ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    เหตุใด ข้าพเจ้าจึ่งจำเป็นต้องปฏิบัติตามตำรา ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับตำราทางจิตวิญญาณทุกเล่มที่มีในโลก ท่านเคยมองเข้าไปในภายในตัวท่านเองหรือไม่? ในนั้นท่านไม่เห็นหรือว่า ในนั้นมีสิ่งที่สดใหม่กว่า จริงแท้เสียยิ่งกว่า ที่จะมีตำราเล่มไหนในโลกเคยพูดไว้....เป็นตำราที่จริงแท้ยิ่งกว่าตำราเล่มไหนๆๆ และมันมีชีวิต

    ถูกล่ะ ตำรามากมายอาจจะพูดเกี่ยวกับ สัจจะที่อยู่ภายในตัวท่าน แต่ทว่ามันก็เป็นเพียงถ้อยคำ.....เกี่ยวกับสิ่งๆๆนั้น เป็นสำเนาจางๆๆ ของสัจจะที่อยู่ภายในตัวท่าน เปรียบเสมือนเมนูไม่ใช่อาหาร ถ้าท่านหิวท่านก็คงจะกินอาหารที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่นั่งกัดแทะเล็มเมนู.......เมื่อท่านได้ลิ้มรสรสชาติของอาหารในเมนู รายชื่ออาหารและคำอธิบายเกี่ยวกับอาหารนั้นก็คงไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีก

    ท่านเคยสังเกตดูหรือไม่ว่า ไม่ว่าท่านจะพูดสิ่งที่เป็นจริงออกมาแค่ไหน ไม่ว่าท่านจะเขียนสิ่งนั้นออกมาได้ดีแค่ไหน มันก็ยังไม่ได้ครอบคุมแม้เสี้ยวธุลี ของประสบการณ์นั้นอยู่ดี.... เพราัะเมื่อท่านพูดถึงประสบการณ์นั้น ท่านจำเป็นต้องอาศัยความคิด เพราะถ้าท่านไม่ใช่ความคิดท่านก็ไม่อาจจะพร่ำพรู ถ้อยคำออกมาได้ แต่ความคิดนั้นมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากความจำ ซึ่งความจำนั้นก็มาจากประสบการณ์ในอดีตของท่านอีกที ซึ่งประสบการณ์นั้นได้จบลงไปแล้ว

    ในขณะที่สิ่งใหม่ๆๆได้อุบัติขึ้น แต่ท่านกลับหมกหมุ่นอยู่แต่กับสิ่งเก่าๆๆเช่นนั้นหรือ? คัมภีร์จะมีประโยชน์อะไร ถ้ามันไม่ได้ชี้ตรงไปที่ข้างในตัวท่านเอง ถ้ามันไม่ได้ช่วยให้ท่านได้มองเห็นตัวท่านเองอย่างที่ท่านเป็น.... ลองสังเกตดูสิ คัมภีร์บางเล่มที่เก่าแก่มากๆๆ ที่เรามักบูชากัน ข้าพเจ้าใคร่ถามว่า ท่านเคยสังเกตไหมว่า คนที่เขียนได้ลงหลุมไปหมดแล้ว และนำพาเอาสิ่งที่เขารู้ลงหลุมไปด้วย เพราะ การรู้ย่อมเป็นเรื่องเฉพาะตัว เมื่อข้าพเจ้ารู้เรื่องการขับรถ ข้าพเจ้าไม่สามารถมอบสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ให้ท่านไำด้ ข้าพเจ้าอาจจะแนะนำให้ท่านได้ แต่นั้นก็ยังไม่ช่วยให้ท่านสามารถขับขี่มันได้ ถ้าท่านไม่ลองที่จับพวงมาลัย ขับเคลื่อนรถด้วยตัวท่านเอง....ถ้่าท่านไม่รู้ด้วยตัวท่านเอง ท่านกล่าวว่า "ถ้าท่านมีความรู้จริงช่วยบอกการปฎิบัติครับ" เพราะ ท่านไม่ต้องการทฤษฏีหรือหลักปรัชญา แต่ท่านเข้าใจในคำถามของท่านหรือไม่ ท่านถามความรู้เรื่องการปฏิบัติ จากข้าพเจ้าอาจจะรวมไปถึงวิธีปฏิบัติ แต่เมื่อข้าพเจ้าเขลาพอที่จะพูดถึงมัน ข้าพเจ้าได้ทำให้มันกลายมาเป็นฤษฏีหรือหลักปรัชญา แนวความคิด อะไรก็ตามที่ท่านกล่าวว่าน่าเวียนหัว มิใช่หรือ? ก็ท่านไม่สนใจมันมิใช่หรือแล้วท่านถามถึงมันไปเพื่ออะไร ? ในเมื่อการรู้ย่อมเป็นเรื่องเฉพาะตัว และประสบการณ์ในสิ่งที่รู้เป็นเรื่องของปัจจุบันขณะที่ไพศาลเกินกว่าที่จะจับเข้ากรอบความคิด ทฤษฏีหรือใช้ถ้อยคำใดๆๆซึ่งยังตกอยู่ในข่ายของกาลเวลา ประสบการ์เก่าค้างคืน แล้วข้าพเจ้าจะบอกการปฎิบัติของข้าพเจ้าให้ท่านได้อย่างไร?

    จงอย่าได้เข้าใจผิดเรื่องปรัชญา อันที่จริงข้าพเจ้าไม่มีสิ่งนั้น.....ข้าพเจ้าไม่มีปรัชญาใดๆๆจะให้ท่านหรือใคร ไม่มีแม้แต่ความคิดล่วงหน้า ความรู้ว่าจะพูดอะไรดี ไม่มีแม้แต่พุทธปรัชญา และ อะไรที่ผลุดขึ้นมาในใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็แค่แสดงมันออกมา และนี่แหละ คือเชาว์ปัญญา อันที่จริง สิ่งที่ข้าพเจ้ามีให้ท่านเป็นเพียงการทำลายสิ่งที่กีดขวาง ระหว่างท่านและความเข้าใจอย่างแท้จริงในตัวท่านเอง
    และช่วยให้ท่านได้เอาทุกๆๆอย่างที่ท่านแบกเอาไว้ เพื่อที่ท่านจะได้รู้สึกเบาสบายขึ้นและสามารถเพลิดเพลินได้กับชีวิตของท่านเอง แล้วข้าพเจ้าจะทำให้ท่านเวียนหัวได้อย่างไร? ไม่ใช่ตัวท่านเองนะหรือที่ทำให้เรื่องมันซับซ้อนขึ้น ทั้งๆๆที่ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องที่แสนง่ายดาย.......และ หากท่านคิดว่าท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด หรือกระทั่งระแวงสงสัยในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดรวมถึงเจตนา ก็เป็นการดีแล้วที่ท่านจะคงไว้ซึ่งความไม่เข้าใจความระแวงสงสัยในเจตนาของข้าพเจ้าไว้อย่างนั้น เพราะอย่างน้อยความรู้สึกนี้ของท่านก็ยังเป็นของจริง ...... อันที่จริง ถ้าในโลกนี้ทุกๆๆสิ่งสามารถเข้าใจได้ โลกก็คงจะมีแต่วิทยาศาสตร์ ไม่มีที่ให้กับสิ่งที่ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ เช่น ความงาม ความรัก

    ท่านพูดถึงเรื่องเชาว์ปัญญา ข้าพเจ้าสงสัยว่าท่านเข้าใจในความหมายของคำๆๆนี้หรือไม่ เชาว์ปัญญานั้นเป็นสิ่งที่สดใหม่อย่างยิ่ง เป็นเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์และตอบสนองกับสิ่งต่างๆๆอย่างฉับพลันและทันท่วงที เพราะสัจจะนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต มันเป็นสิ่งที่ไหลเลื่อนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าท่านไม่เรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์และตอบสนองกับสัจจะอย่างทันฉับพลันและท่วงที ท่านก็จะพลาดจากมันไป.....ยกตัวอย่างความรัก ความรักคือด้านหนึ่งของสัจจะ เพราะที่ใดที่มีความรักที่นั้นย่อมมีกลิ่นหอมของสัจจะ อัตตาตัวตนของท่านย่อมไม่อาจจะดำรงอยู่ได้ในท่ามกลางความรัก และ ที่ใดที่อัตตาตัวตนไม่อาจจะดำรงอยู่ได้ที่นั้นย่อมมีสัจจะ มีอิสรภาพ แน่นอนว่าข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงความรักในแบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ น่าเสียดายที่คำๆๆนี้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด...จนข้าพเจ้าไม่อยากจะใช้มัน ท่านสังเกตหรือไม่ว่า เมื่อท่านรัก ท่านก็แค่รัก ท่านแค่มีปฏิสัมพันธ์และตอบสนองกับความรู้สึกนั้นตรงๆๆออกไปไม่มีแม้แต่ความรู้สึกว่ามีฉันผู้กำลังรักใครหรืออะไร ขอบเขตระหว่างฉันกับสิ่งที่ไ ม่ใช่ฉันที่ฉันกำลังมีความรู้สึกรักเลือนหายไป ไม่มีการแบ่งแยกใดๆๆ ท่านเห็นสิ่งนี้หรือไม่ ว่า มันเป็นไปอย่างฉับพลันและเป็นธรรมชาตินี้แหละคือ เชาว์ปัญญา และ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะมานั่งขบคิดถึงมัน ว่าถ้าท่านรักแล้วท่านจะได้อะไร จะคุ้มค่าแก่ความรักที่ให้ไปไหม? ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ไกลห่างออกไปจากตัวท่านเอง เป็นขื่อคา ภาระหน้าที่หรือข้อผูกมัด ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความวิกลจริตของการหมกหมุ่นอยู่กับตัวท่านเอง.....ซึ่งนั้นไม่ใช่ความรัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2013
  2. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คำพูดที่ท่านบรรจงเขียนลงมานั้นดูเหมือนพวกแต่งนิยายเชิงปรัชญาแนวหาความสุขใส่ตัวไปวันๆเพราะมีความกลัวเป็นปมด้อยในใจไม่ยอมรับผู้อื่นผู้ใดเป็นศาสดา ผู้นี้เรียกว่าคนหัวดื้อ ท่านอาจชอบพจญภัยทางความคิดเพื่อพิสูจน์ในความคิดท่านเองว่าเป็นสิ่งถูกแต่ท่าเกิดมาผิดยุคที่จะสร้างสรรปัญญาเองได้บนทางหลุดพ้น เพราะพระสัทธรรมย่อสเป็นสัทธรรม และท่านก็จะตายไปกับความคิดของท่านอย่างไร้ค้า จะว่าไร้คค่ากไม่ได้ซิ อย่างน้อยมันก็จะเป็นบทเรียนชาติๆหนึ่งเท่านั้น ก่อนความตายจะมาเยือนคุณถึงจะรู้ว่ามันสายไปแล้วกับการไม่ยอมรับพระสัทธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2013
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ที่นี้มาถึงบทสำคัญในการปฎิบัติเพื่อเจ้าถึงความสุขที่สุดของชาวโลกในมุมของอานาปานสติ
    ผมจะเอาตามพระสูตรเลย เราจะเป็นผู้กระทำกายสังขารให้ระงับหายใจออก เราจะเป็นผู้กระทำกายสังขารให้ระงับหายใจเข้า ตรงนี้กายสังขารคือลมหายใจ ยั้นหมายความว่าเราหยุดหายใจสักครู่แล้วหายใจออก แล้วกหยุดหายใจสักพักหายใจเข้า หายใจให้เบาๆวางจิตให้นุ่มนวล ตรงนี้สำคัญมาก เมื่อทำไปพยายามต่อพยายามหายใจให้สันลงกลันหายใจให้ยาวเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องกดข่มอะไรแค่กลั้นลม ทำตามนี้อย่างไม่ย่อท้อ ใหม่ๆอาจจะลำบากหน่อย จำไว้ความสำเร็จไม่ได้มาเพราะความสบาย ความสำเร็จจะปรากฎแก่ท่าน ธรรมที่ไม่เคยผลุดก็จะปรากฎขึ้นมา จงมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดว่าอาการทั้งหลายไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    โอ้โห ปากจัดไม่เบาเหมือนกันนะนี่ แค่เขาใช้ภาษาแปลกๆ หน่อย ถึงกับว่าเขาไม่มีศาสดาเชียว

    แต่แปลกนะ ผมกลับเห็นว่าเขาเข้าใจธรรมะแท้จริงเยอะกว่า newamazing มากเลย
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    นี่มันเริ่มเพ้อแล้วนี่นา
    พอโดนทุกคนเห็นตรงกันว่าไม่ใช่ เลยพยายามหาความชอบธรรมเข้าตัว
    แต่มันกลายเป็นหลุดประเด็น จากหัวข้อกระทู้ไปแทน
     
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    มันหลุดประเด็นตรงไหนหรอครับ ผมเขียนบรรยายให้รู้ว่าอานาปานสตินั้นทำอย่างไรในแต่ละขั้น รู้เรื่องกับเขาบ้างป่าวหรือได้แต่ยุบหนอพองหนอ
     
  7. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ธรรมธาตุมักอยู่รวมกัน คนประเภทเดียวกันมักจะเขาใจกัน
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันเริ่มเบี่ยงประเด็นหนีความผิดละ
    ตอนใช้ชื่อ bigtoo ก็ทำแบบนี้

    เอ้า กลับมาใหม่ๆ

    ไอ้ที่บอกว่า รู้เฉยๆ โง่ มันคืออย่างไร
    ในเมื่อ newamazing เห็นผิดกับพระอรหันต์ แต่บอกว่าตนถูก ก็จงอธิบาย ว่าของตนนั้นถูกอย่างไร
     
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ถ้าคำว่ารู้เฉยๆของหลวงปู่นะถูกต้องรู้เฉยๆก็คือการเข้าไปรับรู้อะไรแล้วไม่ปรุงแต่งต่อนะผมรับรู้ได้ แต่ถ้ารู้แบบที่ท่านอินจำเขามามันก็เป็นความรู้แบบปุถุชนอย่างที่คุณไม่กล้าที่จะบอกตัวเองว่าเป็นอริยชบแล้วก็ยืนยันด้วยตัวเองว่าเป็นปุถุชน คุณจะมารู้แบบอริยชนได้อย่างไร อินทรบุตร ฮือความรู้เฉยๆของคุณจึงเป็นความรู้แบโง่ๆไงพอเข้าใจที่ผมพูดมั้ย ขนาดเรื่องทานคุณยังชอบปฎิเสธเลย ชีวิตของอริยชนนะเขาอุดมไปด้วยทานครับตั้งแต่ผมคุยเรื่องทานมาผมยังไม่เห็นคุณสรรเสริญเรื่องทานเลย พูดก็หาว่าอวดขัดแย้งตลอด คุยไปโน้น เครื่องหมายศูนย์ของคุณ ยิ่งทำมันเหมือนจะศูนย์ความดีซะล่ะมั้ง อะๆอย่าบอกนะว่าข้ามตรงนี้ไปแล้ว ไม่ปรุงบุญปรุงบาปแล้ว คุณก็แค่จำคำเขามาแล้วได้ทีเลย ข้าไม่สนใจแล้วบาปบุญ พวกนี้มีเยอะมันข้ามขั้นตอน แต่พออะไรเอาเข้าตัวเองล่ะก็ เงิบบๆเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2013
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ฝึกสมาธิ สติ ด้วยใจไม่ใช่ตา.. ธรรมดานี่แหละ เมื่อจิตสงบจะรู้เองระวังศิล5..(k)
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขออย่าให้หลุด เเละก้าวหน้ายิ่งขึ้น!!!สาธุ
     
  12. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ดีละ ดีละ ปู่สับสน ยินดีด้วยค่ะ
     
  13. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    สติ คือ การระลึกได้
    สัมปะชัญญะ คือ ความรู้ตัว
    สมาธิ คือ ความตั้งใจมั่น

    ขณะที่เพลินไปกับอารมณ์ ระลึกได้ทิ้งอารมณ์ปั๊บ กลับมารู้ลมหายใจ อาการระลึกได้กลับมานี้ เรียกว่า สติ
    อาการระลึกได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดแป๊บเดียว
    ขณะที่กลับมารู้อยู่กับลมหายใจ เรียกว่า สัมปะชัญญะ ความรู้ตัว
    และถ้าสามารถดำรงสัมปะชัญญะ ความรู้ตัว ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน เรียกว่า สมาธิ
    คือตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์นี้กับลมหายใจนี้ได้ยาวนาน สมาธิก็จะตั้งมั่น

    ความตั้งมั่น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปได้
    ถ้ามันตั้งมั่นอยู่ได้ไม่นานแล้วดับไป ก็ระลึกได้ว่าดับไป (มีสติ)
    กลับมารู้อยู่กับลมหายใจ (มีสัมปะชัญญะ) เกิดสมาธิตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์นั้นได้ยาวนาน (มีสมาธิ)
    ถ้าตั้งมั่นอยู่ได้ยาวนานๆๆ ก็เป็นฐานให้เกิดสติ สัมปะชัญญะ เห็นการเกิดดับของสิ่งต่างๆ
    วนเวียนอุปการะกันอยู่เช่นนี้


    ถ้าปฏิบัติจน สติ สัมปะชัญญะ สมาธิ แนบแน่นแนบสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    เมื่อเกิดผัสสะปุ๊บ สติ สัมปะชัญญะ สมาธิ เกิดพร้อมกันเลย (บางคนอาจจะเรียกว่าสติอัตโนมัติ)
    ก็จะเป็นเครื่องช่วยให้เห็นความจริงของสรรพสิ่ง (เห็นอริยสัจ) ได้ง่ายขึ้น แล้วปล่อยวาง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2013
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    รู้ได้ยังไง ว่าผมไม่รู้จักรู้เฉยๆ?

    ผมเคยบอก newamazing ไปตั้งหลายรอบแล้ว ว่าที่คุณเจอหนะมันยังไม่ใช่ คุณยังไม่เจอสภาวะของจริงเลย คุณก็ไม่เชื่อสักที

    แล้วทำไม ไปๆ มาๆ คนที่บอกว่า "อุดมไปด้วยทาน" ถึงได้เหยียดผู้อื่นแบบนี้หละ? มากล่าวหาว่าผมไม่รู้จักสภาวะจริง มากล่าวหาว่า ผมปฏิเสธการให้ทาน แถมยังพาลไปเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยว เรื่องภาพแทนตัว มาเหยียดหยามผู้อื่นเสียอีก

    นี่หรือ คือ newamazing ผู้ที่เคลมว่าตัวเองเป็น พระอรหันต์?
     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อย่ามั่วซิ ใครว่าผมเป็นอรหันต์ครับ ผมเคยบอกเหรอ ผมนะสกิทาครับ ท่านเคยเจอเหรอครับรู้เฉยนะ รู้เฉยมันเป็นสภานิพพานนะครับ มันเฉยเพราะรูป สังขาร วิญญาน เวทนามันดับหมดมันเหลือแต่วิญญานขันธ์เท่านั้นมันถึงรู้เฉยได้ ถ้าสังขารมันไม่ดับมันรู้เฉยไม่ได้หรอกครับ อยากเรียกเหียยดเลย มันดูไม่น่ารักผมชอบแบบนีแหล่ะสอนแบบให้เห็นมุมกระทุ้งเขาจิตเลยจะได้รู้ใจจะมาก็อบวางผมไม่มาดีกว่า สอนให้เห็นทุกมุม อริยเถื่อนเยอะ เป็นอันว่าใครมีอยู่ในตัวแล้วก็ดี ถ้าใครไม่มีฟังแล้วเอาไปปฎิบัติให้มีในตนเพิ่มพูลขึ้นไป ท่านเข้าถึงสภาวะรู้เฉยนั้นได้ทุกครั้งมั้ยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2013
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ประเภทของทาน

    1.อามิสทาน คือการให้วัตถุสิ่งของ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ข้าว(อาหาร)และน้ำเป็นทรัพย์โดยปรมัตถ์ สิ่งอื่นเป็นทรัพย์โดยบัญญัติเพราะเกิดจากการสมมุติของของคนที่ทำให้เกิดความจำเป็น เช่น เสื้อผ้าถ้าใส่กันอาย เงินทองเพชรที่กินไม่ได้และไม่มีประโยชน์
    2.อภัยทาน คือการยกโทษด้วยการไม่พยาบาทจองเวร บัณฑิตกล่าวเป็นทานที่ให้ได้ยากที่สุด โดยเฉพาะการให้อภัยศัตรูหรือผู้ที่ทำร้ายตนอย่างสาหัส
    3.วิทยาทาน คือการให้ความรู้ทางโลก
    4.ธรรมทาน คือการให้ความรู้ทางธรรม คือการให้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ทางพุทธศาสนา ชื่อว่าให้ทุกอย่าง

    ใน 4 อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ ทานอื่นๆช่วยค้ำจุนชีวิตทำให้เขามีที่พึ่งอาศัยในชาตินี้ แต่ธรรมทานช่วยให้เขารู้จักพึ่งตนเองได้ต่อไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า
    จะเห็นว่ามีทานที่ต้องหยิบฉวยจนมือชุ่มอยู่ในประเภทเเรกเท่านั้น
    ส่วนทานอีก 3 ประเภท สำเร็จด้วย กาย วาจา ใจ ซึ่งไม่ต้องใช้ทรัพย์สิน เงิน ทอง
    แต่อย่างใด
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    บ้าไปแล้ว มันไปเกี่ยวอะไรกับ การหยุดหายใจ จุ๊กกรู้ สักครู่ ไม่ทราบ !!

    หยุดเพื่อยิงสลุต สามนัดหรือไง !!

    กายสังขารรำงับ ของอานาปานสติ เขาไม่ได้หมายแค่ว่า จิตเผิกการรู้
    จากกายเนื้อ หน้ามืด มึนตึ๊บ สลึมสลือ

    กายสังขารของอานาปานสติ ก็คือ การระลึกรู้ลมนั่นแหละ หากยังระลึก
    รู้โดยมีสัญญาหมายว่า นี้คือลม โดยอาศัยวิเศษลักษณะ 6 อย่าง เช่น
    " เข้า ออก สั้น ยาว สงบ ไม่สงบ " เหล่านี้คือ อาการยังไม่ละจาก การ
    มีสัญญาในกองลม หรือ ยังมีตัณหา หรือ ยังมีอุปทาน ในกองลม ก็จะ
    ถือว่า " ยังเห็นลมเป็นกาย มีกายเป็นลม " หรือ กายสังขารไม่ระงับ

    ดังนั้น หากกายสังขารของอานาปานสติ รำงับ นั่นแปลว่า คนๆนั้นก็
    หายใจด้วยอาการปรกติอยู่นั่นแหละ แต่ ทว่า ไม่หยิบวิเศษลักษณะ
    ใดๆของกองลม ขึ้นมาเป็น สิ่งถูกรู้อีก แต่ ยังมีรู้ จิตยังทำกรรมฐานอยู่
    ไม่ทอดธุระ และเพราะ ราคะไม่แทรก ไม่เกิดการหยิบฉวยวิเศษลักษณะ
    ของกองลมขึ้นมา จิตก็จะรู้ปิติที่เป็นองค์ฌาณบ้าง สุขบ้าง หากจิตสังขาร
    ยังไม่รำงับ หากจิตสังขารรำงับ ก็จะ รู้อยู่ที่ " รู้ "

    คือ รู้ว่ายังทำกรรมฐานอยู่ มีสัมปชัญญะ ไม่ทิ้งกรรมฐานไปไหน ซึ่งยัง
    ต้องภาวนาเห็น " รู้ " นั้นแสดงความไม่เที่ยง กำหนดรู้ซึ่งจิต ปล่อยจิต
    ออกไปอีก หากไม่ปล่อยจิต ก็จะเกิด " ภพ "

    ถ้า ยังภาวนาอยู่ใน ภพ ภาวนาให้ตาย ก็โง่ ดักดานอยู่อย่างนั้น

    กลายเป็นนักคิด ทำมาปู๊ดดด ไปวันๆ เท่านั้น

    แต่ถ้า ปล่อยจิต การภาวนาไม่มี ภพ มาเที่ยวรองรับ ตรงนี้ค่อย
    มาบอกว่า เจริญปัญญา มีจิตตั้งมั่น

    จิตตั้งมั่น มันต้อง ไม่อยู่ภพ เห็นเหตุแห่งการดับไปของ ภพ นะเว้ยเฮ้ย

    จิตตั้งมั่น ขี้ครอกนอกศาสนา ตั้งอยู่ในภพ หรือ ไม่ก็ตั้งอยู่ด้วย " ไม่มีภพ "
    หรือไม่ก็ทะลึ่งตั้งอยู่ใน " มีภพก็ไม่ใช่ ไม่มีภพก็ไม่ใช่ "

    เข้าใจหรือเปล่านี้ จิตตั้งมั่น คือ " การเห็นเหตุแห่งความดับ " ไม่ใช่
    เห็น ดับ ตับ ตับ ตับ ลมหายใจหายไป จุ๊กกรู้ !!!

    นี้แค่พูดถึงง จิตตั้งมั่นเองนะ ยังไม่ได้พูดถึง ปัญญาเจริญ อะไรเลยสักนิดเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2013
  18. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ท่านใดให้อามิสทานไม่ได้อย่าหวังว่าจะให้ทานอื่นได้เลย
     
  19. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ทำแบบนิวรณ์ถึงได้เป็นบ้าอยู่นะซิ วันๆเอาแต่บ้าบอๆๆ เปลี่ยนรูปแทนตัวเองไม่รูจักจบ ปรุงแต่งเพ้อเจ้อน่า
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เคยพูดว่าตัวเองเป็นอนาคามีไม่ใช่เหรอ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...