ในนิพพาน มีจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ อยู่ไหม ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 29 พฤศจิกายน 2004.

?
  1. มี

    0 vote(s)
    0.0%
  2. ไม่มี

    0 vote(s)
    0.0%
  3. ไม่แน่ใจ

    0 vote(s)
    0.0%
  1. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    พูดจาแบบนี้ ต้องเข้ามามอบโล่ห์ให้ครับ..โมทนา พูดจาถูกใจ
     
  2. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396


    เรื่อง แบบ นี้ ไ่ม่ ต้อง มอบ โล่ ก่ ได้ ครับ (แฮ่)

    เพราะ จัก เรียก ว่า มี ดี ใน ตัว ตน อยู่ แล้ว จึง

    รจนา ได้ ไพเราะ อย่าง นี้ ...จริง บ่
     
  3. Tan emotion

    Tan emotion สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +2
    จริงหรือไม่ครับที่ท่านทั้งหมดนี้กล่าวไว้เกี่ยวกับนิพพาน

    พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ สันติอโสก.... จิตของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ นั้นจะสูญสลายเมื่อนิพพานแล้ว ใครเข้าใจว่าจิตแม้จะถึงนิพพานแล้วก็ยังคงมีจิต ยังไม่สูญ ถือว่าเข้าใจเพี้ยน ใครเข้าพระพุทธเจ้าหลังปรินิพพานมีจิตมีวิญญาณมีอำนาจบันดลบันดาล ถือว่าไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ.......

    พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต) ......ในพระไตรปิฎกมีแต่ระบุลงไปว่านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานไม่ใช่อัตตา......

    หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย นครปฐม .......นิพพานไม่ใช่เป็นบ้านเป็นเมือง นิพพานไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน นิพพานของพระพุทธเจ้าไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นคำว่ามีแก้วใสผลึกมันก็ยังเป็นอัตตามีตัวตน เป็นเพียงแค่สภาวะชั้นพรหมเท่านั้นไม่ใช่นิพพาน ........

    ท่านพุทธทาสภิกขุ ..... การเชื่อว่า วิญญาญหรือจิตของพระพุทธองค์เป็นอมตะ คอยเฝ้าดูพวกเราหรือโลกอยู่มาจนบัดนี้นั้นเป็นของขบขันเหลือเกิน ความเชื่อว่าจิตหรือวิญญาณของพระพุทธองค์ยังเหลืออยู่เป็นความเชื่อที่ขวางกับหลักธรรมะและเหตุผลทั่วไปอย่างรุนแรง.....
     
  4. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    นิพพานไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นภาวะระดับของจิตที่หลุดพ้นแล้ว ตัวผมเองไม่ค่อยมีความรูเท่าไร แต่ผมคิดว่าไม่อยู่แล้วครับ หลุดพ้นจากภาวะของความมีรูปของจิต สู่ความไม่มีรูปของจิต สู่สรรพแห่งความหลุดพ้น แล้วก็ดับ ไร้ซึ่งจินตนาการที่เราจะหยั่งถึง
     
  5. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    จิตต้องมีอยู่ ไม่งั้นตอนพระพุทธเจ้าค้นพบนิพพานเอาไรไปรู้ ถ้าไม่ใช่จิต
     
  6. xfiless

    xfiless สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +6
    นิพพาน ดับหมดทุกอย่าง แล้วจะมีจิตได้อย่างไรอ่ะครับ ใครว่ามีจิต ช่วยอธิบายผมหน่อยครับ ผมงง :cool:
     
  7. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    จิตไม่มีใครเป็นเจ้าของ
    จิตเป็นของพุทธะ ถูกหรือ
    จิตเป็นของอรหันต์ ถูกหรือ

    ความแตกต่างของพุทธะกับอรหันต์

    พุทธะ จะส่งคืนตวงจิตกลับสู่ธรรมชาติหมด
    แล้วอรหันต์ จะส่งคืนดวงจิตสู่ธรรมชาติได้หรือ

    หากอรหันต์ส่งคืนได้ ก่ คือพุทธะ

    จิตในธรรมชาติมีอยู่ ทำไมจะไม่มี

    มนุษย์ เกิดจากอะไร จากสภาวะอะไร ...จิต ก่ยืมมาจากนั้น

    ถามหาจิต ก่ ตอบเรื่อง จิต

    ไม่ได้ถามเรื่องสภาวะหรืออารมณ์ ก่ ตอบแค่นี้

    สรุป พุทธะ ไม่มีจิตอีก แต่อรหันต์ยังมีจิต แต่จิตได้แยกออกจากขันธ์
    ดังนั้น อรหันต์ยังต้องบำเพ็ญต่อไปเพื่อคืนดวงจิตสู่ธรรมชาติทั้งหมด
    จิตมีใครเป็นเจ้าของหรือ???

    ท่านวสุธรรม ว่าไง ท่านมีจิตหรือไม่ตอนนี้
     
  8. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    สิ่งที่ปรากฎ สิ่งที่ประจักษ์ ให้รู้ ให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น

    คือสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เพราะสภาวะตัวตนที่แท้ของตนเองเป็นแบบนั้น

    ตัวตนที่แท้ คือ วัญญาณ หรือ กายทิพย์ของตนเอง

    หากในมโนภาพเราเห็นแสงสว่าง เห็นเรานั่งสมาธิอยู่ภายใน นั่นก่คือ ตัวตนแท้ของเรา

    หากในมโนภาพเราเห็นแต่สิ่งอัปมงคล นั่นก่คือเหล่าอมนุษย์ที่จะพาเราไปมิติหรือดินแดนของมัน

    มนุษย์กายหยาบมีอิสระที่จะคิดอะไรก็ได้ แต่อีกภาคหนึ่งที่แท้อาจจะไม่ได้เป็นตามที่
    กายหยาบเป็น

    เช่น กายหยาบสอนธรรมอยู่แต่อย่าเหมาว่ากายทิพย์ของตน หรือวิญญาณของตน
    จะเป็นไปตามที่กายหยาบเป็น เป็นพระสอนธรรม แต่สภาวะภายในของตนเองไม่รู้
    อาจจะเป็นเปรตและอสูรกาย ก็ได้ทั้งนั้น....อยากรู้ตัวตนที่แท้ ก็มองมโนภาพภายใน
    ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร

    มโนภาพ ภายในของท่าน วสุธรรม เป็นใครแต่งตัวอย่างไร ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่
     
  9. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    หากมโนภาพ ที่เราเห็นเป็นอยู่ในปัจจุบัน ยังเป็นมโนภาพของภาพอันต่ำทราบ
    อยู่ บอกได้เลยหากตายในขณะนี้ ได้ไปอยู่กับพวกเหล่านั้นแน่นอน

    แม้นว่าปากตนเองจะพูดแต่ ธรรมะก็ตาม แต่กายหยาบนั้นไม่สำเนียกตนเองว่า
    ความชั่วได้ครอบงำ สภาวะของตนอยู่

    ใจ เป็นนาย กายเป็น บ่าว ยังคงศักดิ์สิทธิ สถาพรอยู่เหมือนเดิม
    กายคือ ธาตุ ที่อาศัยของ ใจ หรือ กายทิพย์ตนเอง หากใจตนหรือ
    กายทิพย์ตนเองไม่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงสภาวะ จากต่ำไปสูง

    คือ ตกอยู่ในวังวนอันเน่าเหม็น หรือมิติของเปรตและอสูรกายต่อไป
    เมื่อคิดจะทำดี ก็ไม่สามารถทำได้เพราะจะถูกครอบงำอยู่คือ
    ปรารถนาสวดมนต์ เพื่อเปิดมิติเข้าหาพลังของผู้ประเสริฐมาช่วย
    พยุงให้ขึ้นหรือเลื่อนระดับ ก็จะไม่สามารถทำได้

    เพราะจะอ้าง เหนื่อย บ้าง จะมีท่าทีให้ต้องหยุด การสวดมนต์ไปโดยปรียาย
    และจะเลิกปฏิบัติ เลิกสวดมนต์ และ ก็จะกลับมาเหมือนเดิม
    คือ คิดต่ำทรามอยู่ภายใน แต่ปากหรือกายหยาบกล่าวธรรมะ ตลอดเวลา

    นี่ล่ะอานุภาพของมาร ของอมนุษย์...ผู้อิจฉา
    ภายนอกที่แสดง มาร ต้องการให้เห็นว่า เป็นผู้รู้ในธรรมสูง
    แต่ภายในถูก งาบ ไปแล้วเป็นบริวารแห่งมาร ...

    มโนภาพที่เกิดขึ้นในเรา เห็นใครบ่อย ก่ นั้นล่ะคือมิติของตนเองที่จะไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2012
  10. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    มโนภาพ ต่างจาก จินตนาการ อย่างไร...เอาง่ายๆ

    มโนภาพ คือ ภาพที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเค้นให้เกิด

    จินตนาการ คือ การปรุงแต่งให้เกิดภาพ ตามที่คิดปรุงแต่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2012
  11. asura7

    asura7 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    ผมว่าจะรู้ไปทำไหมครับ รู้ไว้ก็ได้แค่รู้ หาประโยชน์จากความรู้นี้ก็มิได้
     
  12. asura7

    asura7 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    ผมว่าพวกคุณในกระทู้นี้ มีแต่ผู้รู้มาก รู้เยอะไปหมดเลยทีเดียว แต่มีใครไหมที่ทำมาก ปฏิบัติมาก
     
  13. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ความรู้แสดงเพื่อให้นำไปตระหนักในสิ่งที่ปรากฎ
    ตรวจสอบด้วยตนเอง ว่าจริงเท็จประการใด

    เมื่อรู้ว่าเป็นอะไร ก็เลือกในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์
    คือลด ละ การยึดถือสิ่งที่เป็นตัวตน ละวางจางคลาย

    การยึดสิ่งนั่นสิ่งนี้เป็นของตน ออกจากวังวนเดิม
    ไปสู่ระดับที่ผู้ประเสริฐที่ได้สั่งสอนไว้ตามครรลองศาสนา
    ของตน

    การแสดงความรู้ขององค์พุทธะที่แสดงไว้ในอดีต เมื่อ
    นำมาไตร่ตรองโดยแยบคาย ก็จะเป็นประโยชน์ยากมาก

    สมัยก่อนโน้นความรู้ที่องค์พุทธะแสดง ก็เป็นสิ่งแปลกใหม่
    สมัยก่อนโน้นก็มีผู้ที่ตำหนิ ธรรมขององค์พุทธะเหมือนกัน

    จะหยิบหรือไม่หยิบ นำไปใช้หรือไม่ องค์พุทธะไม่ได้ใส่ใจ
    เพราะผู้ที่หยิบไปใช้คือประโยชน์ส่วนตน หาใช่ประโยชน์
    อันเกิดแก่องค์พุทธะก็หาไม่....เพราะองค์พุทธะหากแสดง
    ความรู้มาได้ก็เพราะท่านรู้ ท่านเห็นตามนั้น .... และเป็นประโยชน์
    กับสัตว์โลก ..... ตามภาระกิจที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติ
    องค์พุทธะ เจตนาแรกก็มิได้ปรารถนาจะประกาศธรรมอันใด

    ----------------------------------
    ธรรมที่ปรากฎ ย่อมจะมีประโยชน์

    ธรรมคือสิ่งที่ปรากฎต่อหน้า ซึ่งหน้า ในปัจจุบัน

    ไม่ว่า กิเลสมาร มาหา ก็มีประโยชน์

    โลภะ โทสะ โมหะ ราคะ มา ให้ปรากฎให้ตนเองเห็น

    นั่นคือประโยชน์ที่เราจักได้ ในขณะนั้น คือ การพิจารณา ดู เฝ้าดู รู้ ให้เห็น

    ว่า อำนาจใฝ่ต่ำจะมาแสดงอะไรให้เรารู้ ให้ตัวรู้ ได้ ศึกษา

    ทำนองเดียวกัน ธรรมที่แสดง ไม่ว่าจะเป็นมาร หรือ เทพ

    สิ่งเหล่านั้นเป็นครู ของตนเองแล้ว

    เมื่อครู มาแต่เที่ยวตำหนิครูไว้ก่อน..... เออ ดี
     
  14. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    รู้หรือไม่ว่า ทำไมหลายๆ คนจึงแสดงธรรมในนี้กัน

    เพราะ คนที่แสดงธรรมในนี้ด้วยธรรมที่ตนเองประจักษ์

    และรู้มาโดยธรรมชาติ เพื่อที่จะถอดถอนความรู้ออกไป

    ถอดถอนสิ่งที่รู้ทิ้งไปจากตนเอง เพื่ออะไร ...

    เพื่อทำให้ถ้วย ทำให้ชาม ทำให้แก้ว ว่างเปล่าขึ้น

    เพื่ออะไร ... เพื่อจะได้รับสิ่งใหม่เข้ามาอีก

    ใครหยิบ(พิจารณาไตร่ตรองอย่างแยบคาย)สิ่งใดได้ที่เป็นประโยชน์

    และมองเห็นประโยชน์ กับตนเองก็จะเปิดรับมิติ (ห้วงคิด)

    ใหม่ๆ เข้ามาได้อีก เพื่ออะไร... เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองให้ดีขึ้น

    เพื่อ... เป็นพลังผลักดันการเลื่อนระดับของตนเอง

    ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง ผลัดเปลี่ยน ตนเองจึงจะพัฒนา

    การแสดงธรรมในนี้คือ การคายสิ่งที่รู้ออกมา เพื่อไม่ให้ยึดสิ่งที่ตนรู้

    เมื่อคายออกมา ก็แล้วกันไปจบไป สิ่งที่เหลือคือ แก้วเปล่าต่อไป

    ที่จะรอรับข้อมูลใหม่ ๆ ต่อไป

    ถามว่า ตำหนิ ผู้แสดงธรรมเพื่ออะไร เพราะ หนึ่ง ทำตัวเป็นผู้ที่มีความรู้

    เต็มแก้ว แต่ไม่รู้จะเทน้ำในแก้วออกเสียบ้าง จึงทำให้ล้นปริ อยู่อย่างนั้น

    เมื่อเห็นความรู้ใหม่มา ก็ไม่สามารถจะรับความรู้ใหม่จากที่อื่นได้อีกแล้ว

    จึงเกิดอาการ ฉุนเฉียวรำคาญใจ ดังที่ปรากฎ

    หากไม่ต้องการให้เกิดอาการ อย่างนี้ก็จงคายน้ำในแก้วออกมา แสดงธรรม

    ของตนเองออกมา จะถูกหรือจะผิด อยู่ที่บารมีตนเอง ไม่เห็นต้องอายธรรม

    ที่ปรากฎในตนเอง.... แม้นแต่ในเว็บบอร์ด แห่งนี้ ม า ร ก็มีมาแสดงธรรม
     
  15. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    จงแสดงธรรมที่ปรากฎในตนให้เห็น

    แล้วท่านจะได้รับการเลื่อนระดับของสภาวะเอง

    เพราะธรรมที่ท่านแสดงจะย้อนกลับมาให้ท่านแจ้งประจักษ์

    ให้ละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

    อย่าเที่ยวได้ตำหนิธรรมของผู้อื่นเลย

    ในขณะที่ตนเอง ยังไม่มีธรรมจะแสดง

    การเที่ยวตำหนิธรรมของผู้อื่น จะทำให้ตนเอง

    ตกอยู่ในภาคมืดของมาร ไม่รู้จักจบสิ้น

    พยายามดีดตนเองออกจากวังวน(ความคิด)

    ของการตำหนิเสีย ท่านจะรู้สึกสบาย เป็นอิสระ....

    ขอให้ท่านจงพยายาม
     
  16. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ความแตกต่างของมโนภาพ กับ จินตนาการ หรือ จินตภาพ

    มโนภาพเป็นเรื่องที่ปรากฎด้วย ใจ มโนธาตุ หรือ ธาตุศักดิสิทธิ์ประจำตน

    จินตภาพ เป็นเรื่องของความนึกคิด

    เริ่มต้นเป็นอย่างไร

    บุคคลที่ไม่มีศีล

    เมื่อนึกคิดภาพหรือจินตนาการ อะไรขึ้นมา ไม่ดี นั้นคือกำลังเปิดมิติของตนเอง
    ให้ เหล่าผู้ที่อยู่ภพภูมิไม่ดีมองเห็น และมาหาได้ เรียกว่าเปิดคลื่นและส่งคลื่นไม่ดีออกไป

    เหล่าภูตต่างเมื่อเห็นก็มา เพราะไม่รู้จักปิดเครื่องส่งมันมาได้ทันที และก็จะอยู่เป็นประจำ
    คอยรับพลังงานและบังคับครอบร่างให้เป็นเครื่องมือ
    ภูติเหล่านี้ที่มา ก็จะพยายามสร้างเรื่อง สร้างความคิด สร้างภาพ ให้ร่างนั้นๆ เดินไปตาม
    เจตนาของมัน มันก็จะสร้างภาพให้ท่านเห็นได้ เพื่อจะได้โอนอ่อน เอนเอียงไปตามวิถีของมันโดยดุษฎี ให้ท่านผู้ถูกครอบเข้าใจว่าเป็นผู้มีธรรมและดำเนินไปตามคำสอนของ
    องค์พุทธะ ก่ มี เช่น ชอบทำนายอนาคตต่าง ๆ จะจริงบ้าง เท็จบ้าง ก่จะหาเรื่องเข้าข้าง
    ตนเองไปเรื่อย ๆ และจะพยายามจะไม่ทำอะไรที่ทำผิดกรอบของศาสนา เพียงเพื่อดำรง
    สภาพกายหยาบใช้เป็นเครื่องมือ ของมันต่อไป
    นี่คือผู้ไม่มีศีล ตั้งแต่ต้นแต่ เชื่อเชิญ อมนุษย์ เข้ามาหาตน โดยวนเวียนความคิดอกุศลต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน

    ดังนั้น จินตภาพที่เกิดสามารถเกิดจากเหล่าภูตไม่ดีแสดงให้ปรากฎขึ้นเพื่อหลอก กายหยาบ ก็มี มันก็จะไหลลื่นเหมือนกัน แต่นั้นหมายถึงมีภูติไม่ดีประจำกายแล้ว

    เหมือนกัน แม้นมีศีล แล้วเปิดมิติโดยคิดหรือจินตนาการ เรื่องที่ เป็นมายา หรือ ศิลป
    ต่างๆ ครูในอดีตก็จะมาหาได้ เพราะมิติเปิดอยู่
    เมื่อ ครูมาแล้วการคิดหรือจินตนาการ หรือการจินตภาพต่างๆ ก็จะง่ายขึ้น
    บุคคล ตนนั้นก็จะหลงไหลในภาพมายา หากไม่มีสติครองใจหรือสร้างใจผู้รู้ให้เข้มแข็ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2012
  17. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    หยุดคิด จิตว่าง ระงับคลื่นในตน ทำ

    เพื่อ อะไร .... ก่ พิจารณา ไตร่ตรอง จาก โพส์ต ข้าง ต้น เอา
     

แชร์หน้านี้

Loading...