ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    อันที่จริงคนเราทุกคนก็มีกรอบในการมองโลกอยู่แล้ว และนั้นก็คือปรัชญาในความหมายของคนทั่วไป ที่ว่าไม่เน้นกรอบความคิดแต่เน้นที่การกระทำเลยนั้นก็เป็นปรัชญาอยู่ดี ฝรั่งเรียกว่า นักปรัชญาแบบประสบการณ์นิยม การมีกรอบความคิดไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่มีกรอบใดผิดกรอบใดถูก แม้แต่ความคิดว่าเราไม่มีกรอบความคิออะไรเลยต่อโลกก็เป็นกรอบความคิดหนึ่ง เหมือนเช่น ทีฆนขะดาบส

    ประเด็นก็คือเราต้องระวังกรอบเหล่านี้ให้ดี ความคิดคือประสบการณ์ เมื่อไม่มีประสบการณ์ที่บันทึกเอาไว้ในสมอง(การจำได้หมายรู้)ก็ไม่มีความคิด(มโน) ความคิดจึ่งเป็นผลพวงมาจากอิทธิผลครอบงำหลายพันหลายหมื่นวันวาน(อาลยวิญญาณกับพิชาญ) จากนั้นเราก็ยึดเอาความคิดเกี่ยวกับสิ่งหนึ่งๆๆหรือภาพลักษณ์เกี่ยวกับมันว่าเป็นความจริง? ตรงนี้เองคือ ทิฏฐิ เช่นท่านคิดว่าโลกแบน ดังนั้นท่านจึ่งเชื่อเช่นนั้น นี่คือ ทิฏฐิ หรือความจำได้หมายรู้นั้นของท่าน ซึ่งประกอบไปด้วยสองส่วนคือ เจ้าของทิฏฐิ กับ สิ่งที่เอามาเป็นทิฏฐิ และถ้าเราปฏิบัติภาวนาเราจะรู้เองเว่า ไม่มีความแตกต่างอยู่จริงหรือระหว่างผู้คิดกับความคิดหรือผู้คิดก็คือความคิดนั้นเอง ไม่ได้แยกขาดจากกัน? ความคิดหรือทิฏฐิทั้งหลายที่เกิดจากการจำได้หมายรู้นั้น ซึ่งเป็นเพียงผลจากเหตุปัจจัย เป็นการไหวตัวของจิต และ มันเปลี่ยนแปลงไปเสมอ มันไม่จีรัง หรือไม่อาจจะมีอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ เราต้องเข้าใจจุดนี้

    ภาษาก็เกิดจากความคิด ซึ่งความคิดจำเป็นต้องใช้การแบ่งแยกสิ่งต่างๆๆออกมาเพื่อสื่อถึงสิ่งนั้น เราคิดถึงสิ่งต่างๆๆในเชิงเปรียบเทียบ อย่างพอพูดถึงผู้หญิง เราทำความเข้าใจผู้หญิงไม่ได้ถ้าไม่มีความคิดในใจก่อนว่า ผู้ชายเป็นยังไง ถ้าเราไม่รู้ว่าผู้ชายเป็นยังไง เราก็นิยามความแตกต่างว่าไม่ใช่ผู้ชายซึ่งก็คือผู้หญิงเป็นยังไงไม่ได้
    ในทางกลับกันความดีความชั่ว สูงต่ำ สั้นยาว มืดสว่าง เราไม่ได้บอกว่าไม่มีความต่างหรือมีความแตกต่างอยู่จริง แต่ประเด็นคือเรามองสิ่งต่างๆๆอย่างไม่ลึกซึ่งพอ เราจึี่งไม่เห็นว่าสิ่งที่ต่างแท้จริงแล้วมันก็เชื่องโยงถึงกันหรือไม่ได้ต่างกันเลย เช่นกัน พอเราเอาการแบ่งแยกอันนี้มาใช้ในใจเรา เราจึ่งเผลอไปยึดติดกับภาพลักษณ์ของความต่างนั้นของสิ่งต่างๆๆ และมองสิ่งต่างๆๆด้วยภาพลักษณ์อันนั้นอย่างแยกขาดตายตัวจากคู่ตรงข้ามของมัน

    เราจึงไม่เห็นความเป็นทั้งหมด ความเชื่อมโยงของมันในท่ามกลางความต่างนี้ แล้วเราก็ยึดความต่างนี้เป็นจริงเป็นจังจนเกินไป จนเป็นปัญหาคือเกิดความขัดแย้งขึ้นมา เช่น การแยกเกิดต่างจากตายเด็จขาด เราเลยกลัวตาย หรือ กลัวการเกิด(อีก) เกิดและตายจึ่งเป็นสิ่งที่ผูกมัดทัศนะเรา ต่อความจริงสร้างปัญหาให้กับเรา อย่างข้าพเจ้าไม่อยากเกิดชาติหน้าอีก ถ้าเกิดข้าพเจ้าเกิดอีก ข้าพเจ้าก็มีความสุขไปไม่ได้ หรือ ข้าพเจ้าไม่อยากตาย วันหนึ่งความตายก้าวเข้ามาข้าพเจ้าก็มีความสุขไปไม่ได้ แต่ถ้าข้าพเจ้าเห็นอีกแง่หนึ่งของเกิดและตาย(มีเกิดมีตาย) ว่าเกิดตายเป็นหนึ่งเดียวกัน(ดั้งนั้นจึ่งไม่มีเกิดไม่มีตาย) ข้าพเจ้าก็เป็นอิสระจากเกิดตาย มันก็สร้างปัญหาอะไรให้ข้าพเจ้าไม่ได้ ข้าพเจ้าก็สามารถปล่อยวางลงได้อย่างแท้จริงจากความยึดติดของข้าพเจ้า ในเกิด หรือ ตาย ความขัดแย้ง ปัญหา ความทุกข์โศกของข้าพเจ้าก็สิ้นสุดลง

    สาระของความว่างก็คือไม่มีกรอบความจริงใดเป็นอิสระจากกรอบหนึ่ง ให้ท่านมองดูโลกเช่น เกิด กับ ตาย ถ้าท่านเข้าใจว่าแยกขาดจากกันนั้นก็ผิด ดังนั้นคนเราจึ่งกลัวมัน เพราะเรากลัวว่าเราจะสูญสลายหายไปไม่มีอยู่อีก เรามองไม่เห็นว่า หลังความตายย่อมมีการเกิดอีก แล้วอะไรล่ะที่ตาย ใบไม้ที่ล่วงโรย เสื่อมสลายไป ใบไม้หายไปหรือเปล่าหรือตอนนี้ใบไม้ได้แปรเปลี่ยนไปแล้วเป็นดิน แร่ธาตุ น้ำ เมื่อนายก.ตาย ลูก หลาน เหลน โหลน กระแสการสืบต่อของนายก..(นายก.ยังปรากกอยู่ในตัวลูก หลาน เหลน โหลนเหมือนที่บรรพชนของก.ปรากกอยู่ในก.) นายก.ยังอยู่ในใจของคนที่รักเขา นั้นก็เป็น กระแสการสืบต่อของนายก.(นายก.ยังปรากกอยู่) ร่างนายก.ที่ผุผังเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นฝน เป็นต้นไม้ เป็นสรรพสัตว์ เป็นภูเขา เหมือนที่ นายก. ก็คือกระแสการสืบต่อของดิน น้ำ ฝน ภูเขา สรรพสัตว์ อะไรทำนองนี้แล้วอะไรล่ะตายอะไรล่ะเกิด เมื่อหยิบใบไม้ที่ร่วงโรย ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้หาได้ตายหรือหายไปจากต้นไม้ไม่ แน่นอนว่ามันจะกลับมาอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ และ พอฤดูใบไม้ร่วงมันก็จะร่วงลงกลับเป็นดินเป็นปุ๋ยเป็นน้ำเป็นแร่ธาตุและอื่นให้ต้นไม้อีกครั้ง ก่อนจะกลับมาเป็นใบไม้บนต้นอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ มันแค่เล่นซ่อนหามันหาได้หายไปอย่างสิ้นเชิงไม่ นี้ยังชี้ว่าถ้าเราบอกนั้นมีชีวิตนี่ไม่มีเราก็ผิด เราคงเห็นแล้วว่าแม้แต่ก้อนหินก็อาจจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตได้ แล้วอะไรล่ะตาย ไม่มีสิ่งอะไรเลยที่ตายปราศจากชีวิต ทุกๆๆสิ่งเรืองรองส่วางจ้าอยู่ในสัจจะแห่งทิวาวาร และ ทรงศักดิ์แห่งราตรีกาล ระหว่างท่าน และ หินก้อนนี้จะต่างกันก็ตรงที่จังหวะเต้นของหัวใจ...เท่านั้น

    ใน Siddhartha กวี แฮร์มันน์ เฮสเซอ พูดถึงตัวละครเอกของเขาคือ สิทธารถะ ว่าเมื่อชายคนนี้หยิบเอาก้อนหินขึ้นจากพื้นดิน เขากล่าวว่า"สิ่งนี้คือก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่ในอีกสักช่วงข้างหน้า มันก็อาจจะกลายเป็นดิน เป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ การกล่าวว่าหินนี้เป็นเพียงก้อนหิน ย่อมไร้ค่า ไร้ความหมายยิ่ง เป็นเพียงมายาภาพ แน่เหลือเกินสหาย ภายใต้วัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงนี้ ก้อนหินย่อมสามารถกลายมาเป็นมนุษย์ เป็นจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ทรงคุณค่า และ ความหมายในกาลข้างหน้า สำหรับฉันมันจึ่งไม่ใช่เพียงก้อนหิน แต่เป็นพระเจ้า เป็นสรรพสัตว์ เป็นมนุษย์ เป็นพระพุทธเจ้าด้วย ดังนั้นฉันจึ่งเคารพมัน แต่มิใช่ในฐานะที่มันสามารถกลายมาเป็นสิ่งต่างๆๆได้นะ แต่ในฐานะที่มันเป็นสิ่งต่างๆมาแล้วตั้งแต่ต้น "

    นี้แหละคือความมหัศจรรย์ของความว่าง ธรรมชาติของความเกิดและความตาย นั้นมันไม่ได้แยกขาดจากกันเลยประดุจสองหน้าของเหรียญเดียวกัน เป็นเราเองต่างหากที่เข้าใจผิดและยึดติดอยู่กับมุมใดมุมหนึ่ง ดั้งนั้นเกิดตายจึ่งสักแต่ว่าเป็นสมมติ ในอีกด้านหนึ่งเราก็ไม่เกิดไม่ตาย ความว่างคือการมองเห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างกรอบความจริงหนึ่งๆๆที่เรามีกับขั่วตรงข้ามของมัน และ ถ้าเราใช้ความว่างเป็นอุบายเราก็จะไปถึงภาวะที่มโนทัศน์ทั้งหลายดับสิ้น นั้นแลคือการตรัสรู้

    ท่านฮวงโป กล่าวว่า "คนฉลาดย่องหลีกเลี่ยงจากความคิดปรุงแต่งแต่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ แต่คนโง่จะพยายามที่จะหลีกเลี่ยงจากปรากฏการณ์แต่ไม่ใช่ความคิดปรุงแต่ง" ก็มีความหมายเดียวกันนี้

    ทีนี้โดยปกติ ธรรมชาติเดิมแท้ของจิต คือ ความว่าง ความเปิดโล่ง แต่ปัญหาก็คือเราไม่ได้พอใจแค่นั้น ดั้งนั้นเราจึ่งได้สร้างสรรค์เอาสังสารวัฏ อันหมายถึงวงจรอุบาทว์แห่งการยืนยันถึงการดำรงอยู่ของตัวตนขึ้นมา และต้องคอยปกป้องมันจากความเจ็บปวด แสวงหาความสุขเพลิดเพลินหล่อเลี้ยงมัน นี้คือห่วงโซ่ทั้ง 12 ของปฏิจจสมุปบาท นี่ยืมภาษาแบบพุทธมาใช้ ยืมมา ข้าพเจ้าสามารถยืมบริบทของศาสนาอื่นมาใช้ก็ได้เพราะศาสนาทุกศาสนาพูดประเด็นนี้แต่ท่านไม่เข้าใจกันเอง


    โดยเริ่มจาก ความสำคัญผิดว่าความตาย(ชรามรณะ) อันเป็นต้นเหตุของ ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ มีอยู่ก็เพราะสำคัญผิดว่าความเกิดของตัวตนที่แท้(ชาติ)มีอยู่ความเข้าใจผิดนี้ มาจากพื้นฐานเข้าใจผิดเรื่องภาวะตัวตน(ภพ)ซึ่งเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น(อุปทาน) อันเป็นผลมาจากความทะยานยาก(ตัญหา) และ เพราะไม่รู้จักพิจารณา สภาพความเป็นจริงของความรู้สึก(เวทนา) จึ่งหลงติดอยู่กับการสัมผัส(ผัสสะ) ระหว่างอายตนะภายในและภายนอก ตามคู่ของมัน(อายตนะภายในและภายนอก )ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะยังไม่เห็นความจริงของกายกับจิตใจ(นามรูป) ทั้งนี้ก็เพราะการรับรู้อารมณ์(วิญญาณ)ที่ขุ่นมัวไม่สงบและแจ่มชัดพอ อันเกิดมาจากแรงขับ การกระตุ้นหรือการปรุงแต่ง(สังขาร)เนื่องจากความไม่รู้จริง(อวิชชา)



    ในการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราจะใช้มันเป็นอุบายเพื่อสร้างสรรค์ที่ว่าง ไม่ใช่สร้างผู้วิเศษอย่างที่บางคนคิดสร้างการบรรลุหรือเป็นอะไร แต่สร้างที่ว่าง เพื่อที่เราจะสามารถเปิดเผยอาการแห่งความวิตกกังวล อาการหลอกตนเอง ปลดปล่อย ความกลัว และ ความหวังอันซ่อนเร้นของเราออกมา เราจัดสรรที่ว่างนี้ผ่านการขัดเกลา ทางวินัยอันเรียบง่าย ของอกรรม ในสมาธิเราจะไม่ธำรงจิตให้ตึงหรือหย่อนเกินไป ไม่พยายามไปหยุดความคิดหรือควบคุมใดๆๆทั้งสิ้น เราจะเฝ้ามองความคิด และถ้าเห็นความคิดก็เห็นปฏิจจสมุปบาททั้ง 12 ความคิดนั้นเองที่ได้สร้างความเป็นฉัน เพราะเมื่อความคิดเกิดขึ้นและท่านรับรู้มัน ท่านจะรู้สึกว่ามี ผู้คิด จงเฝ้าดูแล้วท่านจะเห็น เฝ้าดูความคิดท่านก็จะเห็น อาการแปรปรวนของจิตใจ ซึ่งมันนำตัวมันเองมากับความคิด เช่น ก่อนจะเกิดความรู้สึกทางเพศขึ้นมามันคิดขึ้นมาก่อน พอคิดขึ้นมาโดยทั่วไปท่านจะไม่ทันมัน จะไม่รู้ตัวว่ากำลังคิดแล้ว และความคิดก็ดำเนินต่อไป (ปรุงแต่ง) แต่กระนั้นมื่อความคิดอันหนึ่งเกิดมันก็จะดับโดยธรรมชาติ แต่ท่านไม่เข้าใจ จึงไปปรุงแต่งมันเข้าโดยความเป็นพยัญชนะ ให้มันยังคงสืบเนื่องไปด้วยความไม่รู้ด้วยความพอใจในอารมณ์ที่เสพนั้น เช่นดูผู้หญิงแล้ว ท่านก็จะดูหน้าอก ดูตะโพก นั้นนี่ คิดเรื่อยๆ ต่อเนื่องจึ่งเกิดยึดถือว่ามีฉันขึ้นมาจริงๆๆ จากการสืบต่อเรื่อยๆๆของความคิดนี้โดยไม่เห็นว่ามันเกิดดับตลอดเวลา ไม่มีตัวตนที่แท้จริง การไม่เห็นความคิดนั้นเองคืออวิชชา ไม่มีอื่นอีก ถ้าเห็นความคิดด้วยสติก็เป็นวิชชา ถ้าไม่เห็นก็เท่ากับท่านประมาทและความประมาทก็เป็นหนทางแห่งความตาย จิตใจก็ง่ายที่จะตกใต้เงื้อมมือของ สิ่งที่ถูกเรียกว่ากิเลสตัณหา เพียงแค่ท่านต้องปล่อยจิตใจดำเนินไป ท่านก็จะรู้เอง แต่ทว่าท่านก็ยังคงมีวินัยคอยกำกับอยู่ เช่นการใช้ลมหายใจเข้าออก การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวสร้างจังหวะ สังเกตการยุบพองของท้อง การฝึกฝนการตระหนักรู้การเคลื่อนไหวของกายทุกๆๆท่วงท่าเพื่อที่ว่าเราจะได้ดำรงอยู่ปัจจุบันขณะ เป็นการตระหนักรู้อย่างแจ่มชัดในสิ่งที่เราเป็น...นี้คือกุณแจสู่สิ่งอันเป็นนิรันดร์ภาพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  2. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    12 ขั้นตอนในการตามรู้ซึ่งสัจธรรม

    ลักษณะหนทางแห่งความหมดจด ทางมีองค์แปด เป็นทางอันประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย.
    บทแห่งอริยสัจสี่ ประเสริฐกว่าบททั้งหลาย.
    วิราคธรรม ประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย.
    ผู้มีพุทธจักษุ ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหลาย.
    นี่แหละทางเพื่อความหมดจดแห่งทัสสนะ ทางอื่นมิได้มี.
    เธอทั้งหลาย จงเดินตามทางนั้น อันเป็นที่หลงแห่งมาร ;
    เธอทั้งหลาย เดิน ตามทางนั้นแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
    ทางเราบอกแล้วแก่เธอทั้งหลาย เพื่อการรู้จักการถอนซึ่งลูกศร;
    ความเพียรเป็น กิจอันเธอทั้งหลายพึงกระทำ
    ตถาคตทั้งหลายเป็นเพียงผู้บอก (วิธีแห่งการกระทำ).
    ผู้มุ่งปฏิบัติแล้วย่อมพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร.

    เมื่อใด บุคคลเหห็นด้วยปัญญาว่า "สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง";
    เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด.
    เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า "สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์":
    เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด.
    เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า "ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา";
    เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ : นั่นแหละเป็นทางแห่งความหมดจด.

    ลำดับการปฏิบัติเพื่ออรหัตตผล ภิกษุ ท.! เราย่อมไม่กล่าวการประสบความพอใจในอรหัตตผล
    ด้วยการกระทำอันดับแรกเพียงอันดับเดียว.
    ภิกษุ ท.! ก็แต่ว่า การประสบความพอใจใน อรหัตตผล ย่อมมีได้เพราะการศึกษาโดยลำดับ
    เพราะการกระทำโดยลำดับ เพราะ การปฏิบัติโดยลำดับ.
    ภิกษุ ท.! ก็การประสพความพอใจในอรหัตตผล ย่อมมีได้ เพราะการศึกษาโดยลำดับ
    เพระการกระทำโดยลำดับ

    เพราะการกระทำโดยลำดับ เพราะการปฏิบัติโดยลำดับ นั้นเป็นอย่างไรเล่า?
    ภิกษุ ท.! บุรุษบุคคลในกรณีนี้ :
    เป็นผู้มี สัทธา เกิดขึ้นแล้ว ย่อม เข้าไปหา(สัปบุรุษ) ;
    เมื่อเข้าไปหา ย่อม เข้าไปนั่งใกล้ ;
    เมื่อเข้าๆไปนั่งใกล้ ย่อม เงี่ยโสตลงสดับ ;
    ผู้เงี่ยโสตลงสดับ ย่อมได้ฟังธรรม ;
    ครั้นฟังแล้ว ย่อมทรงจำธรรมไว้,
    ย่อมใคร่ครวญพิจารณา ซึ่งเนื้อความแห่งธรรม ทั้งหลายที่ตนทรงจำไว้ ;
    เมื่อเขาใคร่ครวญพิจารณา ซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นอยู่, ธรรมทั้งหลายย่อมทน ต่อการเพ่งพิสูจน์;
    เมื่อธรรมทนต่อการเพ่งพิสูจน์มีอยู่ ฉันทะ(ความพอใจ)ย่อมเกิด;
    ผู้เกิดฉันทะแล้ว ย่อมมีอุตสาหะ;
    ครั้นมีอุตสาหะแล้ว ย่อม ใช้ดุลยพินิจ (เพื่อหาความจริง);
    ครั้นใช้ดุลยพินิจ(พบ)แล้ว ย่อมตั้งตนไว้ในธรรม นั้น;
    ผู้มีตนส่งไปแล้วในธรรมนั้นอยู่ ย่อมกระทำให้แจ้ง ซึ่งบรมสัจจ์ด้วยนามกาย ด้วย,
    ย่อมเห็นแจ้งแทงตลอด ซึ่งบรมสัจจ์นั้นด้วยปัญญา ด้วย

    -ม. ม. ๑๓/๒๓๓/๒๓๘

    Wunjun Group
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมทำทุกวัน ทำบ้างป่าวล่ะ ไม่สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าได้ไง คุณอโศก มีความสุขอยู่ทุกวันนี้ได้ก็เพราะพระองค์ไม่ใช่หรอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  4. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    มาแล้วๆวงจรของการเกิดแล้วก็ดับ มีกุญแจแล้ว ระวังกุญแจดอกผิดไขไม่ออกนะ
     
  5. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด...ต่างคนต่างรู้ ต่างเข้าใจ ในมิติที่แตกต่าง

    ลืมอะไรไปอย่างหนึ่งหรือไม่ ว่าแม้แต่..
    พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก ก็ต่างบรรลุธรรม ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน...

    พระพุทธเจ้า...ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองและมีบารมีจะสอนให้ผู้อื่นรู้ตามในการพ้นทุกข์ได้ด้วย

    พระปัจเจกพุทธเจ้า...บรรลุอรหันต์ได้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่สามารถสอนให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ตามได้ (อาจเป็นเพราะบรรลุธรรมแบบนอกตำรา แต่เข้าใจกฏแห่งไตรลักษณ์)

    พระอรหันตสาวก...ท่านจะบรรลุธรรมได้ ด้วยธรรมะของพระพุทธองค์ หากไม่มีพระพุทธองค์มาตรัสรู้ ก็ไม่อาจรู้ตามได้เลย ดังนั้น ความศรัทธาต่อพระพุทธองค์จึงมีมาก และท่านจำเป็นต้องศึกษาธรรม ตามที่พระพุทธองค์สอน เป็นขั้นเป็นตอน เป็นระบบระเบียบ ศึกษาแบบค่อยเป็นค่อยไป ตรงทาง ไม่ก้าวกระโดด

    แม้แต่ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้น ยังมีแนวทางการบรรลุที่แตกต่าง..
    แล้วเราทั้งหลายละ จะมีความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกันบ้างไม่ได้เชียวหรือ..
    ตัวท่านเองละ มั่นใจหรือ ว่าความปรารถนาเบื้องลึก ประกอบกับ การบำเพ็ญบารมีในชาติที่ผ่านๆ มาเป็นแบบไหน...
     
  6. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ชวนทุกๆคนก๊อบข้อความของคุณศรีรัชนีไว้ เพราะเดี๋ยวเขาก็จะไปละ
    เค้าเป็น Light worker ตามระบบตามหน้าที่ เข้าใจว่าเป็นญาติห่างๆของ......(^O^)

    ว่าแล้ว มีนัมก็ขอก๊อบล่ะนะ ชึ้บ ชึ้บ ชึ้บ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อี๋ โกมีนัม แบ ไต๋ จับเดียรถีย์บ้านเล็กไม่ได้ ..จะก๊อปไปทำหยั๋ง !!

    นี่เท่ากับ เอาเสียงอันหยาบของเราไปใส่ ลุงที่นั่งยิ้ม จับมือนางฟ้าเลยนะนี่

    ทั้งๆที่ กล้วย หักมุข เผาสุขกินดี เขายืนส่งเสียงอยู่ตรงช่องประตู หงายเงิ๊บ !!
     
  8. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ได้รวมมาทั้งหมด 30 หน้าเวิร์ด แน่ะ
     
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    Light worker5555++++ไม่มีคำอะไรดีเท่ากับคำว่าสัพเพธรรมาอนัตตาจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............แหม น้า ความจำยังดีอยู่....ในอริยสัจสี....ทุกข์อริยะสัจ ควรกำหนดรู้......สังขารทั้งหลายเป้นทุกข์อริยสัจควรกำหนดรู้.(สัญญา เวทนา รูป วิญญาน)...ตัณหาหรือความเพลินพอใจ ไม่พอใจในทุกข์อริยะสัจนั้นเป็นทุกข์สมุทัยอันควรละ...นิโรธจึงแจ้งให้เห็น..และพร้อมกันนั้นมรรคอันมีสัมมาทิฎฐินำหน้าก็ปรากฎให้เจริญ...ถ้าใครใครเขาเจริญมรรคได้มองเห้นมรรคปรากฎ...แม้แต่ตัว น้าเอง ก็ ควรช่วย ช่วยกัน มากกว่า นะ ครับ...อีทีนี้ สัมมาทิฎฐิ ที่ยังแหว่งแหว่ง วิ่นวิ่น ก็ ต้องอาสัย สติ หรือ สมถะและวิปัสนา คอยกำกับอยู่ หรือ เจริญอยู่ตลอดไปแหละครับ....สติปัฎฐานสี่ นั้น พระท่านยังเจริญอยู่ แหละครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ " ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ใหม่บวชแล้วไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรม วินัยนี้ ภิกษุเหล่านั้น อันเธอทั้งหลายพึงชักชวน พึงให้เข้าอยู่ พึงให้ตั้งมั่นในการเจริญซึ่งสติปัฎฐานสี่ สี่อย่างไรเล่า ........มาเถืด ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จงเป็นผู้มีปรกติตามเห็นกายในกาย อยู่เถิด เป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ ให้สมาธิ เป้นธรรมอันเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น เป็นจิตมีอารมณ์อันเดียว เพื่อรู้ตามเป็นจริงซึ่งกาย(ในกรรีแห่งเวทนา จิต และธรรม ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกัน)
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด เป็นเสขะ มีความประสงค์แห่งใจอันยังไม่บรรลุแล้ว ปรารถนาอยู่ซึ่งธรรมอันเกษมจากโยคะไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อยู่ ถึงแม้ภิกษุเหล่านั้น ก็ยังจะเป็นผู้มีปรกติตามเห้นกายในกายอยู่เป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ ให้สมาธิเป็นเอกผุดมีขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น เป็นจิตมีอารมณ์อันเดียว เพื่อรอบรู้ซึ่งกาย(ในกรรีแห่ง เวทนา จิต และธรรมก้มีข้อความตรัสอย่าเดียวกัน)
     
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ---ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด เป็นอรหันต์ขีณาสพอยู่จบพรห์มจรรยื มีกิจที่ควรทำกระทำเสร็จแล้ว มีภาระปลงแล้ว มีประโยชน์แห่งตนอันตามบรรลุแล้ว มีสัญโญชน์ในภพสิ้นรอบไปแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ถึงแม้ภิกษุเหล่านั้น ก็ ยังจะเป้นผู้มีปรกติตามเห้นกายในกายอยู่ เป็นผู้อยู่อย่างมีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ ให้สมาธิเป้นธรรมเอกผุดมีขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น เป็นจิตมีอารมณ์อันเดียว ผู้ไม่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยกาย(ในกรณีแห่งเวทนา จิต และ ธรรม ก็มีข้อความตรัสไว้อย่าง้เดียวกัน----มหาวาร.สํ.19/194-195/691-694.............ปล. ข้อสังเกตุ สำหรับผู้ศึกษาอยู่จะใช้คำว่า เพื่อรอบรู้ซึ่งกาย เวทนา จิต ธรรม แต่สำหรับพระอรหันตืขึณาสพ ใช้คำว่า ผู้ไม่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม!!!
     
  14. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    เก็บไว้เป็นหลักฐาน อย่าลืม ID ด้วยหละ อิอิอิ
     
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .......ความเชื่อมโยงหรือสังสารวัฎที่น้าว่า มานั้น มันก็เป็นทฎษฎีโลกสวย อยู่...แต่นั้นแหละ มันคือเค้าเงื่อนของอวิชชา.....พุทธ เรา รู้ว่าการพอใจไม่พอใจด้วยอำนาจความเพลิน นั่นแหละ อุปาทาน......คือเค้าเงื่อนหรือเหตุแห่งทุกข์.....ในมหาสติปัฎฐานสี่นั้น เมื่อเราเจริญ เราก็ รู้เท่าทัน ในข้อต่อของ ปฎิจสมุปบาท ตั้งแต่ เรื่องของ ผัสสะ นาม รูป เรู้เรื่องของ สังขาร จิตสังขาร....พุทธเรามี "ทาง" ครับ...ชัดเจน ไม่ฟุ้ง..
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........น้า พจ แกชอบชงกาแฟ ดำร้อนใส่กระติกไปนั่ง จิบ ชิล ชิลในสวนสาธารณะ ดู นกเป็ดน้ำ คนเดียว....แกไม่น่า ไป คบกับ ไล้เวิกเก้อ..นะครับ...
     
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    น้า พจ เป็นใครกันบอกผมบ้างซิ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเลย อิอิ มึนตึบเลย!
     
  18. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ..อ่านแล้ว..ผมว่าคุณเพี้ยนแล้ว..คุณเป็นพุทธรึปล่าว ..เอาสมมุติตื้นๆ ภาษาทางโลก มาเทียบเคียงคำสอนทางพุทธแล้วมาอ้างเป็น ปรัชญา ปรัชญาชั้นต่ำ..ขอยืนยัน ชั้นต่ำจริงๆ ..พูดมาได้ การปรุงแต่ง กับสภาวะ เหมือนกัน ..เผินๆนะใช่ลึกๆคนละเรื่อง หยาบกับละเอียดจะเหมือนกันได้ยังไง น่าสงสารนะคุณนี่ เสียดายน้ำลาย ..:cool:
     
  19. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ไปอยู่ไหนมาครับ มาทีนักกว่าลูกถีบหลวงพ่อชาอีก55555++++++สับสนนะสับสน
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    นายชี ..อะไรนี่ เอาคำสอน มาแอบอ้างเจือปนหลักการของตนเอง..ยกคำสอนทางพุทธ มาวิจารณ์แล้วออกทะเลไป..คนนี้ไม่ใช่พุทธแน่ครับ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...