ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    สำหรับข้าพเจ้าสัทธรรม ไม่ใช่เรื่องใกล้หรือไกล ข้าพเจ้าจะกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่ใกล้หรือไกลได้อย่างไร? ในเมื่อสัทธรรมนั้นดำรงอยู่ทุกๆๆที่ แม้แต่ในตัวท่านหรือ ข้าพเจ้าเอง แล้วท่านจะพูดว่า ข้าพเจ้านั้นใกล้หรือไกล จากพระสัทธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกันกับตัวข้าพเจ้าอยู่แล้วได้อย่างไร?

    มันไกลสำหรับคนที่ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงมัน และมันก็ใกล้สำหรับคนที่ได้ตระหนักรู้ถึงมัน มันมิได้แตกต่างกันหรอก

    ท่านกล่าวว่า สติคือก้าวแรกในการเข้าถึงสภาวะธรรมแต่ข้าพเจ้ากล่าวว่า มันยังเป็นก้าวสุดท้ายในการเข้าถึงสภาวะธรรมด้วย เพราะก้าวแรกกับก้าวสุดท้ายก็ไม่ได้แตกต่างกันมันคือหนึ่งเดียวกัน เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดอันสมบรูณ์พร้อมในตัวมันเอง แต่ท่านไม่เคยตระหนักรู้ถึงมัน ก็เท่านั้น เพราะความสนใจของท่านมัวแต่ล่องลอยไปกับเป้าหมายบางอย่างที่เป็นภาพจางๆๆในอนาคตของท่านเท่านั้น ดั้งนั้น ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด สำหรับท่านจึ่งเป็นสิ่งที่แยกขาดจากกัน ท่านไม่อาจจะพึ่งพอใจในขณะนี้ตรงนี้เดียวนี้ได้เลย และปล่อยให้ทุกๆๆการกระทำของท่านไม่ว่าจะเดิน จะกิน จะนอน ได้เป็นรางวัลในตัวมันเอง ท่านช่างหมกมุ่นอยู่แต่กับผลประโยชน์ และเป้าหมาย ที่ความคิดบอกท่านว่ามันจะมาถึงเมื่อท่านทำเช่นนี้เช่นนั้นในขณะนี้ เสียจริง!

    ความคิดที่ว่า ธรรมเป็นสภาวะบางอย่างที่อยู่ภายนอกตัวท่าน นั้นแหละที่ทำให้ท่านไม่เคยมองเห็นว่า ธรรมก็อยู่ใต้จมูกของท่านด้วย ดังนั้นความคิดที่ว่าเข้าถึงสภาวะธรรมนั้นใช้ไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวไปแล้วว่าสัทธรรมดำรงอยู่ในทุกๆๆที่ จึ่งควรพูดเสียใหม่ว่าสติเป็นก้าวแรกและก้าวสุดท้ายที่จะช่วยให้ได้ตระหนักรู้ถึงสัทธรรม อันที่จริงปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าท่านหรือใครไม่เคยแสวงหาสัทธรรม แต่มันอยู่ที่ว่า บางทีท่านนั้นแหละที่ดิ้นรนแสวงหามันมากเกินไป แล้วท่านก็พลาด เพราะตราบใดที่มีการแสวงหาท่านก็เพียงแต่มุ่งไปที่จุดหมายอะไรบางอย่างที่อยู่ในอนาคต ที่ท่านคิดว่าท่านจะบรรลุถึง จนหลงลืมไปว่ามีแต่ขณะนี้ที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้นที่ท่านมีชีวิตอยู่จริง อนาคตไม่เคยมีอยู่จริง เพราะเมื่ออนาคตมาถึง มันก็กลายมาเป็นปัจจุบันขณะไปเสียแล้ว....

    อุดมคติหมายถึงจุดใดจุดหนึ่งในอนาคต หมายถึงวันข้างหน้า อาจจะในชีวิตนี้หรือในชีวิตหน้า ท่านอาจจะได้เป็นเศรษฐีพันล้าน เป็นเทวดาที่มีนางฟ้าหลายพันคนเป็นฮาเร็มส่วนตัว พระอรหันต์ ที่ในขณะนี้ท่านคือ ยาจก คือมนุษย์ทึ่มๆๆ คือปุถุชน เป็นเรื่องเฟ้อฝัน ว่าท่านจะเปลี่ยนแปลงท่านจะเป็นคนใหม่ได้ มันทำให้ท่านมีความหวังตลอดเวลา มันทำให้ท่านเชื่อว่าพรุ่งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อย พรุ่งนี้ท่านจะได้เป็นในแบบที่ท่านควรจะเป็น เพียงแต่ท่านต้องยอมทนกับวันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะดีขึ้น และท่านก็จะได้ทำเป็นไม่สนใจ ลืมๆๆมันไปซะ ไม่เก็บบันทึกไว้ ทำเป็นไม่เห็นมัน รอคอยของจริงที่กำลังจะมาในวันพรุ่งนี้

    แต่วันพรุ่งนี้ไม่มีจริง ทุกๆ สิ่งมีแต่วันนี้ . . . เป็นวันนี้ตลอดเวลา ...ดั้งนั้นจงใช้ชีวิตให้เต็มเปลี่ยมในวันนี้ขณะนี้ และเป็นตัวเองอย่างแท้จริง เป็นเนื้อแท้ ข้าพเจ้าพูดให้ท่านเป็นของจริง

    ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งหรือไม่ กาลครั้งหนึ่งมีสิงโตหนุ่มติ๊งต๊องส์ ที่เผอิญเติบโตอยู่ท่ามกลางฝูงแกะ มันจึ่งคิดว่ามันเป็นแกะ มันเล็มหญ้า ประดุจดังมันเป็นแกะจริงๆๆและมันก็ร้องเสียงเหมือนแกะอย่างกลมกลืน ไม่มีแกะตัวใดกลัวมัน เพราะแกะทุกตัวรู้ว่า
    สิงโตหนุ่มติ๊งต๊องส์ คิดว่าตัวเองเป็นแกะ ดังนั้นจึ่งไม่มีวันล่าพวกมันอย่างเด็จขาด และแล้วเมื่อสิงโตเฒ่ามาพบสิงโตหนุ่มติ๊งต๊องส์ มันก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก มันจึ่งออกอุบายที่จะช่วยให้สิงโตหนุ่มติ๊งต๊องส์ รู้ว่ามันก็เป็นสิงโต มันวิ่งตรงเข้าไปจับสิงโตหนุ่มติ๊งต๊องส์ที่สั่นกลัวสิงโตเหมือนแกะ แล้วมันได้ลากเอาสิงโตหนุ่มติ๊งต๊องส์ไปที่แม่น้ำ ในขณะที่สิงโตหนุ่มติ๊งต๊องส์
    ร้องด้วยความหวาดกลัว ได้โปรดเถอะท่านข้าเป็นเพียงแกะที่น่าสงสาร

    สิงโตเฒ่าได้โยนมันลงไปที่แม่น้ำและบังคับให้มันลืมตาดูเงาของมันในน้ำ ทันใดนั้นเองสิงโตหนุ่มติ๊งต๊องส์
    ก็คำรามลั่นป่า เพราะมันรู้ว่ามันไม่ใช่แกะจริงๆๆ มันเป็นสิงโต

    คนเราส่วนใหญ่ก็เหมือนสิงโตติงต๊องส์ตัวนี้นั้นแหละ ความเป็นสิงโต ก็คือ การทีเขาเหล่านั้นเป็นเนื้อเดียวกันกับสัทธรรมอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านมองไม่เห็นความจริงนี้เท่านั้น และสิงโตเฒ่า ก็คือผู้รู้ทางจิตวิญญาณทั้งหลาย เช่น พระพุทธเจ้า ที่พยายามจะปลุกท่านให้ตื่นแต่ดูเหมือว่า ความพยายามของท่านเหล่านี้ช่างสูญเปล่าเสียจริง ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามีความสำเร็จเท่าไหร่เลย

    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตำนานเล่าว่า พระองค์ทรงอุทานว่า "น่าแปลกใจจริงหนอสรรพสัตว์เป็นหนึ่งเดียวกับพุทธอยู่แล้ว แต่กลับไม่รู้ตัวและด้วยเหตุนี้จึ่งได้เวียนว่ายตายเกิดภพแล้วภพเล่า"............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2013
  2. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    นอกจากหลักการทำบุญที่คุณยกมาแล้วการทำจิตนั้นจะต้องเป็นไปเพื่ออะไร คุณรู้มั้ยว่าเป็นอย่างไร การทำทานที่ไ่ม่หวังในผลในทานนั้นทำเพื่อปรุงแต่งจิตเพื่อละความตระหนี่ และถาไม่หวังผลใหญ่ การทำทานถึงทำกับใครอย่างไรก็ได้ เพราะไม่ได้หวังผลใดๆ
     
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ดูและอ่านไป..ผมรู้สึกว่า ท่านnew และ ท่าน อินทร์บตร รวมทั้งผมด้วย..ต่างก็ปฏิบัติมาในหลักการเดียวกันแน่นอน..
    ผมขอยืนยันว่า..แนวทางเดียวกันหมดเลย แต่อธิบายสภาวะมาเป็นตัวหนังสือต่างกัน ความเข้าใจในสภาวะธรรม ที่อธิบายออกมาต่างกัน..แต่ปฏิบัติมาแนวทางเดียวกันแน่นอน
    ..ผมเข้าใจละครับ คุยกันแค่ บันเทิงคดี สาธุ:'(
     
  4. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ถ้าท่านกล่าวเช่นนี้ พระองค์เขาถึงบรมสัจจะนี้ด้วยกายและปัญญา ท่านกำลังเล่นอยู่กับเชาว์ปัญญาซึ่งยังห่างพระสัทธรรมโดยแน่แท้เป็นเพียงคำสละสลวยชวนฟัง แต่ยังก่อน สติเป็นเพียงก้าวแรกที่จะต้องทำความเขาใจให้ได้ก่อน แล้วสติก็เป็นสิ่งประครองทุกอย่างจนเกิดปัญญาสูงสุดเมื่อนั้นสติก็หมดค่าลง

    การตั้งอยู่ในอรหัตตผล
    [๒๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตตผล ด้วยการไปครั้งแรก
    เท่านั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำ
    โดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตั้งอยู่ ในอรหัตตผล ย่อมมีได้
    ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับอย่างไร? ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย กุลบุตรในธรรมวินัยนี้ เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้
    เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลง เมื่อเงี่ยโสตลงแล้วย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมย่อมทรงธรรมไว้ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทน
    ได้ซึ่งความพินิจ เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด เมื่อเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ
    ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความเพียร เมื่อมีตนส่งไปแล้ว
    ย่อมทำให้แจ้งชัดซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอดเห็นแจ้งบรมสัจจะนั้นด้วยปัญญา.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงก็ดี การฟังธรรม
    ก็ดี ความพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดี
    การไตร่ตรองก็ดี การตั้งความเพียรก็ดี นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว เธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด
    ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ ไกลเพียงไร
     
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ที่ยกมานั้น..มันอยู่ในขั้น สภาวะจิต สภาวะธรรม ที่เกิดกับจิต เรื่องนี้ อจินไตย(k)
     
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ไม่ใช่อจินตเลย โสดาบันเท่านั้นที่จะวางจิตได้แบบนี้ เพราะโสดาบันนั้นอยู่เหนือความต้องการผลที่ใหญ่เพราะเทพนิกายที่เป็นส่วนของผลนั้นต่ำกว่าโสดาบันแล้ว โสดาบันจึงต้องการอนิสงส์เพื่อขัดเกลากิเลสต่อไปเพื่อความเป็นอริยขั้นสูงต่อไป
     
  7. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    เด็ก 2 ขวบ อาจเรียก " พ่อ แม่ "ไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่า ไม่รู้จัก...
    คำนิยามสำคัญไฉน?
    ปิดตา แล้ว กินข้าว... ไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้ว่า กินข้าวกับแกงอะไร..
    แต่ ลิ้น ก็ได้รับรสชาด ของอาหารนั้นไปแล้ว...
    รู้จัก หรือ ไม่รู้จัก ก็เลย ไม่ใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด...
     
  8. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ความรู้ของสาวกนั้นจะต้องเกิดจากการฟังหรือการอ่านก่อนพุทธปัญญานั้นย่อมเกิดเองไม่ได้ในสมัยกาลที่พระสัทธรรมยังตั้งอยู่ เอาไปสมมุติกับเรื่องความรู้ด้านอื่นไม่ได้
     
  9. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    ข้าพเจ้าสงสัยเล็กน้อยว่า ท่านยกพระสุตรขึ้นมาเพื่ออะไร ? เพื่อสนับสนุนความคิดของท่านใช่หรือไม่ แล้วทำไมท่านจึ่งต้องพูดถึงคนอื่น อย่างเช่น"พระองค์เข้าถึงบรมสัจจะนี้ด้วยกายและปัญญา" ทำไมต้องยกคนอื่นขึ้นมาในการสนทนาระหว่างเรา ทำไมไม่สื่อสารกันตรงๆๆระหว่างท่านกับข้าพเจ้าล่ะ.....ทำไมเราไม่มานั่งคุยกันโดยผ่านของจริงสิ่งแท้ที่เรามี ข้าพเจ้าอยากเห็นท่านในแบบที่ท่านเป็น

    ท่านรู้ได้อย่างไรว่า พระองค์ที่ว่านี้ได้เข้าถึงบรมสัจจะด้วยการทุ่มเททั้งกายและสติปัญญาทั้งหมด

    ท่านเป็นพระองค์ที่ท่านอ้างหรือ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ท่านคงหมายถึงพระพุทธเจ้ากระมั้ง แต่ท่านคือพระพุทธเจ้าองค์นั้นที่ท่านกล่าวถึงหรือ? ประสบการณ์นั้นเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่หรือ

    เมื่อข้าพเจ้าลิ้มรสชาชั้นดี ข้าพเจ้าไม่อาจจะบอกรสชาตินั้นให้ท่านได้ ถ้อยคำนั้นไม่มีความหมาย เพราะรสสัมผัสที่ข้าพเจ้าลิ้มรสนั้นเป็นของจริงและท่านก็ไม่มีวันรับรู้ความรู้สึกนั้นเพราะท่านไม่ใช่ข้าพเจ้า และท่านไม่ได้ดื่มมันจากถ้วยเดียวกันกับข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าแปลกใจเสียจริงที่ท่านพูดราวกับว่าท่านรู้ดี พระพุทธเจ้าบรรลุบรมสัจจะจริงและเข้าถึงบรมสัจจะด้วยการทุ่มเททั้งกายและสติปัญญาทั้งหมด ท่านมีประสบการณ์เดียวกันนี้เหล่าหรือ ข้าพเจ้ามิได้พูดว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุบรมสัจจะจริง
    แต่ข้าพเจ้าตั้งข้อสงสัยกับคำพูดของท่าน ว่าท่านรู้จริงหรือเพราะมีคนบอกท่านมาเช่นนั้น และท่านก็ทึกทักเอาว่าจริงท่านรู้จริง ทั้งๆๆที่ท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้าและท่านก็ยอมรับว่าท่านไม่ได้บรรลุธรรมเหมือนพระองค์ อย่างคำว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ท่านรู้กันแล้วหรือว่า นิพพานเป็นอย่างไร แต่ท่านก็ดูเหมือนจะพูดกันแบบไม่เคยสงสัยในความไม่รู้ที่อ้างว่ารู้ของท่านเลย ท่านไม่คิดว่ามันเหลวไหลบ้างหรือ.......

    สิ่งนี้ก็เช่นเดียวกันกับที่ท่านมานั่งพูดว่า ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าเข้าถึงธรรมแล้วหรือไม่ท่านเข้าถึงธรรมนั้นแล้วหรือท่านถึงรู้ว่าข้าพเจ้ายังไม่ได้ลิ้มรสสัจจะจริง แล้วท่านคือข้าพเจ้าหรือ ท่านถึงรู้แทนข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าบรรลุอมตภาวะนั้นหรือไม่

    ท่านไม่ว่ามันดูตลกดีหรือ? ทำไมท่านถึงต้องยกพระสูตร ทำไมถึงต้องหยิบยืมคำพูดซ้ำๆๆในคัมภีร์ ในโวหารในทฤษฏีความคิดอะไรก็ตามที่ท่านมักเชื่อฝังหัวขึ้นมาอ้าง ก็เพราะท่านรู้ว่าตัวท่านนั้นกลวงโบ๋ ท่านรู้ดีว่าท่านไม่มีอะไรเลยที่เป็นแก่นแท้สาระในตัวท่าน ท่านจึ่งไม่มีอะไรที่จะแสดงมันออกมา ท่านไม่มีแม้แต่ความั่นใจที่จะยืนยันในสิ่งที่ท่านเชื่อ ท่านจึ่งต้องหยิบยืมสิ่งเหล่านี้เพื่อ อำพรางตน ว่าท่านนั้นกลวงโบ๋ ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย ท่านไม่รู้อะไรจริงที่มากไปกว่าถ้อยคำ ความเชื่อ ความคิด กรอบเดิมๆๆ ที่ท่านมี ดั้งนั้นท่านจึ่งต้องอำพรางความไม่รู้ของท่านใช่หรือไม่ เพราะการที่คนอื่นรู้ว่าท่านไม่รู้มันทำให้ท่านดูทึ่ม และ แสนเจ็บปวด....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2013
  10. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    แล้วต้องอ่านตำรา ทุกเล่ม เลยหรือ ถึงจะเข้าใจ...
    ....และอย่าสร้างเงื่อนไขในการปฏิบัติเพื่อผูกมัดตนเอง...
    .....อย่ากีดกัน ว่าเราไม่ใช่ สาวก....
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..............เดี๋ยวนี้ ขยันพิมพ์นะครับ สงสัย ช่วงนี้ "ฟิต".....ท่าน นิว จะบอกว่า ตนเอง เจอ" สภาวะธรรม" เสพอารมณ์ คล้ายคล้าย "วิมุติสุข" อยู่ บ้างใช่ใหม?.....เอ่อ ถ้า ยังไม่ใช่วิมุติสุข ก็เอาแค่ "อุเบกขา"ก็พอ....สภาวะธรรมนี้ คุณยืนยันว่า คุณ มีสุขมากมาย ลัลล้า ล้ลลา เหมือนเดินอยู่บนเนินเขา.....อันเกิดจากมีปัญญารือญานสัมปยุต น้อยน้อย ใช่ใหม? ถึงได้กล่าว ถึง สภาะของ รู้ เสพด้วย "นามกาย" จะยืนยันถึงความสุขนั้นใช่ใหมครับ? ถึงได้แย้งท่านข้างบน..
     
  12. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านบอกว่าปิดตาแล้วกินแกงก็รู้ได้ เปรียบเทียบว่าปฎิบัติโดยไม่ต้องรู้อะไรเดี๋ยวก็รู้เอง ใครจะไปปิดกั้นใครได้บอกให้รู้พุทธปัญญาเราจะเกิดขึ้นได้จากการฟังและการอ่านครับ แล้วจึงน้อมนำไปปฎิบัติจนเกิดภาวนาปัญญาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2013
  13. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ทำไมผมถึงบอกว่าท่านเพียงขั้นเชาว์ปัญญาเพราะท่านไม่มีขั้นตอนการปฎบัติตามตำราเลย ผมเองปฎบัติจนกลับมาทวนตำราแล้วตรงตามนั้น ความหลุดพ้นทางความคิดนั้นสื่อถ่ายทอดไปก็ไม่เกิดผลไม่เกิดประโยชน์กับคนฟัง เพราะผิดหลักพระศาสดากล่าวไว้พระศาสดาให้ถ่ายทอดตามๆกันมาตามพุทธวจนที่พระองค์แสดงไว้ในเรื่องหลักปฎิบัติสติปัฎฐานสี่ ถ้าท่านมีความรู้จริงช่วยบอกการปฎิบัติครับ ไม่ใช่มากล่าวปรัชญาน่าเวียนหัว เรื่องสิงห์โตอะไรนะครับ เอาหลักปฎิบัติของท่านทำอย่างไรที่จะเข้าสู่สภาวะธรรมที่แท้จริงได้ มันน่าจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ฟังนะครับ
     
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    สภาวะนี้คุณเข้าได้บ่อยมั้ย
     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมแย้งเพราะผมเห็นอะไรในถ้อยคำที่เป็นเพียงเชาว์ปัญญา ธรรมะอยู่แค่ปลายจมูกครับ
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    น่าสนใจครับ ตระหนักรู้ในภาวะปัจจุบัน ดูที่ผัสสะกระทบระลึกทันเวทนาได้ ดับตรงนั้นเป็น บางที่ออกมาบอกเล่าไม่ได้ หากแต่รสสามารถระลึกได้ ทำซ้ำได้
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    newamazing จะบอกว่าหลวงปู่ดูลย์โง่ใช่ไหมครับ?

    http://www.nkgen.com/Jalernjit.htm
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อูย จะเป็นพระอริยเจ้า มันยังจะลากตัวตนไปเป็นเสียอีก

    เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ สภาวะของพระอริยเจ้า คือสภาวะที่หลงเหลืออยู่ของการยึดติดอุปาทานขันธ์ ซึ่งมีแต่จะหดหายลงไปเรื่อยๆ ไม่มีเพิ่มขึ้น

    ไม่ใช่การมีอุปาทานขันธ์อยู่เต็มๆ แล้วจะไปเปลี่ยนนิสัยของขันธ์
     
  19. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    ประเด็นสำคัญอยู่ที่ "ความดับทุกข์"
    ไม่ใช่ เป็น "ผู้มีปัญญา"
    ไม่จำเป็นต้องรู้ต้องเข้าใจทุกอย่าง (เว้นซะจากปรารถนาพุทธภูมิ)...
    ....แค่ดับทุกข์ได้ ก็เพียงพอแล้ว
     
  20. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    สำหรับผู้ปฏิบัติบางทีก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไปยินดีกับความรู้ครับ ทีนี้พอนำความรู้มาใช้โดยไม่แยบคาย(ไม่รู้อริยสัจจ)ก็จะยึดความรู้เป็นตัวตนแล้วแสวงหาความรู้เพิ่มขึ้นๆ จนห่างจากทางสายหลักได้
    ทีนี้คงเป็นจุดสำคัญที่จะต้องกลับมาให้รู้ทุกข์ได้อีกครั้ง นั่นก็ต้องเห็นความรู้นั้น เป็นอนิจจัง อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนอีกเช่นกัน จึงจะกลับเข้าสู่การดำเนินมรรคต่อๆไป
    ในส่วนของการตบแต่งมรรคให้เข้าสู่สัมมาทิฏฐิโดยแท้จริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...