแล้วสงครามก็สิ้นสุดลง จนสามารถเอาชนะราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ในสงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นอาณานิคมแห่งแรก ที่ได้รับการยอมรับถึงความเป็นอิสระของสหรัฐ จากประเทศสหราชอาณาจักร

    และเป็นสงครามประกาศอิสรภาพที่ประสพความสำเร็จครั้งแรก ต่อจักรวรรดิอาณานิคมยุโรป เป็นประเทศใหม่ ตั้งแต่นั้นมา ประเทศก่อตั้งใหม่ที่ถูกเรียกว่า "สหรัฐอเมริกา"

    ค.ศ. 1787 รัฐต่าง ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเดี่ยว และขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางที่มีอำนาจเด็ดขาด มีการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อมาอีกหลายสิบครั้ง

    ค.ศ. 1803 สภาคองเกรสผ่านกฎหมายการเคลื่อนย้ายชาวอินเดียน เป้าหมายหลักคือเพื่อเคลื่อนย้ายชนพื้นเมืองอเมริกัน เพื่อขยายประเทศไปทางทิศตะวันตก ทำให้ต้องเผชิญกับสงครามอเมริกันอินเดียนอันยาวนาน พวกเขาทำสงครามต่อสู้กับกองทัพอเมริกัน นานหลายปี มีการเสียชีวิตหลายพันคนที่มีผลมาจากการโยกย้าย ต่อมาซื้อรัฐหลุยส์เซียนาจากฝรั่งเศส ทำให้พื้นที่ของประเทศเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า

    ค.ศ. 1812 สหรัฐอเมริกา ส่งทหารเข้าบุกรุกฟลอริดาหลายครั้ง ทำให้สเปนยินยอม ยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนอื่นของชายฝั่งอ่าวให้

    ค.ศ. 1819 เกิดนโยบายย้ายถิ่นฐานชาวอินเดียน ซึ่งทำให้ชนพื้นเมืองจำนวนมาก ต้องละทิ้งดินแดนของตน สหรัฐอเมริกาจึงผนวกสาธารณรัฐเท็กซัสเป็นของตน

    ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกา ได้ดินแดนเพิ่มเติมจากฝรั่งเศส สเปน สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และรัสเซีย และผนวกดินแดน รวมกับสาธารณรัฐเท็กซัส และสาธารณรัฐฮาวาย แผ่ขยายอาณาเขตของตนเองจาก 13 รัฐไปถึง 50 รัฐกับอีกหนึ่งเขตปกครองกลาง

    รัฐของสหรัฐอเมริกา 48 รัฐ (ซึ่งมักจะถูกเรียกว่าแผ่นดินใหญ่) ตั้งอยู่บนดินแดนระหว่างแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนอะแลสกาและฮาวายนั้น ไม่ได้อยู่ติดกับรัฐอื่น นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังมีดิสตริกต์ออฟโคลัมเบีย ซึ่งเป็นเขตปกครองกลางประจำสมาพันธรัฐเป็นเมืองหลวง

    รวมถึงดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกาอยู่ทั่วโลก รัฐทั้ง 50 รัฐของสหรัฐอเมริกานั้นมีสิทธิในการปกครองตนเองในระดับสูงภายใต้ระบบสหพันธรัฐ

    ค.ศ. 1860 เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐกสิกรรม ทางตอนใต้ และ รัฐอุตสาหกรรม ทางตอนเหนือ และการขยายจำนวนของทาส ได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา ชัยชนะของฝ่ายเหนือได้ป้องกันการแบ่งแยกประเทศอย่างถาวร และยุติการค้าทาสต่อมา

    ค.ศ. 1870 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ใหญ่ที่สุดในโลก สงครามสเปน-อเมริกัน และสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เน้นย้ำถึงสถานภาพทางทหารของสหรัฐอเมริกา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาก้าวขึ้นมา เป็นประเทศแรก ซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

    จากนั้นมาสหรัฐฯ ก็เป็นประเทศอภิมหาอำนาจ คู่กับสหภาพโซเวียต และทำสงครามแนวใหม่ที่เรียกว่า "สงครามเย็น" ต่อกัน จนกระทั่งในคริสตทศวรรษที่ 90 (พ.ศ. 2533-2534) เมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลง ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศ "อภิมหาอำนาจ" หนึ่งเดียว มาจนถึงทุกวันนี้

    มีรายจ่ายทางทหารคิดเป็นกว่าร้อยละ 40 ของรายจ่ายทางทหารทั่วโลก และเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของโลก

    ประเทศอเมริกา เกิดจากประเทศที่ล่าอาณานิคมขนาดใหญ่ คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เม็กซิโก และรัสเซีย ไปแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรมาจากชนพื้นเมือง และปล่อยโรคระบาด เช่น ฝีดาษ จนคนพื้นเมืองเป็นล้านคนตายไป

    อาณานิคมเหล่านี้ต่อมาก็ค่อยๆ รวมตัวกัน ก่อตั้งเป็นประเทศใหม่มาเพียง 238 ปี ( ช่วงรัชกาลที่ 2 ของไทย ) แล้วประกาศเอกราชจากประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ เขาจึงไม่เคยมีความผูกพันธุ์ใดๆ กับระบอบกษัตริย์เลย และมีท่าทีต่อต้านระบอบกษัตริย์ในทุกประเทศ

    นั่นเพราะประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศของเขา เคยถูกกดขี่จากกษัตริย์ของอังกฤษ เสปน และฝรั่งเศส อเมริกา จึงมีทัศนคติ แต่งตำราในการการเรียน ที่อ้างถึงระบอบประชาธิปไตย ที่ได้มาด้วยการต่อสู้ด้วยอาวุธ และเป็นเสรีภาพจากการกดขี่

    เขาไม่เคยมีอารยธรรมเป็นของตนเอง อารยธรรมที่มี ล้วนเป็นของอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เม็กซิโก และรัสเซีย ที่ติดตัวมาทั้งสิ้น จึงแทบไม่มีประวัติศาสตร์อเมริกา ที่บันทึกไว้เกิน 250 ปีเลย เขาต้องการลบประวัติศาสตร์ส่วนนั้นทิ้ง เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชนพื้นเมืองครอบครองดินแดน เขาไม่นับเป็นประเทศอเมริกา

    นั่นหมายถึงเขาเป็นประเทศที่เกิดจาก “การผสมเทียม” ของชนชาติหลายชาติ เอามาใส่ตะกร้าเดียวกัน แล้วเขย่าๆ ให้ปนกัน เขาไม่ได้เกิดจากการสร้างอาณาจักรขึ้นมาเอง ตามปกติธรรมชาติที่ค่อยๆ พัฒนามา เหมือนกับราชอาณาจักรไทย

    ดังนั้นในความหมายคำว่าประชาธิปไตย ของเขาแต่แรกเริ่มเดิมที่ ก็คือ การต่อสู้ การสงคราม การสู้รบ การช่วงชิง เอาประโยชน์จากผู้อื่นที่ด้อยกำลังกว่ามาเป็นของตน ไม่ใช่ระบอบการปกครองเพื่อประโยชน์ของประชาชน อย่างที่คนไทยหัวนอกเข้าใจผิดๆ

    มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University ตัวย่อ JHU) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนในสหรัฐอเมริกา ริเริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) โดยประธานาธิบดี เดวิด คอยต์ กิลแมน ตั้งอยู่ที่เมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์

    โดยมีการเปิดการเรียนการสอบในหลายระดับ มีนักศึกษาระดับปริญญาตรีประมาณ 4,500 คน และในระดับสูงกว่าระดับปริญญาตรี 15,000 คน

    จอนส์ ฮอปกินส์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา ที่ใช้รูปแบบการจัดการศึกษาแบบมหาวิทยาลัยในเยอรมนี และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก ในสหรัฐอเมริกา ที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้การสัมมนาแทนการสอนโดยการบรรยายเพียงอย่างเดียว รวมทั้งเป็นมหาวิทยาลัยอเมริกันแห่งแรกที่จัดให้มีวิชาเอก แทนหลักสูตรศิลปศาสตร์ทั่วไป

    ดังนั้นจอนส์ ฮอปกินส์ จึงเป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยวิจัยขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งใน 14 สมาชิกก่อตั้งสมาคมมหาวิทยาลัยอเมริกัน หรือ Association of American Universities

    จากสถิติของกองทุนวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation) ของสหรัฐอเมริกา จอนส์ ฮอปกินส์เป็นมหาวิทยาลัยที่ครองอันดับ 1 ในด้านการใช้งบประมาณการวิจัยและพัฒนาในสาขาวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นเวลา 30 ปีต่อเนื่องกัน และเป็นสถาบันที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    มหาวิทยาลัยฯ มีชื่อเสียงในด้านการแพทย์ สาธารณสุข และ การพยาบาล โดยได้รับการจัดอันดับจากยูเอสนิวส์ในอันดับต้นของประเทศหลายครั้ง นอกจากนั้นจอนส์ฮอปกินส์ยังมีสถาบันชั้นนำระดับโลกในสาขาอื่น อาทิ สถาบันด้านการดนตรีพีบอดี (Peabody Institute)

    และด้านการระหว่างประเทศ (The Paul H. Nitze School of Advanced International Studies หรือ SAIS) จนถึงพ.ศ. 2552 มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์จำนวน 33 คนที่ได้รับรางวัลโนเบล

    วันนี้ มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกิ้นส์ อเมริกา มอบ “ใบปริญญาโท” ฉบับจริง ที่มีลายเซ็นต์ของอธิการบดีอย่างครบถ้วน และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาทั้งหมด ให้กับ “ หมา ชื่อเจ้าเคิร์ซ “ เนื่องจากมันมาพร้อมกับเจ้าของ “ เข้าเรียนทุกวิชาไม่เคยขาดเรียน” เลย โดยในวันรับปริญญาเจ้าเคิร์ซ เดินเคียงข้างเจ้านายพร้อมสวมชุดมหาบัณฑิตเต็มยศ..กรรม !!

    นี่แหละประเทศประชาธิปไตยต้นแบบของโลก ที่เขาอยากให้ไทยเป็นแบบเขา เขาอยากให้ไทยมอบปริญญาโทให้กับหมาบ้าง ประเทศอเมริกาจะทำอะไรก็ทำไปเทศเถอะ..แต่ประเทศไทยคนยังมีสติอยู่ครบ และโรงพยาบาลศรีธัญญาเตียงเต็มหมดแล้ว

    แม้ว่าไทยกำลังถอยหลังหนีจากประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่ปริญญาของไทยก็มีคุณค่าเกินกว่าอเมริกามากนัก เพราะพระราชทานโดยสถาบันเบื้องสูง ใครอยากได้ปริญญาจากประเทศประชาธิปไตย ที่เสรีเกินขอบเขตก็เชิญ ประเทศไทยขอเสียสละอยู่แบบอนุรักษ์นิยมแบบนี้

    ที่มลรัฐโคโลราโด ที่ตั้งของสถานตากอากาศประเภทสกีรีสอร์ต และ ทิวทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาสูงทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เป็นมลรัฐแรก ที่อนุญาตให้ร้านค้าปลีกจำหน่ายกัญชา ตั้งแต่เมื่อวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 57 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐโคโลราโดรัฐได้ออกใบอนุญาตทั้งหมด 348 ใบ และโกยรายได้จากภาษีหลายล้านดอลลาร์ ในแต่ละเดือน

    เมื่อเดือนก่อน มลรัฐวอชิงตัน กลายเป็นมลรัฐที่ 2 ของสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้จำหน่ายกัญชาสำหรับใช้ในด้านนันทนาการ ของประชาชนอเมริกา มีผู้ยื่นคำร้องจำหน่ายมากกว่า 300 ราย และร้านค้าต่างๆ 25 แห่ง ได้รับใบอนุญาตจากทางการเริ่มเปิดจำหน่ายแล้ว กำลังทยอยออกใบอนุญาตรายที่เหลือ แนวโน้มทั่วทั้งประเทศอเมริกา กำลังจะเปิดจำหน่ายกัญชาเสรี

    ลูกค้าจะได้รับอนุญาตให้ซื้อกัญชาได้ครั้งละ 28 กรัม อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และยังสามารถซื้อหาผลิตภัณฑ์ชนิดผง ที่มีส่วนผสมของกัญชาได้ 454 กรัม หรือสูงสุด 2 กิโลกรัมสำหรับผลิตภัณฑ์ชนิดน้ำที่มีส่วนผสมของกัญชา

    ตอนนี้คนอเมริกาซื้อกัญชากันแบบกระหน่ำ จนเกิดปัญหาขาดแคลน ส่งผลให้ราคาขาย ขยับขึ้นไปราว 800 – 960 บาท ต่อกัญชา 1 กรัม หรือเกือบ 2 เท่าของราคาปกติ ขณะที่ภาวะขาดแคลนเป็นผลสืบเนื่องจากข้อจำกัดการเก็บเกี่ยวของเหล่าผู้ปลูก ที่ได้รับอนุญาต

    การครอบครองกัญชา เป็นสิ่งผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง แต่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ บอกว่าจะไม่เข้าแทรกแซงกิจการของรัฐต่างๆ ที่มีกฏระเบียบและระบบบังคับใช้กฎหมายอันเข้มข้นและมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว

    จากประวัติศาสตร์ของอเมริกา ประเทศของเขาได้มาจากสิ่งที่คนอื่นเขาทำไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเสรีภาพของอเมริกา จึงเป็น “เสรีภาพเทียม” พลเมืองเขาถูกสอนให้ทำอะไรก็ได้ จะทำร้ายคนอื่นก็ได้ ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ เพื่อกลบเกลื่อนปมของบรรพบุรุษคราวก่อตั้งประเทศ

    แท้จริงแล้วเสรีภาพในอเมริกา ไม่เคยมีอยู่จริงๆ ตามที่ประเทศเขาสร้างภาพให้สังคมโลกมองเห็น เพราะเสรีภาพนั้น มันกลายเป็นเสรีภาพที่ละเมิดเสรีภาพผู้อื่น มันจึงเรียกว่า เสรีภาพเทียม เพราะเสรีภาพจริงๆ แล้ว จะต้องเป็นเสรีภาพที่มีข้อจำกัด ที่ไม่ไปละเมิดผู้อื่นนั่นเอง

    ขออัญเชิญ พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ 9 กรกฎาคม 2514 ความว่า

    "การมีเสรีภาพนั้น เป็นของที่ดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และความรับผิดชอบ มิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพและความเป็นปกติสุขของส่วนรวมด้วย"


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 11 ส.ค.57 เผย..ปูข้าวเน่า กลับมากินข้าวตนเองทำไว้แล้ว ทนายแผ่นดินรอเชือด

    หลังจาก คสช.อนุญาตให้ปูข้าวเน่า เดินทางไปต่างประเทศตามคำขอ เพื่อไปร่วมจัดงานเชงเม้ง ของคนแดนไกล ที่โรงแรมสี่ฤดู ที่ปารีส ฝรั่งเศส เธอชื่นชอบชื่อโรงแรมนี้เป็นพิเศษ เพราะรำลึกความหลังหวานชื่น สมัย ว.5 ชั้น 7 ในไทย ที่แม่บ้าน ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ผ้าขนหนูใหม่ และพนักงานยังพบถุงยางใช้แล้วในถังขยะนั้น

    จากฝรั่งเศส ก็ยังเดินทางต่อไป สัมผัสกับเชื้ออีโบล่า อีกหลายประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา ที่มีหมอแบรดลี่ และมิสชันนารีอีกคน นำเชื้อไปจากไลบีเลีย เข้าประเทศอเมริกา แล้วขากลับก็วนมาแพร่เชื้อโรคต่อ ในโต๊ะอาหารที่ภัตตาคารจีนแห่งหนึ่ง กับคนแดนไกล และชายม่านรูด ที่สิงคโปร์ ตามที่นัดหมายกันไว้

    เส้นประเทศที่ปูข้าวเน่า เฉียดไปเหยียบทุกประเทศ ทั้งในฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา ล้วนเผชิญเคราะห์กรรมกระหน่ำร้ายแรง ทั้งดินถล่ม น้ำท่วม ลมพายุสุดขั้วโจมตี ไฟไหม้กินบริเวณกว้าง และยังมีการก่อการประท้วงใหญ่ ในทุกประเทศที่ไปเหยียบ บางประเทศเช่น ฝรั่งเศส ถึงกับมีจราจลเหตุรุนแรงอีกด้วย ส่งผลให้ประชากรหลายล้านคน ที่มิสปูข้าวเน่าในดินแดนเฉียดผ่าน ยังคงเผชิญชะตาเคราะห์กรรมอยู่ก็มี

    กลางเดือน ก.ค.57 ช่วงที่ บิ๊กตู่ หัวหน้า คสช.อนุญาตให้มิสปูข้าวเน่า เดินทางออกไปนอกประเทศเพื่อไปวางพวงหรีดคนแดนไกลได้นั้น มีประชาชนจำนวนมาก ที่ตีตนไปก่อนไข้ ลงไปนอนดิ้นปัดๆ ที่พื้น ตีโพยตีพาย ตีอกชกตัว ตีเกราะเคาะโมง ป่าวร้อง โวยวาย ฟาดงวงฟาดงา ปานฟ้าดินจะสลาย โจมตี คสช.อย่างหนักมานานนับเดือน ว่าบิ๊กตู่ ตัดสินใจผิด

    ปล่อยเสือเข้าป่าบ้าง หนีไปคงไม่กลับบ้าง ปล่อยคนผิดลอยนวลบ้าง มีข้อตกลงกันบ้าง ฮั้วกันบ้าง ต้องรับผิดชอบความผิดแทนบ้าง สารพัดจะนึกมโนคำมาโวยวายได้ ตอนนั้น เสธ เป็นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เตือนสติว่า งานนี้ประเทศไทยมีแต่ได้กับได้ แต่ก็ยังมีหลายคนทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจกลยุทธ์พิชัยสงครามบู้ลิ้มมาจนบัดนี้

    ** ตามที่เคยเขียนบทความปริศนาธรรม เรื่องพฤติกรรมพยัคฆ์ไปแล้วที่ https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/256795567843811

    วิธีคิด วิธีการ ลูกล่อลูกชน การเดินหมาก ของนักรบแม่ทัพ ย่อมมีการวางแผนเกิน 3 ชั้น ฝ่ายเสนาธิการ จะทำซินนาริโอซับซ้อน ถึงความเป็นไปได้ ในเหตุการณ์ล่วงหน้า ที่เป็นตำรากลยุทธ์พิชัยสงครามของแม่ทัพนายกอง แต่ตำราของประชาชนเป็นตำราวิชาการแบบตรรกศาสตร์ จึงไม่มีการสอนวิธีการนี้

    คิดง่ายๆ ว่าที่ประเทศไทยอยู่รอดเป็นอาณาจักรตั้งแต่สุโขทัย อยุทธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ กว่า 800 ปีมานี้ ทหารคู่กายแทบพระบาทคู่บารมี ของพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง 52 พระองค์ ล้วนถูกพรมลิขิต ให้พวกเขาเวียนว่ายตายเกิด มาเป็นทหารคู่บารมี เพื่อปกปักเศวตฉัตร และนำพาชนชาติไทย ให้รอดพ้นปัญหานานับประการมาแล้ว

    ดังนั้นตำราภาคประชาชน ที่ผ่านมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ราว 82 ปี และปัญหาวิกฤติการเมืองที่ผ่านมา 10 ปี อาจมีข้อมูลและวิธีแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง เหมือนกับตำรานักรบที่ใช้จริงๆ มาแล้วกว่า 800 ปี และพิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงๆ เสียด้วย เพราะตำราแก้ปัญหาฉบับประชาชน มักเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งๆ คราวๆ ไป ไม่เกิดความยั่งยืน แก้ปัญหาเป็นจุดๆ แต่ไม่ได้แก้ต้นตอของปัญหานั้น

    แต่ตำราพิชัยสงครามนักรบ จะมีการหลอกล่อ การวางเหยื่อ การหยั่งเชิง การปล่อยให้ตายใจเสมือนจริง การซุ่มดู การจู่โจม "จริงคือเท็จ เท็จคือจริง จริงคือจริง เท็จคือเท็จ" ซึ่งคู่ต่อสู้จะไม่อาจคาดเดาความคิด และหวังผลได้เลย ทำได้เพียงเสี่ยงเลือกงับเหยื่อล่อชิ้นใดชิ้นหนึ่งเท่านั้น

    เมื่อคืนนี้เวลา 22.15 น. มิสปูข้าวเน่า ได้เดินทางกลับเข้าไทยมาจากประเทศสิงคโปร์ ถึงท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำส่วนตัว และได้ขนย้ายกระเป๋าจำนวน 15 ใบ ขึ้นรถตู้ 2 คัน

    โดยมีสมาชิกเผาไทย และกลุ่มติดอาวุธแดง นปช. มารอรับที่อาคารผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล จากนั้นได้ให้รถเข้าไปรับถึงข้างในสนามบิน และออกทางด้านหลัง ซึ่งไม่ได้มีอภิสิทธิ์พิเศษใด เพราะดอนเมือง ใช้รับเครื่องบินเช่าเหมาลำจากต่างประเทศเป็นประจำอยู่แล้ว

    ตามกฎหมายไทยนั้น ขาออกจากประเทศ ห้ามขนเงินสดและทรัพย์เกิน 5 แสนบาท ออกนอกประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ที่ผ่านมานักแสวงโชคทางการเมืองของไทย ยามได้รับเลือกตั้งชนะมา ก็ถือว่าได้ใบสัมปทานประเทศไทยด้วย ก็จะละเมิดข้อห้ามนี้ โดยใช้อำนาจสั่งการหลบเลี่ยงกฎหมายในขณะที่ตนมีอำนาจรัฐ

    แต่มิสปูข้าวเน่า ออกประเทศไปครั้งก่อน ไม่ได้รับสิทธินี้ เพราะสัมปทานประเทศไทยถูกเพิกถอนจากคำพิพากษาศาล คดีอาฟเตอร์ช็อคย้ายถวิล ไปแล้ว จึงหมดอำนาจสั่งการเจ้าหน้าที่รัฐโดยสิ้นเชิง จึงไม่มีใครกล้าให้สิทธินี้ เหมือนเดิมสมัยมีสัมปทานประเทศไทย จึงถูก Scan กระเป๋า 15 ใบที่นำออกไป เหมือนประชาชนปกติทั่วไป และไม่พบอะไรผิดปกติในกระเป๋า

    และปูข้าวเน่าก็รู้ดีว่า นี่คือหลุมพรางกับดักที่วัดใจงานแรก ถ้ากล้าเอาทรัพย์ไปใส่กระเป๋าเกินกฎหมายกำหนด แล้วถูก Scan ตรวจพบ จนถูกทหารจับได้ที่สนามบิน ก็จะถือว่างับเหยื่อ กลายเป็นปลาตายน้ำตื้น ต้องอดเดินทางไปเชงเม้ง ที่งานคนแดนไกล และต้องเจอคดีใหม่ชวนหัวเราะ อับอาย ขายหน้าไปทั้งโลก เพราะกระทำผิดซึ่งหน้า

    มิสปูข้าวเน่า กลับมาครั้งนี้ก็สมใจคนที่อยากให้อยู่ในประเทศ ให้ขัดเคืองสายตา และวุ่นวายในสังคมอีก ใครที่เคยโจมตีบิ๊กตู่ ต่างๆ นาๆ ไว้ตลอด 1 เดือนผ่านมาว่าไง?? น่าจะมีคำขออภัยท่านบ้างไหม?? โจมตีท่านไปเยอะแล้ว และผลออกมาไม่เป็นดังที่โจมตี ต้องแสดงสปิริตขออภัยท่านนะ

    แม่ทัพประเทศไหน เขาจะบอกกลศึกให้ไพร่พลรู้เสียทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่คนไทยต้องเรียนรู้ว่าครั้งต่อไป ก่อนจะด่าและโจมตี ต้องดูผลลัพท์ของกลยุทธ์นั้นก่อน ใจร่มไว้ อย่าเพิ่งโวยวายขณะผลลัพท์ยังไม่ออก จะเสียการใหญ่เปล่าๆ

    คดีความข้าวเน่า คสช.ไม่ใช่ศาล จึงตัดสินใครไม่ได้ ไม่งั้นก็จะถูกว่าใช้อำนาจเกินขอบเขต และจะไม่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและนานาชาติ และเปิดช่องว่างเป็นเป้าให้ชาติมหาอำนาจอเมริกา EU และออสเตรเลีย ใช้เป็นเงื่อนไข หาเรื่องแทรกแซงก่อสงครามกลางเมืองเราได้

    ต้องปล่อยให้กระบวนการยุติธรรม ตามระบบขั้นตอนกฎหมายเก่าของไทยดำเนินการ เพราะเป็นความผิด ขณะกติกากฎหมายเดิมยังมีผลบังคับใช้อยู่ จะไปเพิ่มโทษในภายหลังย่อมไม่ได้ ขั้นตอนคดีข้าวเน่าตอนนี้ ปปช.ได้ส่งเอกสารถึงมืออัยการแล้ว ตอนนี้กำลังตรวจสำนวนหนา 4,000 กว่าหน้า

    และยังไม่ได้ฟ้องศาลแผนกคดีอาญานักการเมืองเลยด้วยซ้ำ ถ้าอัยการเห็นด้วยกับสำนวน ปปช.ก็จะฟ้องศาลฯ ภายใน 30 วัน แต่ถ้าเกิดเห็นไม่ตรงกัน ตามขั้นตอนก็จะต้องตั้งคณะกรรมการร่วม ปปช.และ อัยการ ขึ้นมาพิจารณาสำนวนคดี เคยมีบางคดี เช่น สรยวย ใช้เวลาพิจารณาสำนวนนานถึง 2 ปีกว่าจะฟ้อง และมีบางคดีค้างถึง 17 ปี ก็เคยมีมาแล้ว จนบัดนี้ยังไม่ฟ้องเลย

    ดูคดีแปะลิ้มเป็นตัวอย่าง ที่ทำผิดฉ้อโกง ตั้งแต่ปี 2539 -2540 เขาและพวก 4 คน รับสารภาพว่ากระทำผิดจริง เพราะจำนนด้วยหลักฐาน ตั้งแต่ศาลชั้นต้น จนเมื่อเวลาผ่านไป 17 ปี ศาลอุธรณ์เพิ่งตัดสินจำคุก 85 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษลงมาเรื่อยๆ เหลือจำคุก 20 ปี

    และยังสามารถฎีกาได้อีกหลายปีด้วย อาจรวมพิจารณาคดีตั้งแต่กระทำผิดเกิน 20 ปีด้วยซ้ำกว่าจะถึงศาลฎีการตัดสิน และตัดสินแล้ว ก็ยังสามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้อีก ดูคดีนายเสริม และหมอวิสุทธ์ ฆ่าหั่นศพคู่รัก กดลงชักโครก ศาลตัดสินถึงประหารชีวิต เขายื่นเรื่องตามขั้นตอน มาบัดนี้เขา 2 คนยังออกมาอยู่นอกคุก เดินช็อปปิ้งเรียบร้อยแล้ว

    คดีฉ้อโกงแปะลิ้ม ขนาดให้โอกาสผู้ต้องหาสู้คดียาวเต็มเหนี่ยวถึง 17 ปี เพิ่งจะตัดสิน ยังมีสาวกบอกว่าเร็วไป ถูก คสช.กลั่นแกล้ง และโจมตีศาลอย่างหนัก โดยไม่พิจารณาว่า เป็นความผิดส่วนตัวเฉพาะตน ผู้ต้องหาก็สารภาพ และคดียืดเยื้อมานาน 17 ปี แล้วจะให้ศาลตัดสินเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร แล้วจะให้รอไปตัดสินตอนไหนอีก ??

    แต่ทีปูข้าวเน่า คดี ยังไม่ขึ้นศาลสืบพยานเลยด้วยซ้ำ พอ คสช.ให้สิทธิตามที่คนทั่วไปพึงมี คนโจมตี คสช.แทบจะเอาให้ตายคาที่ และบอกคดีช้าไปต้องเข้าคุกเดี๋ยวนี้..

    ก็เลยงงว่า ตรงไหนคือจุดพอใจของคนไทยกันแน่ เพราะเวลาคดี 17 ปี เพิ่งตัดสินบอกเร็วไป แต่ ยังคดียังไม่ถึง 1 เดือน อัยการยังไม่ฟ้อง บอกช้าไปรอไม่ได้แล้ว แย่แล้ว สมยอมกันแล้ว ฮั้วกันแล้ว ดังนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า " ความพอใจของคน จะไม่มีวันสิ้นสุด ตราบเท่าที่ยังไม่ถูกใจ "

    กฏหมายไทยที่ใช้เอาผิดนักการเมืองฉ้อโกงที่ใช้อยู่ ไม่ได้เพิ่งออกมาใช้ แต่มันคือกฎหมายฉบับเดิมที่เริ่มใช้ผ่านมาเกือบ 20 ปีมาแล้ว ที่ตราโดย ส.ส.นักการเมือง ที่ประชาชนเลือกมานั่นแหละ ถ้าคิดว่าขั้นตอนมันช้า ทำไมไม่บอกนักการเมืองให้แก้เสียตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่แล้ว และก็ตอนนั้นประชาชนก็มีอำนาจเต็มอยู่แล้ว

    และมีตัวแทนตนเองเต็มสภาเลย ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. เงินเดือนและค่าตอบแทนปีหนึ่งเป็นหมื่นล้าน เกือบ 20 ปีผ่านมา หมดเงินภาษีค่าจ้างนักการเมืองไปเกือบ 2 แสนล้าน แต่กลับไม่มีใครสนใจจะเรียกร้องแก้กำหนดขั้นตอน เวลาพิจารณาคดีตามกฎหมายให้เร็วขึ้น

    ตอนนี้ภาระที่ประชาชนทิ้งไว้ให้ คสช.ตามแก้ และรอสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เพิ่งกำลังรับสมัคร และคัดสรรเหลือไม่เกิน 250 คน เพื่อมาปฏิรูปชาติ 11 ด้าน แล้วเสนอ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แก้ไขกฎหมายกว่า 400 ฉบับ คิดว่าคงอาจไม่ทันใจประชาชน บางคนที่กำลังรอดูผล อาจลาลับโลกไปก่อนนักการเมืองจะรับโทษก็เป็นได้

    เป็นบทเรียนคนไทยว่า ความเห็นแก่อามิสสินจ้างเพียง 500 บาท เวลาเลือกตั้ง การเชื่อคำพูดโกหกหลอกลวงของนักสัมปทานประเทศ เป็นต้นธารของปัญหา จนนำประเทศไทยตกห้วงเหวลึกที่ผ่านมา

    คสช.ได้รื้อทิ้งระบบที่ประชาชนวางมา 82 ปี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้ว และกำลังเป็นวิศวกรออกแบบ วางโครงสร้างของสังคมไทยใหม่ เป็นประชาธิปไตยอนุรักษ์นิยมแบบไทยๆ ดังนั้นความคาดหวังอะไรที่เคยเห็น เคยได้ จากนักแสวงโชคทางการเมือง อย่าคาดว่าจะเหมือนกัน เพราะแนวคิดคนละตำรากันอย่างสุดขั้ว

    การเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ จึงถูกระงับไว้ก่อนยาวเลย เพื่อระงับหยุดไม่ให้นักการเมืองระดับชาติไปวางรากฐานไว้ , โครงการประชานิยมหาเสียง เช่น กองทุน SML , กองทุนสตรี ฯลฯ ถูกยกเลิกไป โยกเงินงบประมาณ 9 พันกว่าล้านบาท มาสร้างคนให้เด็กและเยาวชนกู้ยืมเรียนแทน (จากที่รัฐบาลก่อนถังแตกจะตัดเงินนี้ทิ้ง เพราะไม่ได้คะแนนเสียง)

    วิธีคิดการรบของภาคประชาชน ที่ผ่านมาคือการใช้กำลังเอามัน ใช้หัวหมู่ทะลวงฟัน มุ่งใช้อาวุธฟันโค่นลำต้นไม้พิษของศัตรู ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยหวังตื้นๆ ชั้นเดียวว่า ต้นไม้พิษนี้จะไม่ออกผลออกมาอีก แต่ลืมคิดไปว่า ต้นไม้นี้มันมีรากหยั่งลึกลงดิน

    สักวันมันก็จะค่อยๆ แตกกิ่งงอก โตขึ้นมาอีกจนได้ และทหารยุคต่อไป ก็ต้องวนกลับมารัฐประหารกันอีก วิธีนี้ประชาชน ก็ไม่เคยเรียนรู้และจดจำ ปล่อยให้มันเกิดขึ้นมาตลอด 82 ปี หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    แต่วิธีของ คสช.กลับคิดต่างออกไปคนละตำรากัน แต่เป้าหมายเดียวกัน คือ จะโค่นต้นไม้พิษต้นนี้แหละ แต่ใช้วิธีริดกิ่งเล็ก เด็ดใบ ไปเรื่อยๆ และเอากิ่ง ใบ จำนวนมากนี้ ไปทำประโยชน์โดยสุมไฟที่โคนต้นไม้พิษ จากนั้นอีกทางหนึ่งก็ค่อยๆ ตัดแซะตัดรากฝอยต้นไม้ ที่เลี้ยงลำต้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้ต้นไม้พิษขาดอาหาร และไม่สามารถสังเคราะห์แสงด้วยตนเองได้

    พอถึงขั้นตอนนี้ก็จะเริ่มค่อยๆ ตัดกิ่งใหญ่ทีละกิ่ง ขุดตัดรากแก้วออก จนต้นไม้พิษเหี่ยว เน่า ยืนต้นตายทั้งเป็น และเหลือแต่ซากผุๆ โด่เด่ ถึงระยะนี้แค่เดินไปเอานิ้วจิ้มที่ต้นไม้ผุๆ มันก็จะล้มคลืนลงพื้นอย่างง่ายดาย ไม่ต้องใช้กำลังเอาขวานไปฟันต้นให้เหนื่อย เหมือนที่ประชาชนเคยทำมา 82 ปี แล้วผลก็โค่นต้นไม้พิษนักการเมืองโกงไม่ได้สักที

    วิธีโค่นต้นไม้พิษของ คสช.ต้องทำใจว่ามันไม่เห็นผลเร็วแน่ๆ เพราะวิธีการทำลายต้นไม้พิษมันคนละทฤษฎีกัน กับที่ประชาชนคุ้นเคยกันมา 82 ปี อย่างสิ้นเชิง..แต่ครั้งนี้จะเป็นการโค่นต้นไม้พิษอย่างถาวรเป็นครั้งแรกของไทย ที่ใช้ปัญญามากกว่ากำลัง และเอามันอย่างเดียว

    คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรูปแบบการปกครองของไทยพลิกโฉมอย่างสิ้นเชิง ช่วง 1 ปีต่อจากนี้อย่าเพิ่งติติงกระบวนการ (Process) แต่ให้ไปรอดูผลลัพท์ (Outcome) ข้างหน้ากันดีกว่า

    Input --- > Process --- > Output --- > Outcome

    ก็ตอนนี้คนไทยสิ้นหวังกับนักการเมือง ระบอบการเมืองฮ่วยๆ แบบเก่า แถมไม่มีทางเลือกอื่น และไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ใช่หรือ ?? ทำใจร่มๆ หูหนักๆ อย่าแกว่งตามกระแส..ท่องไว้ในใจเสมอว่า " ความพอใจของคน จะไม่มีวันสิ้นสุด ตราบเท่าที่ยังไม่ถูกใจ "

    โดยมีคำมั่นของลูกผู้ชายหัวหน้า คสช.ที่กล่าวคำคมไว้ว่า “เราจะทำ ในสิ่งที่ประชาธิปไตยที่ผ่านมาทำไม่ได้ ” และอีกคำว่า “ ประชาธิปไตยแบบตะวันตก บางทีไม่เหมาะกับเรา ต้องสร้างประชาธิปไตยแบบไทยๆ “

    คนไทยให้โอกาสนักการเมืองปู้ยี่ปู้ยำประเทศมา 82 ปีแล้ว ทำไมจะให้โอกาสทหารปฎิรูปประเทศไทยอีก 1 ปีกว่าไม่ได้ ให้ประเทศไทยได้พัฒนาต่อไปแบบยั่งยืนตามรอยพ่อ เพื่อลูกหลานในอนาคต


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 11 ส.ค.57 สุดอึ้ง..มะกันถล่มอิรักหนัก ฝูงสุนัขจรจัด กัดกินซากศพผู้ที่เสียชีวิต

    สถานการณ์ในอิรัก ชนกลุ่มน้อยยาซิดี คริสต์ศาสนิกชนชาวอิรัก ที่อพยพหนีตายจากการบุกยึดเมืองคาราคอช กว่า 150,000 คน ยังติดค้างอยู่ในเขตหุบเขาเมืองซินจาร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิรัก โดยหลายพันคนส่วนใหญ่เป็นเด็ก และผู้สูงอายุ ต้องสังเวยชีวิตให้กับความหิวโหย

    ผู้ลี้ภัยหลายร้อยคน วิ่งตามเฮลิคอปเตอร์ช่วยเหลือของกองทัพอิรัก ซึ่งลำเลียงน้ำดื่มและอาหารมาให้ หุบเขาแห่งนี้เป็นเมืองแห่งความตายไปแล้ว เพราะกว่าร้อยละ 70 ของชาวยาซิดี เสียชีวิตจากภาวะอดอาหาร-น้ำ และอยู่ในสภาพอากาศร้อนจัดถึง 50 องศาเซลเซียสมานานหลายวัน

    กองทัพสหรัฐ ลำเลียงน้ำดื่มกว่า 2.6 หมื่นลิตร และอาหารอีกกว่า 3.6 หมื่นกล่อง กองทัพอังกฤษ นำน้ำดื่ม เต็นท์นอน และของใช้จำเป็น มามอบให้ชาวยาซิดี แต่เพราะหย่อนลงสู่พื้นดินที่ความสูงกว่า 15,000 ฟุต โดยไม่มีร่มชูชีพ น้ำและอาหารจึงตกกระจายเกลื่อน ไม่สามารถนำไปบริโภคได้

    ส่วนความพยายามในการขนย้าย ชาวยาซิดีออกจากหุบเขาก็ไม่ทันการ เนื่องจากสามารถลำเลียงผู้โดยสารได้เพียง 12 คนต่อเที่ยวเท่านั้น ชาวบ้านที่คอปเตอร์ได้ ยอมเสี่ยงชีวิตหนีออกมาจากหุบเขา เพราะเป็นที่ปิดตายไม่มีทางรอด

    ฝูงสุนัขจรจัด เริ่มกัดกินซากศพของผู้ที่เสียชีวิตแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน จำใจต้องทิ้งหลานสาววัยเด็กไว้ที่หุบเขา หลังดูอาการแล้วคาดว่าไม่น่าจะมีชีวิตรอด

    ส่วนกลุ่มนักรบหัวรุนแรง IS ได้ยึดเมืองซินจาร์ ซึ่งเป็นเมืองโบราณของชนกลุ่มน้อยยาซิดี้ได้ และสังหารชนกลุ่มน้อยยาซิดี้กว่า 500 คน ระหว่างปฎิบัติการรุกคืบยึดเมืองเออร์บิล ทางตอนเหนือของอิรัก โดยเหยื่อบางส่วนได้ถูกฝังทั้งเป็น ทั้งผู้หญิงและเด็ก นอกจากนี้ยังได้กวาดต้อนผู้หญิงกว่า 300 คนเป็นทาสด้วย

    กองกำลังหัวรุนแรงไอเอสใช้อาวุธยิงใส่ ชนกลุ่มน้อยชาวยาซิดี ในลักษณะของการยิงกราดไปทั่ว ชาวยาซิดี้หลายหมื่นคน ต้องอพยพหนีตาย จากการโจมตีของกลุ่ม IS หลังจากกองกำลังเคิร์ดได้ละทิ้งกลุ่ม เนื่องจากต้องเผชิญหน้า และสู้รบกับกลุ่ม IS และสู้ไม่ไหว เพราะกลุ่ม IS มีอาวุธดีกว่าที่ได้จากอเมริกา

    ผู้นำชาวเคิร์ดในอิรัก วอนนานาชาติให้ช่วยส่งอาวุธและยุทโธปกรณ์ เพื่อนำไปต่อสู้กับกลุ่ม IS ที่กำลังรุกคืบเข้ามาในขณะนี้ หลังจากเกิดการสู้รบกันอย่างหนัก

    แถวจุดข้ามแดนฟิชคาเบอร์ ที่อยู่ระหว่างซีเรีย กับ อิรัก มีผู้ข้ามเข้ามาราว 30,000 คน เพื่อหลบหลีกการปิดล้อมในภูเขาซินจาร์ ด้วยการข้ามไปที่ซีเรีย แล้วจึงข้ามกลับเข้าอิรัก

    ส่วนกองทัพสหรัฐ ก็ไม่สนใครจะอดจะอยาก จะตายอย่างไร ยังคงใช้เครื่องบินขับไล่ และ โดรน ลงมือปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอีก 4 ครั้ง ที่มั่นของกองกำลังหัวรุนแรง IS ในประเทศอิรักสามารถทำลายรถหุ้มเกราะ และรถบรรทุกอีก 1 คัน ซึ่งก็เป็นของที่อเมริกา สนับสนุนให้เองก่อนหน้านั่นแหละ

    สรุป..มันมั่วไปหมดแล้วทั้งอิรัก เพราะกลุ่ม IS อเมริกาก็หนุนอาวุธทั้งปืนใหญ่ ปืนกล จรวดร้ายแรง เงินทุน อาหารให้ แถมส่งทหารมาฝึกการรบให้อีก แล้วตอนนี้อเมริกาอีกนั่นแหละ ก็มาโจมตีกลุ่ม IS ซะเอง..ตกลงจะเอาอย่างไงกันแน่

    พอ IS เริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว ก็จะต้องจัดการกดหัวไว้ เพื่อต่อรองเอาผลประโยชน์ ชาวเคิร์ดในอิรักอเมริกาก็หนุนให้แบ่งประเทศจากอิรักอีก จนตอนนี้ฝูงสุนัขจรจัด กัดกินซากศพของผู้ที่เสียชีวิตหลายพันคน..นี่มันเพื่อมนุษยธรรมโลกไหนกันนี่

    ประชาธิปไตย แบบนี้แหละที่อเมริกา เรียกร้องให้ประเทศไทย เกิดขึ้นเร็วๆ เพราะเขาอยากเห็นสงครามกลางเมือง และฝูงสุนัขจรจัด กัดกินซากศพของผู้ที่เสียชีวิตในไทยบ้าง


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 13 ส.ค.57 ไขปริศนา..ซูเปอร์มูน – พายุสุริยะ กับ แผ่นดินไหว – คลื่นซึนามิ มาด้วยกัยจริงหรือ?

    กล้องดูดาวขนาดใหญ่ STEREO A HI2 ที่กำลังส่องบริเวณดาวศุกร์ เมื่อวันที่ 6 ส.ค.57 ที่ผ่านมา ได้สามารถบันทึกวีดีโอภาพวัตถุปริศนาทรงกลมขนาดยักษ์ ที่ไม่สามารถอธิบายได้แน่ชัดว่าคืออะไร โดยวัตถุนั้น กำลังสร้างเกาะป้องกันตัวเอง จากความเสียหายของ พายุสุริยะ ในบริเวณดาวศุกร์

    ** ดูคลิปที่ GIANT OBJECT/SECCHI A. - YouTube

    พายุสุริยะ (solar storm) คือ ลมสุริยะที่พัดเร็ว หรือมีสนามแม่เหล็กเข้มข้นสูงมากกว่าลมสุริยะธรรมดา สิ่งนี้คือ CME (ปรากฎการณ์การพ่นมวลพลาสมาจากชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์) ความเร็วทั่วไปของ CME หรือ พายุสุริยะ อยู่ที่ 300 - 3,000+ กิโลเมตร/วินาที

    ซึ่งการระเบิดออกมาดังกล่าว จะส่งสนามแม่เหล็กที่เข้มข้นสูง , ประจุไฟฟ้าพวกอิเล็กตรอน, ไอออนของธาตุต่างๆ และรังสีอนุภาคโปรตอน 3,700 หน่วย (solar flux unit // sfu , คลื่นวิทยุ 10.7 ซม.เรียกง่ายๆ ว่า Solar flux ,ใช้บอกความเข้มสนามแม่เหล็กระดับพื้นผิวดวงอาทิตย์ )

    องค์การนาซา เตือนว่าให้เฝ้าระวังการเกิดพายุสุริยะระดับ Super X-Class ที่รุนแรงที่สุด ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นในปี 2557 นี้ อาจส่งผลให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดใช้การไม่ได้ และปรากฎการณ์ดังกล่าวจะร้ายแรง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2402 ที่พายุสุริยะได้ส่งผลกระทบอย่างหนักทั่วอเมริกาและยุโรป ทำให้สายโทรศัพท์ไหม้ทั่วทั้งทวีป

    ปรากฎการณ์พายุสุริยะขั้นรุนแรงจะเกิดขึ้น 1 ครั้งในรอบ 100 ปี และหากเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็คาดว่า จะทำให้เกิดพายุหมอกควัน ปกคลุมในเมืองใหญ่ของยุโรป เช่น กรุงลอนดอน , ปารีส และนิวยอร์ก

    ประเมินแล้ว พายุสุริยะดังกล่าว เป็นพายุสุริยะระดับธรรมดา จะมีอานุภาพเหมือนระเบิดนิวเคลียร์กลางอวกาศ ส่งผลให้เกิดภาวะไฟดับ กระทบทั่วแคว้นควีเบค ของแคนาดา ซึ่งครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2532

    แม้บรรดานักวิทยาศาสตร์ และ นักธรณีวิทยาทั่วโลก จะยืนยันตรงกันว่าแผ่นดินไหว เป็นภัยพิบัติที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ เพราะแผ่นดินไหวเกิดจากเปลือกโลกเคลื่อนตัว มีการสะสมพลังแล้วปลดปล่อยออกมา บางครั้งอาจใช้เวลานานนับ 1,000 ปี

    ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่มนุษย์สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้าไม่เกิน 1 นาที จึงไม่สามารถเตือนภัยได้ทัน แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ จะไม่ยอมจำนนต่ออะไรง่ายๆ มีการสร้างแนวคิดว่าระบบสุริยะ สามารถพยากรณ์แผ่นดินไหวได้ โดยมีเครือข่ายเป็นนักฟิสิกส์จากทั่วโลก

    เผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ โดยเฉพาะนักวิจัยจาก องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ(NASA) โดยเชื่อมโยงให้เห็นว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนอกโลก หรือใน “ระบบสุริยะจักรวาล” ช่วยคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวช่วงใด

    เมื่อดาวเรียงตัวกันอย่างน้อย 2 ชุด หมายความว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก เรียงตัวในแนวเดียวกัน พร้อมๆ กับ โลก ดาวพฤหัส ดาวยูเรนัส ก็อยู่ในตำแหน่งเรียงตัวด้วย ทำให้เกิดพลังมหาศาลส่งมายังโลก และอาจเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงบนโลกมนุษย์

    อีกทั้งมีนักฟิสิกส์ สร้างแนวคิดที่สอดคล้องกันว่า ความแปรปรวนของพลาสมา บนชั้นบรรยากาศ และการแปรปรวนในอวกาศ เป็นลางบอกเหตุแผ่นดินไหว เพราะเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศ "ไอโอโนสเฟียร์" (Ionosphere) ที่อยู่สูงจากโลกไป 50-500 กิโลเมตร มักเปลี่ยนแปลงฉับพลัน

    ประมาณ 1-2 วัน จากนั้นจะเกิดแผ่นดินไหวขนาดเกิน 6 ริกเตอร์ อธิบายตามหลักฟิสิกส์ได้ว่า พลังงานในชั้นนี้ มีความสัมพันธ์ระหว่างการแกว่งตัวของสนามแม่เหล็กโลก

    ดวงจันทร์ เป็นบริวารของโลก และหมุนรอบโลกตลอดเวลา มีวงโคจรเป็นรูปวงรี ดังนั้นระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ จึงแตกต่างกันไปแต่ละเดือน อยู่ช่วงระหว่าง 354,000 และ 410,000 กิโลเมตร

    ซูเปอร์มูน (Supermoon) คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ดวงจันทร์เคลื่อนเข้าใกล้โลก เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกๆ 13 เดือน 18 วัน เป็นประจำทุกปี โดยช่วงเวลาที่จะเห็นดวงจันทร์มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าปกติ ประมาณ 10 -14 % และจะส่องสว่างกว่าค่ำคืนดวงจันทร์เต็มดวงทั่วไปถึง 30%

    ในช่วงพลบค่ำ หลังดวงอาทิตย์ตกดิน ดวงจันทร์จะมีส่องแสงสกาวเป็นพิเศษ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั่วโลก รวมทั้งหลายพื้นที่ในประเทศไทย

    ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์หลังการเกิดซูเปอร์มูน ภัยพิบัติรุนแรง และสภาพอากาศที่เลวร้าย เกิดขึ้นบนโลกในช่วงที่ใกล้เคียงก่อน หรือ หลังการเกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์มูน จากรายงานภัยพิบัติที่น่าสนใจระบุว่า

    1.ในอดีตที่ มีการบันทึกไว้เพียงบางปี เช่น
    - พ.ศ.2481 เกิดเหตุพายุเฮอริเคน ขึ้นพร้อม ๆ กับซูเปอร์มูน
    - พ.ศ.2498 เกิดเหตุน้ำท่วมในฮันเตอร์วัลเลย์ ออสเตรเลีย ในช่วงซูเปอร์มูน
    - พ.ศ.2517 พายุไซโคลนเทรซี่ ที่สร้างความเสียหายมหาศาลในเมืองดาร์วิน ออสเตรเลียเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับ ซูเปอร์มูน

    2. ปี พ.ศ.2547

    - วันที่ 26 ธันวาคม 2547 ดวงจันทร์อยู่ในจุดที่อยู่ไกลโลกที่สุด เกิดแผ่นดินไหวใต้มหาสมุทรอินเดีย กระตุ้นให้เกิดคลื่นสึนามิสูงราว 30 เมตร เข้าท่วมทำลายบ้านเรือนตามแนวชายฝั่งโดยรอบมหาสมุทรอินเดีย ใน 14 ประเทศ ในไทยมีคนตายไป 5,000 คน ในต่างประเทศ ตายอีกราวกว่า 2 แสนคน

    ** น่าแปลกคือในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดปรากฏการณ์ซูเปอร์มูน ??

    3. ปี พ.ศ.2551

    - วันที่ 2 พฤษภาคม 2551 เกิดเหตุพายุไซโคลนนาร์กิสระดับรุนแรงสูง ส่งผลให้ชาวพม่าเสียชีวิตมากกว่า 130,000 คน ศพตายเกลื่อนไปหมดจนเก็บไม่ทัน

    - วันที่ 12 พฤษภาคม 2551 กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าสะท้อนแสงผิดปกติ หลังจากนั้นไม่ถึง 30 นาที เกิดเหตุแผ่นดินไหว ที่มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ขนาด 7.8 ริกเตอร์ สั่นสะเทือนไปทั่วเอเชีย ไทย บังคลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน ต่างรับรู้ถึงแรงสั่นที่เกิดขึ้น มีผู้เสียชีวิต 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน

    ** ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ของชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ ที่อยู่สูงจากโลกไป 50-500 กิโลเมตร

    - วันที่ 12 ธันวาคม 2551 เกิดปรากฏการณ์ซูเปอร์มูน

    4. ปี พ.ศ.2553

    - วันที่ 12 มกราคม 2553 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์ กรุงปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงของประเทศเฮติ ตายราว 4 แสนราย ได้รับบาดเจ็บ 3 แสนคน และอีก 1,000,000 ไม่มีที่อยู่อาศัย บ้านเรือน 250,000 หลัง และอาคารพาณิชย์อีกกว่า 30,000 หลัง พังทลายหรือเสียหายอย่างหนัก ทำเนียบรัฐบาลพังถล่ม

    - วันที่ 13 มิถุนายน 2553 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ ในมหาสมุทรอินเดีย และ ขนาด 6.0 ริกเตอร์ ในทะเลอันดามัน แรงสั่นสะเทือนไปไกลกว่า 1,000 กม. ชาวบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เกือบ 2,000 คน อพยพออกมาจากหมู่บ้านเพราะกลัวคลื่นยักษ์สึนามิ

    ** น่าแปลกคือก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์ วันที่ 7 มิถุนายน 2553 เกิดปรากฏการณ์ซูเปอร์มูน และยังเกิดดาวเรียงตัวกันอย่างน้อย 2 ชุด

    - วันที่ 4 กันยายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ ได้ทำลายเมืองไครสต์เชิร์ช และเขตเมืองแคนเทอเบอรี่ นิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เมืองถูกทำลายบริเวณกว้าง และมีผู้บาดเจ็บ

    ** ในแผ่นดินไหวนิวซีแลนด์ ครั้งนี้ ไม่พบการบันทึกซูปเปอร์มูน , การเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ของชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ หรือ ดาวเรียงตัวกันอย่างน้อย 2 ชุด

    4. ปี พ.ศ.2554

    - วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ เมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์ มีผู้เสียชีวิตจำนวนทั้งหมด 185 คน ยอดของวิหารโบสต์ไครส์เชิร์ชหัก และเสียหายเป็นวงกว้าง

    - วันที่ 11 มีนาคม 2554 ดวงจันทร์อยู่ใกล้จุดที่อยู่ไกลโลก เกิดแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิ ที่ญี่ปุ่นตายไปกว่า 14,000 ราย , ในไทยราว กรกฎาคม 2554 เกิดมหาอุทกภัย รุนแรงที่สุด น้ำท่วมทั้งประเทศ นครสวรรค์ โคราช อยุธยา ปทุม กทม. และแทบทุกจังหวัด อ่วมหนัก ไทยเสียหายยับเยิน ตั้งแต่สร้างประเทศมา

    ** น่าแปลกคือในอีกไม่นานต่อมา วันที่ 19 มีนาคม 2554 เกิดปรากฏการณ์ซูเปอร์มูน

    - วันที่ 13 มิถุนายน 2554 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2 ครั้ง ขนาด 5.6 ริกเตอร์ และ 6.3 ริกเตอร์ เมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์ ส่งผลให้ดินเกิดการสลายตัว และสร้างความเสียหายมากยิ่งขึ้น แต่ไม่พบผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

    - วันที่ 23 ธันวาคม 2554 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.8 ริกเตอร์ เมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์ มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยทั้งที่บ้าน และ ตามสถานธุรกิจ ทั้งไฟฟ้าและการประปาหยุดให้บริการที่เมืองนิวบริทัล และเขตเมืองปาร์คแลนด์เสียหายรุนแรง รวมทั้งถนนและทางเท้า

    ** ในแผ่นดินไหวนิวซีแลนด์ปลางและปลายปีนี้ ไม่พบการบันทึกใดๆ

    4. ปี พ.ศ.2555

    - วันที่ 2 มกราคม 2555 เกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง ขนาด 5.1 – 5.5 ริกเตอร์ เป็นเหตุให้ไฟฟ้าทางฝั่งชานเมืองไครสต์เชิร์ช ตะวันออก นิวซีแลนด์หยุดให้บริการ ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนบริเวณโดยรอบ จำนวนกว่า 10,000 หลังคาเรือน

    ตึกมากกว่า 1000 ตึก ย่านธุรกิจใจกลางเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของกลุ่มตึกทั้งหมดบนถนน 4 สายหลักถูกทำลายลงเพราะเหตุแผ่นดินไหว ส่วนตึกเล็กหลายตึกยังคงรื้อถอน หรือรอตัดสินใจว่าจะรื้อถอนหรือไม่ต่อไปในอนาคต

    ** ในแผ่นดินไหวนิวซีแลนด์นี้ ไม่พบการบันทึกใดๆ

    - วันที่ 5 พฤษภาคม 2555 เกิดปรากฏการณ์ซูเปอร์มูน

    5. ปี พ.ศ.2557

    - วันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ประชาชนในกรุงเทพฯ พบเห็นพระอาทิตย์ทรงกรดตั้งแต่เช้าถึงบ่าย และช่วงเย็นก่อนแผ่นดินไหว พบท้องฟ้าและเมฆเป็นสีทองสุกสว่างแปลกตาเป็นอย่ามาก จากนั้นค่วงใกล้ค่ำจึงเกิดเหตุแผ่นดินไหว จ.เชียงราย ของไทย ขนาด 6.4 ริกเตอร์ รุนแรงที่สุดในรอบ 1,000 ปี ของไทย และมีอาฟเตอร์ช้อคตามมาอีกกว่า 900 ครั้ง อาคาร บ้านเรือน วัด หลายแห่งพังทลาย มีผู้บาดเจ็บราว 20 กว่าคน

    - วันที่ 9 พฤษภาคม 2557 พบโซลาร์แฟลร์ หรือการลุกจ้าของดวงอาทิตย์ครั้งใหญ่ เห็นมวลสุริยะขนาดมหึมา ที่พุ่งออกมาจากพื้นผิวดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วสูงราว 1.5 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยขนาดของพายุสุริยะระลอกนี้ เมื่อเทียบกับโลกแล้วใหญ่กว่าโลกราว 5 เท่า

    - มิถุนายน 2557 พบปรากฎการณ์เมฆอาคัสรูปขนมโดนัท ในหลายจังหวัดของไทยทั่วทุกภาค และที่เชียงใหม่ ได้เกิดปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall Effect) เมื่อแสงอาทิตย์ผ่านไปในสารคอลลอยด์บางชนิด อนุภาคคอลลอยด์ จะกระเจิงแสงและทำให้มองเห็นเป็นลำแสงส่องเป็นลำไฟฉายลงมา จากท้องฟ้าสู่พื้นดิน

    ** ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ของชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ ที่อยู่สูงจากโลกไป 50-500 กิโลเมตร , สนามแม่เหล็กโลก และ ไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศ

    - สิงหาคม 2557 องค์การนาซา ระบุจะมีดาวเรียงตัวกันของดาวเคราะห์ที่สำคัญ 3 ช่วงเวลาได้แก่ ระหว่างวันที่ 8 - 11, 15 - 18 และ 23 - 27 สิงหาคม 57 จะเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ มีปฏิกริยามากเป็นพิเศษ และเป็นช่วงที่โลก จะมีผลกระทบ ในรูปแบบของภัยธรรมชาติ

    เช่น แผ่นดินไหว , ภูเขาไฟระเบิด , พายุ , ดินถล่ม , หลุมยุบ , ไฟฟ้าดับ และ ไฟฟ้าช็อต (ในสภาพอากาศปกติ) โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวของพลังงานไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ จะมีสัมพันธ์กันกับสนามแม่เหล็กโลก แวนอลันเบลล์ , ไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศ ที่พื้นผิวโลก ใต้พิ้นผิวโลก ไฟฟ้าในชั้นหลอมเหลวโลก – แม็กม่า

    เท่าที่ติดตามสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติบนโลกช่วงต้นเดือน สิงหาคม 2557

    - ต้น สิงหาคม 2557 โคลนถล่มฝั่งกลบหมู่บ้าน รัฐมหาราษฎระ ของอินเดีย ตาย 109 ราย

    - วันที่ 3 สิงหาคม 2557 แผ่นดินไหว ที่ยูนนานของจีน ขนาด 6.1 ริกเตอร์ ตายกว่า 600 ราย เจ็บเกือบ 3,000 ราย

    ** น่าแปลกคือในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา วันที่ 10 สิงหาคม 2557 เกิดปรากฏการณ์ซูเปอร์มูน

    - วันที่ 7 สิงหาคม 2557 มีรายงานว่าชาวประมงไทย จับปลาทู และสัตว์ทะเล ได้จำนวนมากหนีน้ำลึกมาน้ำตื้น มากกว่าปกติประมาณ 10 เท่า ทุกคนบอกว่า จับจนไม่ไหวเพราะมากมายเหลือเกิน

    - วันที่ 8 สิงหาคม 2557 เกาะฮาวาย ของอเมริกา จู่ๆ เกิดพายุเฮอริเคนยักษ์ 2 ลูก มุ่งหน้าถล่มฮาวาย เกิดน้ำท่วมใหญ่บนเกาะ ต้องอพยพผู้คนหนี , พม่า มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ในภาคกลาง ผู้คนเกือบ 15,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตัวเอง ไปอยู่ค่ายพักชั่วคราว 38 แห่ง กระทบต่อเกษตรกร ปศุสัตว์ และพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 6,000 ไร่

    - วันที่ 9 สิงหาคม 2557 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0 ริกเตอร์ ในอินโดนีเซีย

    - วันที่ 10 สิงหาคม 2557 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.1 ริกเตอร์ บริเวณจังหวัดอาโอโมริ ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น , และแผ่นดินไหวขนาด 5.6 ริกเตอร์ หมู่เกาะฟิลิปปินส์ , พายุโซนร้อนหะลอง จากมหาสมุทรแปซิฟิก เคลื่อนตัวเข้าโจมตีญี่ปุ่นอย่างหนัก ต้องอพยพประชาชน 2 ล้านคน หนีภัยธรรมชาติ และระงับเที่ยวบิน 300 เที่ยว

    ** วันที่ 10 สิงหาคม 2557 เกิดซูเปอร์มูน มองเห็นได้ทั่วโลก และในไทย ดวงจันทร์จะโคจรมาเข้าใกล้โลกที่สุดในรอบปีที่ระยะห่าง 3.56 แสน กม.

    ดังนั้นพอสรุปเบื้องต้นได้ว่า ระหว่างวันที่ 8 - 11 ส.ค.57 ซูปเปอร์มูน , ดาวเรียงตัวกันอย่างน้อย 2 ชุด และ พายุสุริยะสนามแม่เหล็กโลก , ไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศ พื้นผิวโลก ใต้พิ้นผิวโลก ในชั้นหลอมเหลว ตรงตามการคาดการณ์ไว้ คือ มีภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายแห่งบนโลก รวมทั้งภาคอีสานของไทย ที่ยังมีน้ำท่วมอยู่

    - วันที่ 13 สิงหาคม 2557 เวลาประมาณ 01:00 - 04:00 น. มีปรากฏการณ์ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ (Perseid) บนท้องฟ้า ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จุดศูนย์กลางการกระจายอยู่บริเวณระหว่างกลุ่มดาวค้างคาว และกลุ่มดาวเพอร์เซอุส

    ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ มีความสว่างเป็นอันดับสอง รองจากฝนดาวตกลีโอนิดส์ เกิดจากเศษฝุ่นละอองที่ดาวหาง สวิฟท์-ทัตเทิล (109P/Swift-Tuttle) เหลือทิ้งไว้ในวงโคจรเมื่อ 20 ปีก่อน เมื่อโลกโคจรผ่านเข้าไปบริเวณที่มีเศษฝุ่นเหล่านี้ จะดึงดูดเศษฝุ่นเหล่านี้เข้ามาในชั้นบรรยากาศ

    ถึงแม้ว่าเศษฝุ่นของดาวหาง สวิฟท์ - ทัตเทิล จะถูกทิ้งไว้เป็นเวลา 20 ปีแล้ว แต่เศษฝุ่นของดาวหางเหล่านี้ ก็ยังทำให้ชาวโลกได้เห็นดาวหางลุกไหม้เป็นแสงสว่างวาบ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าถึง 75 - 100 ดวงต่อชั่วโมง

    - ระหว่างวันที่ 15 – 18 ส.ค.57 ต้องรอดูผลว่าจะเกิดอะไร ? ที่พื้นที่ใดบ้าง ?

    - ระหว่างวันที่ 23 - 26 ส.ค.57 เวลาห่างจากซูเปอร์มูนเมื่อ 10 ส.ค.57 ราว 2 สัปดาห์ เป็นช่วงดาวเรียงตัวกันอย่างน้อย 2 ชุดพอดี และ อิทธิพลจากพายุสุริยะ กับ สนามแม่เหล็กโลก..ส่วนจะเกิดแผ่นดินไหวในทะเล จนเกิดซึนามิใหญ่เหมือนปี 2547 , 2554 หรือไม่ ?..ต้องรอดูผลว่าจะเกิดอะไร ? พื้นที่ใดบ้าง ?

    ประชาชนควรติดตาม การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ช่วงที่ระบุมากเป็นพิเศษ ด้วยความไม่ประมาท ปรากฎการณ์ธรรมชาติแผ่นดินไหว และ คลื่นสึนามิ ที่ญี่ปุ่นมีระบบเตือนล่วงหน้าทาง SMS เข้าโทรมือถือ ราว 1 นาที แต่ไทยเราไม่เคยมีระบบเตือนภัยแบบนี้

    ก็อาศัยความรู้บ้านๆ ทางดาราศาสตร์ ทางฟิสิกส์ และธรณีวิทยา จากการสถิติความน่าจะเป็นแบบนี้แหละ มาให้วิเคราะห์เตือนให้ประชาชนระมัดระวัง..ไม่ได้ต้องการชี้นำ หรือผูกโยงเหตุการณ์ แต่นำเหตุการณ์ที่เกิดจริงๆ แต่ละช่วงเวลาตามวันที่ สถานที่ มาเรียงลำดับให้เห็นเท่านั้น

    สิ่งที่ต้องการคือไม่อยากให้เกิดภัยพิบัติจะเป็นสิ่งดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเกิดจริงก็สามารถอธิบายความเชื่อมโยงเหตุการณ์ โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ได้

    ตามคำกล่าวที่ว่า..ผู้ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ย่อมตามืดบอด และ การรู้อะไรบ้างครั้งย่อมเป็นทุกข์ แต่การไม่รู้อะไรเลย กลับเป็นทุกข์เสียยิ่งกว่า !!


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 12 ส.ค.57 เผย..พระราชินีฯ คู่ทุกข์คู่ยาก ทรงต้องระหกระเหิน จากการเมือง-สงคราม แต่วัยเยาว์

    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระนามเดิมว่า หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร ทรงเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ ของ หม่อมเจ้านักขัตรมงคล (ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น พลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) กับหม่อมหลวง บัว กิติยากร

    ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ที่บ้านพลเอกเจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงบัว ณ บ้านเลขที่ 1808 ถนนพระราม 6 ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร

    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระเชษฐาและ พระกนิษฐภคินี รวม 3 องค์คือ
    1.หม่อมราชวงศ์ กัลยาณกิติ์ กิติยากร
    2.หม่อมราชวงศ์ อดุลยกิติ์ กิติยากร
    3.หม่อมราชวงศ์ บุษบา กิติยากร

    ขณะนั้น เป็นระยะที่ประเทศไทยเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย พระบิดาของพระองค์ ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก มียศเป็นพันเอกหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร

    หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ต้องทรงออกจากราชการทหาร โดยรัฐบาลแต่งตั้งให้ไปรับราชการ ในตำแหน่งเลขานุการเอก ประจำสถานทูตสยาม ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา

    ส่วนหม่อมหลวงบัว ยังคงพำนักอยู่ในประเทศไทย จนให้กำเนิดหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ แล้วจึงเดินทางไปสมทบ มอบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาวงศา นุประพันธ์และท้าววนิดา พิจาริณี ผู้เป็นบิดาและมารดาของหม่อมหลวงบัว

    หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เติบโตขึ้นมาในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จึงทำให้ต้องอยู่ไกลจาก พระบิดามารดาในตอนแรก ต้องอยู่ห่างไกลพระบิดามารดาตั้งแต่อายุเพียงน้อยนิด บางคราวต้องระหกระเหินไปต่างจังหวัด กับพระบรมวงศานุวงศ์ ตามเหตุการณ์ผันผวนทางการเมือง เช่น ในปี พ.ศ. 2476 หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร พระมารดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้ทรงรับนัดดา ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 7 ไปสงขลาด้วย

    ปลายปี พ.ศ. 2477 หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ทรงลาออกจากราชการ กลับประเทศไทยพร้อมครอบครัว อันมีหม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์บุตรคนโต และ หม่อมราชวงศ์บุษบาบุตรีคนเล็กผู้เกิดที่สหรัฐอเมริกา

    แล้วมารับหม่อมราชวงศ์ อดุลยกิติ์บุตรคนรอง กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์จากหม่อมเจ้าอัปษรสมาน กลับมาอยู่รวมกันที่ตำหนัก ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนกรุงเกษม ปากคลองผดุงกรุงเกษม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

    พ.ศ. 2480 หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ มีอายุได้ 5 ชันษา ได้เข้ารับการศึกษาครั้งแรก เริ่มเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ปากคลองตลาดใน แต่เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) ลุกลามมาถึงประเทศไทย จังหวัดพระนคร ถูกโจมตีทางอากาศบ่อย ๆ ทำให้การเดินทางคมนาคมไม่สะดวกและปลอดภัย

    หม่อมเจ้านักขัตรมงคล จึงให้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ย้ายไปเรียนที่ โรงเรียนเซ็นต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์ ในชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 จนถึงชั้นมัธยมศึกษา เพราะอยู่ใกล้บ้าน และที่นี่หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ ได้เริ่มเรียนเปียโน ซึ่งสามารถเรียนได้ดีและเร็วเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจาก ความสามารถทางด้าน ภาษาต่างประเทศคือ ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส ที่สามารถเรียนได้ดีเช่นกัน

    หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้เผชิญสภาพของสงครามโลก เช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย พระบิดาผู้ทรงเป็นทหาร เป็นผู้ปลูกฝังให้บุตรและบุตรีรู้จักความมีวินัย ความอดทน ความกล้าหาญ และความเสียสละ โดยอาศัยเหตุการณ์ในสงครามเป็นตัวอย่าง และสงครามก็ทำให้ ผู้คนต้องหันหน้าเข้าช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มีความเมตตาต่อผู้อื่น และ รักความมีระเบียบแบบแผนมาตั้งแต่เยาว์วัย

    พ.ศ. 2489 เมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 2 สงบลง รัฐบาลไทยซึ่งขณะนั้นมี พันตรีควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งให้ หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำ สำนักเซ็นต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ

    โดยได้ทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปอยู่ด้วยในกลางปี ขณะนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ มีอายุได้ 13 ปีเศษ และเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเซ็นต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์แล้ว

    ระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ศึกษาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส กับครูพิเศษ ควบไปกับการเรียนเปียโน ต่อมาไม่นานนัก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ประจำประเทศเดนมาร์ก และต่อไปที่ประเทศฝรั่งเศส ตามลำดับ

    หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ยังคงเรียนเปียโนอย่างขะมักเขม้น เพื่อเตรียมสอบเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรี ที่มีชื่อของกรุงปารีส

    พ.ศ. 2491 ขณะที่หม่อมเจ้านักขัตรมงคล และ ครอบครัวอยู่ในปารีส ได้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้นทรงเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว และเสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งโปรดเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงงานทำรถยนต์ ในกรุงปารีสอยู่เสมอ

    เรื่องราวความรักของทั้งสองพระองค์ เริ่มขึ้นวันหนึ่งในปี พ.ศ.2489 วันที่ทรงแรกพบ ครั้งนั้น ในหลวงประทับอยู่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เสด็จฯ ไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อทอดพระเนตรรถยนต์พระที่นั่ง แทนคันเดิมซึ่งรับราชการสนอง พระเดชพระคุณมาเป็นเวลานาน

    ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส พร้อมครอบครัวเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันนี้เองที่ทรงพบกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของ ม.จ.นักขัตรมงคล และ ม.ล.บัว กิติยากร ที่มารับเสด็จ

    ก่อนทรงได้พบกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงทราบถึงความน่ารัก จากสมเด็จพระราชชนนีมาก่อนแล้ว ในการเสด็จเยือนปารีสครั้งแรก สมเด็จพระราชชนนี รับสั่งเป็นพิเศษว่า ให้ไปทอดพระเนตรลูกสาว ของ ม.จ.นักขัตรมงคล "ว่าจะสวย น่ารักไหม" ทรงกำชับว่า "เมื่อถึงปารีสแล้วให้โทร.บอกแม่ด้วย"

    โดยวันนั้น ม.ร.ว.สิริกิติ์แต่งตัวเรียบร้อย สวมสูทสีเนื้อ ไว้หางเปียยาวถึงหลัง ในหลวงเสด็จฯ มาถึงช้ากว่ากำหนด เนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งเกิดเสีย และน้ำมันหมด พระองค์ตรัสว่าทรงจำได้ดีถึงสีหน้าของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ที่ทั้งหิวและรอนาน

    เมื่อเสด็จฯ มาถึงราชเลขาฯ ได้เชิญแต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย แล้วให้เด็กไปรับประทานอาหารจีนอีกที่ จึงทำให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์ เคืองอยู่นิดๆ เมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ทั้งสองพระองค์ จะทรงพระสรวล โดยในหลวง ทรงล้อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า "เดินตุปัดตุเป๋ หน้างอ คอยถอนสายบัว"

    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกราบบังคมทูลตอบว่า "ที่หน้างอ เพราะให้แต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กกลับไล่ไปกินที่อื่น" เมื่อในหลวงเสด็จฯ ถึง ก็ทรงโทรศัพท์หาสมเด็จพระราชชนนีและตรัสว่า "เห็นแล้ว น่ารักมาก"

    เนื่องจากเวลาเสด็จฯ ยังกรุงปารีส ในหลวงประทับที่สถานทูตไทย เช่นเดียวกัน กับนักเรียนไทยคนอื่น ทำให้ครอบครัว ม.จ.นักขัตรมงคลซึ่งรวมถึง ม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็นที่คุ้นเคยเบื้องพระยุคลบาท ความที่ได้พบพระพักตร์บ่อยครั้ง ทั้งยังมีความชอบในสิ่งเดียวกันโดยเฉพาะการดนตรี ประกอบกับนิสัยร่าเริง สุภาพอ่อนน้อม และขี้อายในบางครั้ง

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดการดนตรีเป็นพิเศษ ขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เอง ก็สนใจ และรอบรู้เข้าใจ ในศิลปะการดนตรีเป็นอย่างดี ทำให้ยิ่งประทับพระราชหฤทัย โดยมีความสวยงามของเมืองโลซาน เป็นฉากหลังที่โรแมนติกและมีความหมายยิ่งต่อทั้งสองพระองค์จนกลายเป็น ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ในที่สุด

    วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ข่าวใหญ่ที่ทำให้ประชาชนชาวไทยตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อในหลวงทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวา ไปยังนอกเมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คือ รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส

    ทรงเข้ารับการรักษาพระองค์ในโรงพยาบาล ในตำบลเมอร์เซส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่า พระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด

    มีพระราชกระแสรับสั่งว่า เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติครั้งแรก ทรงระลึกถึงบุคคลเพียง 2 คน คือสมเด็จพระราชชนนี และ ม.ร.ว.สิริกิติ์ สิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์คือ ทรงหยิบรูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ออกจากพระกระเป๋า ส่งถวายสมเด็จพระราชชนนี พร้อมกับรับสั่งว่า “ แม่ เรียกสิริมาที “

    รูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ รูปนั้น เป็นรูปแรกที่ทรงถ่าย เป็นรูปหมู่ที่ถ่ายตอนบุคคลเข้าเฝ้าฯ ณ สถานทูต ม.ร.ว.สิริกิติ์ อยู่เป็นคนสุดท้าย เห็นหน้าไม่ชัด ในหลวงรับสั่งว่า “ ยู้ฮู คนข้างหลังโผล่หน้ามาหน่อยสิ “ รูปนั้นทรงตัดเฉพาะหน้า ม.ร.ว.สิริกิติ์ ไว้ในพระกระเป๋า

    ระหว่างที่ประทับรักษา พระองค์ที่โรงพยาบาลนั้น รับสั่งให้ราชองครักษ์ ติดต่อไปยัง ม.จ.นักขัตรมงคล ให้ ม.ล.บัว กิติยากร พาธิดาทั้งสองคือ ม.ร.ว.สิริกิติ์และ ม.ร.ว.บุษบาเข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการที่ โรงพยาบาลเป็นประจำทุกวัน จนกระทั่งหายจากอาการประชวร อันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ในช่วงระยะเวลาที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่เฝ้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สวิสเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระราชชนนี ได้ทรงรับเป็นธุระ จัดการให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าศึกษาใน Pensionnat Rinate Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ของโลซานน์

    จนพระอาการประชวรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุเลาลง เสด็จกลับพระตำหนักได้ สมเด็จพระราชชนนี ได้รับสั่งขอให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ อยู่ศึกษาต่อที่เมืองโลซาน ในโรงเรียนประจำ Riante Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในการสอนวิชาพิเศษแก่กุลสตรี คือ ภาษา ศิลปะ ดนตรี ประวัติวรรณคดี และประวัติศาสตร์

    เมื่อหลังจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจาก อาการประชวรแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคล และ ครอบครัวมาเฝ้าฯ ที่นครโลซาน ทรงมอบหมายให้ ม.จ.จักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ เป็นผู้ทูลเกริ่นทาบทามเรื่องที่จะทรงขอหมั้นก่อน ขณะที่พระองค์เองมีพระราชดำรัสเป็นการส่วนพระองค์กับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ล่วงหน้าแล้ว และสมเด็จพระราชชนนี รับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคล เป็นทางการอีกครั้ง

    วันที่ 19 กรกฎาคม 2492 พระราชพิธีทรงหมั้นจัดขึ้นเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินด์เซอร์ และประกอบพระราชพิธีหมั้นอย่างเงียบๆ ทรงใช้พระธำมรงค์ที่สมเด็จพระราชบิดา ทรงหมั้นสมเด็จพระราชชนนีเป็นพระธำมรงค์หมั้น โดยค่ำวันที่ 12 สิงหาคม 2492 มีงานเลี้ยงที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน แล้วคงให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ศึกษาต่อไป

    ในหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข่าวทรงหมั้นให้คนไทยทราบ โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นผู้ประกาศ ข่าวที่เผยแพร่ออกไปนำมาซึ่งความดีใจแก่ประชาชนไทยเป็นอย่างยิ่ง สื่อมวลชนหลายสำนักทั่วโลกต่างนำเสนอข่าวนี้ หลังพระราชพิธีหมั้น

    มีนาคม 2493 จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ นิวัติพระนคร จึงทรงโปรดให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ตามเสด็จพระราชดำเนินกลับมาด้วย เพื่อร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

    วันที่ 28 เมษายน 2493 ทรงโปรดให้พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ขึ้น ณ วังสระปทุม สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์และเทพมนต์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และในวันนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

    วันต่อมาเสด็จฯ ไปประทับพักผ่อนพระอิริยาบถและฮันนีมูนที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา 3 วัน พร้อมด้วยคณะผู้ตามเสด็จโดยรถไฟ ตลอดเส้นทางที่เสด็จฯ นั้นมีประชาชนมาเฝ้าฯ รับเสด็จเนืองแน่น ส่วนหนึ่งต้องการยลพระสิริโฉมของพระราชินีนั่นเอง

    วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เป็นวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับเฉลิมพระบรมนามาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และทรงสถาปนาเฉลิมพระยศสมเด็จพระราชินีเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี”

    วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2493 ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะแพทย์ผู้รักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลแนะนำให้ทรงพักรักษาพระองค์อีกระยะหนึ่ง และทรงศึกษาต่อ

    พ.ศ. 2495 ทั้งสามพระองค์จึงเสด็จนิวัตประเทศ ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต

    พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกบรรพชาตามโบราณราชประเพณีเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน ในระหว่างที่ผนวชอยู่นี้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์

    ซึ่งต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดฯให้เฉลิมพระอภิไธย เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชโอรส และพระราชธิดารวม 4 พระองค์คือ

    1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ ณ สถานพยาบาล มองซัวซี นครโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2494

    2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ บรมจักราดิศรสันตติวงศ์ เทเวศรธำรงสุรบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดชภูมิพลนเรศวรางกูล กิตติสิริสมบูรณ์ สว่างควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ต่อมาในปี 2515 ทรงได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมุฏราชกุมาร

    3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2498 ต่อมาทรงได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ เฉลิมพระอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรรัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปี 2520

    4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม 2500

    ตลอดระยะเวลาแห่งการดำรงพระอิสริยยศ ”พระราชินี” จนถึง “สมเด็จพระบรมราชินีนาถ” ได้ทรงปฏิบัติภารกิจ น้อยใหญ่นานัปการ ทั้งในฐานะ “พระผู้เป็นที่พึ่งของ ปวงชนชาวไทย” และในฐานะ “คู่บุญคู่พระราชหฤทัย” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงช่วยแบ่งเบา พระราชภารกิจ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อานาประชาราษฏร์

    ทั้งโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เอง ไปทรงเยี่ยมราษฎรในชนบท ทั่วทุกภูมิภาค แม้ตราก ตรำพระวรกาย เนื่องจากการคมนาคมในสมัยนั้น ยังไม่สะดวกสบายเหมือนในปัจจุบัน ก็มิได้ย่อท้อ

    ในด้านความมั่งคงของประเทศ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมทหารที่ปฎิบัติการสู้รบ ต่อสู้ผู้ก่อการร้ายตามชายแดนถึงฐานปฏิบัติการต่าง ๆ แม้เป็นที่เสี่ยงภยันตรายก็ทรง พระอุตสาหะเสด็จไปทรงดูแลทุกข์สุก ปลอบขวัญถึงฐานปฎิบัติการต่างๆ เป็นขวัญกำลังใจ ให้ทหารต่อสู้ปกป้องผืนแผ่นดิน

    นำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่อาณาประชาชน ให้สามารถทำมาหากิน ได้อย่างสงบสุข ตราบจนต่อมา ภัยจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ก็สลายลง ด้วยเดชะพระบารมีทั้ง 2 พระองค์

    ในด้านการศึกษา ทรงมีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนหลายหลายรูปแบบ เช่น ทรงพระอุตสาหะสอนหนังสือราษฏรด้วยพระองค์เอง พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนการศึกษาแก่เยาวชนจากครอบครัวที่ยากจน ทั้งในระบบโรงเรียนและนอกโรงเรียน ทรงรับไว้เป็นนักเรียนในพระบรมราชานุเคราะห์

    ส่วนบิดามารดาพี่น้องของเด็ก ก็โปรดเกล้าฯให้เข้ารับ การฝึกอบรมพระราชทานความช่ายเหลือให้ปรับปรุงการประกอบอาชีพให้เป็นผล หรือให้มีความรู้เป็นอาชีพเสริมเพิ่มพูนรายได้สามารถช่วยตนเอง และครองครัวให้ดำรงชีวิตเป็นสุขตามอัตภาพ โดยใช้วัตถุดิบพื้นบ้านมาทำประโยชน์ เช่น หัตถกรรมจักสานของโครงการหุบกะพง โครงการจักสานย่านลิเพา และทำเครื่องปั่นดินเผาในภาคใต้

    ทั้งยังโปรดเกล้าฯให้สอดแทรกเรื่อง ความรักชาติ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การรักษาศิลปวัฒธรรมท้องถิ่น และ ประเทศ การรู้จักรักษาสุขภาพอนามัย การรู้จักพัฒนาตนเอง การเห็นความสำคัญของการศึกษาและการช่วยเหลือร่วมมือกับส่วนรวม พร้อมทั้งให้ทุกคนตระหนักว่า ตนเป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวม ต้องบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์เพื่อความเจริญพัฒนาของภูมิภาค

    นอกจากนั้น ยังทรงอุปถัมภ์บำรุงงานด้านการศึกษาอื่น ๆ เช่น ทรงรับมูลนิธิด้านการศึกษา ไว้ในพระราชินูปถัมภ์ พระราชทานพระราชทรัพย์แก่โรงเรียนที่สอนเด็กปัญญาอ่อน เรียนช้าและ พิการช่ำช้อน ทรงสนับสนุนก่อตั่งและขยายโรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดาร ทรงส่งเสริมให้ราษฎรศึกษาด้วยตนเองโดยก่อตั่ง “ศาลารวมใจ” มีลักษณะเป็นห้องสมุด และ ศูนย์ศึกษาหาความรู้ต่างๆ รวมทั้งศูนย์รักษาพยาบาลเบื้องต้น

    พระมหากรุณาธิคุณมิได้แผ่ปกป้องเฉพาะปวงชนชาวไทย หากแต่ยังทรงแผ่ปกไปถึงประชาชน ของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ชาวกัมพูชาอพยพลี้ภัยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแดนไทย แถบจังหวัดตราด จันทบุรี และปราจีนบุรี มีพระราชศรัทธาและพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะทรงบำบัด ทุกข์บำรุงสุขผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยมิได้ทรงเลือกเชื้อชาติ ศาสนา หรือ เผ่าพันธุ์

    พระราชกรณียกิจในสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินนาถ มีกว้างขวางครอบคุมสาขาต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษา การศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การแพทย์และสาธารณสุข การต่างประเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ อีกมากมาย

    พระปรีชาสามารถ และพระวิริยะอุตสาหะที่ทรงทุ่มเทอุทิศกำลังพระวรกาย พระสติปัญญา พระราชทรัพย์ ในพระราชกรณียกิจต่าง ๆเพื่อเกื่อกูลประโยชน์สุขของพสกนิกรนั้น ได้ดื่มด่ำอยู่ใน หัวใจคนไทยทั้งชาติ และหยั่งลึกลงเป็นรากฐานแห่งความจงรักภักดีต่อ พระบรมราชจักรีวงศ์เป็นผลให้เกิดความมั่งคง และนำศานติสุขมาสู่ปวงชนชาวไทย

    สถาบัน องค์กร มหาวิทยาลัย หน่วยงานต่างๆ จึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ โล่เฉลิมพระเกียรติ รางวัล และประกาศเกียรติคุณต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น องค์กรค์การเอฟเอโอ ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญ ซีเรส เทิดพระเกียรติในฐานะที่ทรงยกฐานะของสตรีให้มีระดับสูงขึ้น และทรงเป็นผู้ “ให้โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง” ฯลฯ

    ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ แห่งอังกฤษ ได้ทูลเกล้าฯถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์ ซึ่งสถาบันแห่งนี้เคยมอบให้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นเป็นที่รู้จักระดับโลกเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีมหาวิทยาลัยและสถาบันอื่นๆ อีกมากมายที่ทูลเกล้าฯถวายปริญญา และรางวัลประกาศกิตติคุณแด่พระองค์ท่าน

    นับได้ว่า เป็นบุญของชาติและประชาชนชาวไทย ที่มีสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เพียบพร้อมด้วยคุณลักษณะแห่งรัตนนารีโดยแท้ พระองค์มิได้ทรงเป็น พระบรมราชินี ที่มีพระสิริโฉมเป็นเลิศเท่านั้น หากแต่ยังทรงพระปรีชาเชี่ยวชาญ ในกิจการต่างๆ ซึ่งปรากฏผลเป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนโดยตลอด

    ทรงยึดมั่นในพระบวรพระพุทธศาสนา พระคุณธรรม พระปัญญาคุณ และพระเมตตากรุณาคุณ ซึ่งทรงดำรงไว้มั่นคงตลอดมา เป็นปัจจัยส่งเสริม ให้พระเกียรติคุณขจายขจรไปทั่วในประเทศและนานาประเทศทั่วโลก

    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เป็นลำดับมา ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีของไทย และ ในฐานะคู่พระราชหฤทัยแห่งพระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว ทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภาระทั้งหลายไปได้มาก

    อาจกล่าวได้ว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ของชาติไทย เป็นพระบรมราชินีที่ทรงได้รับการสรรเสริญ พระเกียรติคุณจากนานาประเทศ อย่างกว้างขวาง ยิ่งกว่าพระบรมราชินีพระองค์อื่นใดในโลก

    จากพระราชประวัติของพระองค์ เห็นได้ว่า ทรงถูกนักการเมืองรังแก มาตั้งแต่พระราชสมภพแล้ว ไม่ได้มีอภิสิทธิ์พิเศษใดๆ ต้องระหกระเหินไปต่างจังหวัด ตั้งแต่พระเยาว์ ตามเหตุการณ์ผันผวนทางการเมือง ที่มีนักการเมืองเป็นใหญ่ เมื่ออายุได้ 5 ชันษา พระองค์ต้องเผชิญสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝรั่งทิ้งระเบิดโจมตีทางอากาศ ในกรุงเทพ

    ทรงต้องย้ายโรงเรียนเพื่อความปลอดภัย พระองค์ต้องเผชิญสภาพของสงครามโลก เช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย แต่เพราะพระบิดาปลูกฝังให้พระองค์รู้จักความมีวินัย ความอดทน ความกล้าหาญ และความเสียสละ หันหน้าเข้าช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก หล่อหลอมให้พระองค์มีความเมตตาต่อผู้อื่น จนเป็นแม่ของแผ่นดินมาตราบจนปัจจุบัน

    พระองค์จึงพระราชทานคำขวัญเนื่องในวันแม่แห่งชาติ พ.ศ.2557 คือ “ รักเรียน รู้งาน ถนอมบ้านเมืองไทย ร่วมใจสามัคคี คือ ลูกที่ดีของแม่ “ เพื่อเป็นข้อเตือนใจลูกไทยทุกคน ได้ร่วมใจสามัคคีเพื่อรักษาบ้านเมืองของเรา ให้เจริญวัฒนาไปตราบนานเท่านาน


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 13 ส.ค.57 เสียววาบ หลังปรากฏการณ์ซุปเปอร์มูน แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดทั่วโลกวันนี้อีก 32 ลูก

    จากกรณีได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.1 ริกเตอร์ ที่เมืองหลวงของเอกวาดอร์ จุดศูนย์กลางตรงเส้นศูนย์สูตรพอดีเป๊ะ ส่งผลให้ตนตาย เจ็บ และอาคารบ้านเรือนพังนั้น

    ปัจจุบันภูเขาไฟในโลก มีทั้งหมดประมาณ 1,300 ลูก เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วจำนวน 700 ลูก และอีก 600 ลูก ยังมีอาการปะทุออกมาเป็นระยะ วันนี้ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิดอีก 32 ลูก คือ

    1. แผ่นดินไหว บริเวณนอกชายฝั่งสหพันธรัฐไมโครนีเซีย แรงสั่นสะเทือนขนาด 5.0 ริกเตอร์ ที่ความลึก 10 กิโลเมตร เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย

    2. แผ่นดินไหว ที่รัฐโออาซากา ประเทศเม็กซิโก แรงสั่นสะเทือนขนาด 5.8 ริกเตอร์ ที่ความลึก 10 กิโลเมตร นับว่าเป็นแผ่นดินไหวขนาดรุนแรง ซึ่งเบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย

    3. ภูเขาไฟสตรอมโบลี ในประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังมีพลังที่สุดในยุโรป เกิดระอุอย่างรุนแรง และพ่นลาวาสีแดงฉาน ไหลลงทะเลเป็นทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร จนถึงขณะนี้ โดยยังไม่มีทีที่ว่าจะหยุดแต่อย่างใด

    นับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. 57 ก่อนปรากฎการณ์์ซุปเปอร์มูน 10 วัน จนถึงตอนนี้ ยังมีภูเขาไฟจากทั่วโลก ประมาณ 32 ลูก ที่ยังมีการปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

    ปรากฏการณ์ซุปเปอร์มูน ทำพิษต่อโลกซะแล้วตามที่เคยบอกไว้
    ** ดูเรื่องนี้ที่ https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/260028050853896


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/thailandcoup?ref=profile
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
  14. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    คนโบราณเขาสั่งสอนว่าต้องเทิดทูนพระแม่โพสพ ห้ามลบหลู่ ใครที่เอาน้ำมาราดเมล็ดข้าวให้เน่าเสียหาย เอาไฟเผาให้เสียหาย หรือเหยียบย่ำทำลายให้เสียหาย ชีวิตจะวิบัติ ใครทำอะไรไว้ต้องกลับมารับกรรมนั้น
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 18 ส.ค.57 เจอข้อหาหมิ่นเบื้องสูงเข้าไป จากหนุ่ม เป็นหงอกทันที

    พวกที่หมิ่นเบื้องสูง เจอถูกจับเข้าไปอาศัยในคุก มักจะเจอรับน้องแบบแสนโหดจากนักโทษขาใหญ่ที่อยู่มาก่อน ผู้ชายจะถูกรุมกระทืบ และระเบิดถังส้วม ส่วนผู้หญิงจะเจอรุมกระทืบ และป้อนผักมะเขือยาว เช่นกัน

    ในภาพก็เป็นนักโทษจอมหมิ่นเบื้องสูง ผิดข้อหามาตรา 112 เช่นกัน..สมัยนอกคุกเขาเป็นหนุ่มนักร้องรูปร่างสะโอดสะอง จนเขาเคยออกรายการทีมีว่าผ่านผู้หญิงมาแล้วเป็นพันคน นับตั้งแต่เขาผันตัวเองเป็นเสื้อแดง เวลาแสดงคอนเสิร์ตแต่ครั้ง คนดูไม่เคยเกิน 10 คน และไม่มีงานแสดงใดๆ เลย

    วันนี้เขาติดคุก อยากจะประกันตัว แต่ไม่สำเร็จ จึงดูสภาพหงอกไปทั้งหัว หมดสภาพนักร้องรูปหล่อ ขวัญใจแม่ยกในอดีต คนเสื้อแดงดูตัวอย่างไว้ ว่าบาปกรรมที่หมิ่นเบื้องสูง มันส่งผลอย่างไรกับชีวิตพวกตนเองบ้าง

    อย่าโทษว่าคนอื่นกลั่นแกล้ง และ 2 มาตรฐาน..กรรมที่เกิดขึ้นล้วนแต่ตนเองกระทำทั้งสิ้น โชคชะตาจึงกำหนดชีวิตของผู้กระทำให้ได้รับแต่ผลร้ายๆ


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 18 ส.ค.57 บิ๊กตู่ ใส่สูท ไม่ใส่ชุดทหาร ชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558

    วันนี้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่รัฐสภา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. วันนี้ใส่สูท ไม่ใส่ชุดทหาร เข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 โดยบิ๊กตู่ นั่งตรงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

    การแต่งกายของท่าน นับว่าเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ เช่น แต่งกายทหารในขณะทำหน้าที่เป็น ผบ.ทบ. , แต่งกายผ้าไทยสีฟ้า ในขณะไปงานเฉลิมพระเกียรติราชินี และแต่งกายใส่สูท ในขณะไปชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปี กับ สนช.

    แถมวันนี้ บิ๊กตู่ นั่งตรงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี อีกด้วย..อืมม คงลองนั่งศึกษาดูละมั้ง เพราะเห็นที่ผ่านมานักการเมืองนั่งไม่ค่อยนาน


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 18 ส.ค.57 ตูม “รถไฟขนสารพิษ” 2 ขบวนพุ่งประสานงากันเละเทะในอเมริกา อพยพหนีตายเพียบ

    ได้เกิดเหตุชวนขนหัวลุก เมื่อรถไฟขนสารเคมีพิษร้ายแรง ที่รัฐอาร์คันซอ ของสหรัฐฯ 2 ขบวน ได้พุ่งชนประสานงากัน อย่างแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปานระเบิดขนาดใหญ่ เกิดเพลิงลุกไหม้นานกว่า 7 ชั่วโมง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายและบาดเจ็บอีก 2 คน

    ทางการได้สั่งอพยพชาวบ้านส่วนใหญ่ ในเมืองฮ็อกซี ที่มีประชากรราว 3,000 คนทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐอาร์คันซอ และได้อพยพชาวบ้านราว 500 คนในรัศมี 1 ไมล์ครึ่งจากจุดเกิดเหตุ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ตอนนี้ไฟยังลุกไหม้เครื่องยนต์ 1 ตัว ยังไม่ดับ ยังไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสารพิษที่รถไฟขนมาอย่างไรบ้าง

    รถไฟทั้ง 2 ขบวนนั้นเป็นของบริษัท ยูเนียน แปซิฟิก เรลโรด ซึ่งได้แจ้งยืนยันต่อตำรวจแล้วว่า สินค้าที่ขนมาบนรถไฟเป็นสารเคมีมีพิษร้ายแรง ตำรวจประจำรัฐ ได้สั่งปิดทางหลวงที่มุ่งหน้าสู่เมืองฮ็อกซี เป็นการชั่วคราวแล้ว

    พนักงานสอบสวนจากคณะกรรมการความปลอดภัยขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) กำลังเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ

    เหวยๆ สารพิษอะไร รัฐบาลอเมริกา แถลงบอกประชาชนด้วย นิวเคลียร์ ไนโตรเจนเหลว อาวุธชีวภาพ ฯลฯ อพยพคน 3 พันกว่าคนหนีตายขนาดนี้สารพิษนี้คงไม่ธรรมดา ต้องบอกความจริงประชาชนนะ อย่าปิดหูปิดตาสื่อและประชาชน เพราะประชาชนมีเสรีภาพ..(^_^)

    [​IMG]



    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 18 ส.ค.57 ซากเรือรบโบราณ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ใต้อ่าวท้องโข จ.ชุมพร

    กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม นำคณะสำรวจลงพื้นที่อ่าวท้องโข หมู่ 13 ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร หลังรับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบซากเรือรบโบราณสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จมอยู่ใต้น้ำ

    เพราะได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ และจากประชาชนหลายรายว่า ในพื้นดังกล่าวมีเรือรบหรือว่าเรือไม่ทราบชนิด แต่ทราบว่าเป็นของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชัดเจนมาก เพราะยังมีสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นติดอยู่ โดยจากการบอกเล่าของคนเก่าคนแก่ ที่ได้ดำลงไปดูในใต้ท้องทะเลตรงนี้ว่า ระบุว่าเป็นเรือบรรทุกน้ำมันของญี่ปุ่น จึงส่งทีมนักประดาน้ำลงไปสำรวจ

    ซึ่งก็พบซากเรือโบราณดังกล่าวจมอยู่ใต้น้ำลึกจากผิวน้ำประมาณ 4 เมตร ในช่วงเวลาที่น้ำลงต่ำสุด เป็นเรือเหล็กตัวเรือมีความยาวเกือบ 50 เมตร ความกว้างประมาณ 8 เมตร ถูกทรายทับถมอยู่ โดยตัวเรือตั้งอยู่ในลักษณะขนานกับพื้นทะเล ส่วนอายุของเรือและชนิดของเรือนั้น ยังไม่ทราบ โดยจะลงไปสำรวจก่อน 3 วัน เพื่อให้ทราบรายละเอียดของเรือลำนี้

    จากคำบอกเล่าของพ่อแม่ปู่ย่าตายายชาวบ้าน ปี 2484 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกยัง จ.ชุมพร บริเวณสะพานท่านางสังข์ ต.ท่ายาง อ.เมือง จ.ชุมพร ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งอนุสาวรีย์ยุวชนทหาร เนื่องจากมีการสู้รบในบริเวณดังกล่าว และทหารญี่ปุ่นยังยกพลขึ้นบกที่อ่าวท้องโข บ้านท้องครก ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน

    ** เรื่องเดิมสงครามโลกนี้ที่ https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/258982464291788

    ซึ่งระหว่างที่กองกำลังทหารญี่ปุ่น ตั้งกองกำลังอยู่ที่อ่าวท้องโข มีกองกำลังทหารญี่ปุ่นเข้ามาสร้างฐานทัพ เพื่อเดินทางเข้าพม่าและอ่าวทองโขแห่งนี้ก็มีกองเรือญี่ปุ่น เข้ามาพักกำลัง พร้อมป้องกันกองเรือของพันธมิตรที่เข้ามาแอบโจมตีเรือรบ ชาวบ้านในพื้นที่พบเห็นเรือลำดังกล่าวเข้าออกในพื้นที่

    เพื่อขนส่งเสบียงและเชลยศึกอยู่บ่อยครั้ง และมีชาวบ้านเห็นว่า ระหว่างที่เรือรบดังกล่าวกำลังจะเข้าเทียบฝั่งถูกลอบยิง จากเรือดำน้ำของฝ่ายสัมพันธมิตรที่บริเวณหน้าเกาะพิทักษ์ และมีเรือไม้ลากเรือรบลำดังกล่าวเข้ามาที่ฝั่ง แต่เนื่องตัวเรือน่าจะเสียหายหนักมาก จึงทำให้เรือรบลำดังกล่าวจมลงใต้ทะเล ห่างจากฝั่งเพียง 800 เมตร

    ที่ผ่านมา มีชาวบ้านบางคนแอบเข้าไปตัดเอาอุปกรณ์ของซากเรือลำดังกล่าว จึงทำให้ความสมบูรณ์ของเรือมีไม่มาก และยังปล่อยไว้นานหลายสิบปี โดยที่ไม่มีการอนุรักษ์ทำให้มีทรายทับถมตัวเรือและเริ่มผุพังตามกาลเวลา

    ของเก่าแก่ ผุดขึ้นจากทะเล อยากมาอยู่บนบกให้เป็นอนุสรณ์เตือนใจถึงสงครามอีกแล้ว


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/thailandcoup


    ติดตามข่าวอื่นๆ ได้ที่

    ***ทหารปฏิรูปประเทศไทย***

    ***แฉความลับ***
     
  19. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    ชอบคุณเสธทั้งหมดเลย ชอบน้องมิ้นท์ด้วยมากๆ ที่มีอะไรก็มาบอกมาเล่าให้ฟัง
     
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ขอบคุณค่ะสำหรับน้ำใจไมตรีของคุณน้องใหม่
    เราเพิ่งจะมาติดข่าวจากหน้าเพจของเสธ.
    ตั้งแต่เหตุการณ์ในบ้านเมืองวุ่นวายค่ะ
    ว่าไป พี่ชายก็เป็นทหารอยู่เหมือนกัน
    ตอนที่กลุ่ม นปช.จัดชุมนุมพี่ชายก็ต้อง
    เนียนๆ เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมทุกครั้งเพื่อหาข่าวค่ะ :d
     

แชร์หน้านี้

Loading...