ไขปริศนา เงื่อนงำ ที่ตั้ง "ชมพูทวีป" และ "ลังกาทวีป" ตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เอกอิสโร, 8 พฤษภาคม 2016.

  1. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ให้พูดตรงมั่ง ฮ่า ฮ่า ที่เอกกำแหงหาญขนาดพระที่เป็นธรรมทูตอินเดีย เอกก้างปลาช่อนก็ไม่สน (ขนาดท่านยกพระดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้ามาอธิบายเลยนะนั่น) เพราะเอกก้างปลาช่อนมโนไปเองว่าตัวเองเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช และสุภมานพที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

    เอกก้างปลาช่อนฝันไปเป็นตุเป็นตะแล้วก็ทึกทักว่าตัวเองเหนือกว่าใคร จึงเป็นที่มาถึงคำพูดที่ว่าสังเวชนียสถาน โบราณสถานที่อินเดียสร้างโดยพระอลัชชี พระเลว


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  2. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    อันนี้ คนส่งมาให้ thank youๆๆๆๆๆ

    อับจนสิ้นหนทาง ไปไม่เป็น โดนเค้าถามนี่นั่น ทางประวัติศาสตร์ ทางโบราณคดี ทางภาษาศาสตร์ เอกคิดไม่ทัน(แหงล่ะ ก็เอกไม่ได้เป็นนักโบราณคดีอะไรเลย) เอกไปนั่งมาธิมาแป๊ปพร้อมกะทางออกเพี้ยนๆ 555+

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • de.jpg
      de.jpg
      ขนาดไฟล์:
      206.8 KB
      เปิดดู:
      616
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  3. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    และผมว่านะ ด้วยความที่เอกก้างปลาช่อนคิดฝันมโนไปเองว่าตัวเองเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช และสุภมานพที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ต้องเหนือกว่าคนอื่นตลอด จึงเป็นที่มาของหัวข้อกระทู้นี้แบบตามรูปข้างล่าง ก่อนที่จะเพิ่งมานึกได้และเปลี่ยนตอนหลัง


    [​IMG]

    ใครไม่เชื่อแบบเอกก้างปลาช่อนโง่หมด เอกก้างปลาช่อนล้ำเลิศอยู่คนเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 322.jpg
      322.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.6 KB
      เปิดดู:
      572
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  4. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    อย่าเต้นฟุ๊ตเวิร์ค นานนะครับ คุณ 12qv ผม อยากเห็นจารึกอักษรโบราณในอินเดีย ถ้าได้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช สมัยพระพุทธโฆษาจารย์ เลย ถ้า คิดว่า "พระพุทธศาสนามีจุดกำเนิดอยู่ที่อินเดีย" แล้วค่อยถ่ายทอดมาถิ่นไทย

    ตอนนี้ ของที่ไทย ซึ่งนัก วิชาการยุคก่อน ตีความไว้ อายุอาจะไม่มาก แค่ 1000-1400 ปี เท่านั้น ผม จึงอยากเห็นของเก่า ที่เก่ากว่า ใน "จุดกำเนิดภาษาบาลีที่อินเดีย" ครับ

    ตัวอย่าง จารึกที่ศรีเทพ ..มีข้อมูลอธิบายว่า จารึกโบราณสถานหมายเลข ๐๐๙๖ อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี จารึกข้อความในปฏิจจสมุปบาท อนุโลม และปฏิโลม พุทธศตวรรษ ๑๒–๑๔ พบที่โบราณสถานหมายเลข ๐๐๙๖ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพจังหวัดเพชรบูรณ์

    หรือ อย่างที่พบที่ ซับจำปา ลพบุรี ข้อความที่ปรากฏในจารึกนี้เป็นภาษาบาลีล้วน และเป็นส่วนหนึ่งของ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร

    หรือ จารึก คาถาหัวใจพระพุทธศาสนา อย่าง "ศิลาจารึก เย ธัมมา" อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี จารึกคาถา เย ธัมมา... พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ทะเบียนวัตถุ นฐ.๕ พบที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม

    ...

    ช่วยสงเคราะห์ผมหน่อยเถอะครับ คุณ 12qv ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเห็น จารึกในสุพรรณบัฏ (ลานทอง) ที่พระเจ้าอชาตศัตรู โปรดให้จารึกไว้ พระมหากัสสปะให้จารึกไว้...และ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้มาอ่าน ในอีก 200 กว่าปี ต่อมา ดังพระอรรถกถา ว่า..

    ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะ อธิษฐานว่า พวงมาลัยอย่าเหี่ยว กลิ่นหอมอย่าหาย ประทีปอย่าไหม้ แล้วให้จารึกอักษรไว้ ที่แผ่นทองว่า แม้ในอนาคตกาลครั้งพระกุมาร
    พระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช ท้าวเธอจัก
    ทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายไป ดังนี้.

    ท้าวเธอ (หมายถึงพระเจ้าอชาตศัตรู) ครั้นปิดประตูทองแดงแล้ว ทรงคล้องตรากุญแจไว้ที่เชือกผูก ทรงวางแท่งแก้วมณีแท่งใหญ่ไว้ที่ตรงนั้นนั่นเอง โปรดให้จารึกอักษรไว้ว่า ในอนาคตกาล เจ้าแผ่นดินที่ยากจน จงถือเอาแก้วมณีแท่งนี้ กระทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลายเทอญ.
    ...
    จำเนียรกาล ล่วงมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ย้ำว่า ไม่ใช่พระเจ้าเทวานัมปิยทัสสีที่อินเดีย ที่ยังไม่เกิดมาลืมตาดูโลกนะครับ)

    ครั้งนั้น พระราชา (หมายถึงพระเจ้าอโศก) ทรงถือตรากุญแจ ที่ติดอยู่ที่เชือกผูก
    ทอดพระเนตรเห็นแท่งแก้วมณีและเห็นอักษรจารึกว่า ในอนาคตกาล เจ้า
    แผ่นดินที่ยากจนถือเอาแก้วมณีแท่งนี้แล้ว จงทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลาย
    ทรงกริ้วว่า ไม่ควรพูดหมิ่นพระราชาเช่นเราว่า เจ้าแผ่นดินยากจน ดังนี้แล้ว
    ทรงเคาะซ้ำ ๆ กันให้เปิดประตู เสด็จเข้าไปภายในเรือนประทีปที่ตามไว้ เมื่อ
    ๒๑๘ ปี ก็โพลงอยู่อย่างนั้นนั่นเอง ดอกบัวขาบก็เหมือนนำมาวางไว้ขณะนั้น
    เอง เครื่องลาดดอกไม้ก็เหมือนลาดไว้ขณะนั้นเอง เครื่องหอมก็เหมือนเขาบด
    วางไว้เมื่อครู่นี้เอง. พระราชาทรงถือแผ่นทอง ทรงอ่านว่า ต่อไปในอนาคต
    กาล ครั้งกุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระธรรมราชา
    พระนามว่า อโศก ท้าวเธอจักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลาย
    ดังนี้ แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้า มหากัสสปเถระเห็นตัวเราแล้ว
    ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบกับพระหัตถ์ขวา.
    ...

    รบกวนด้วยนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ความลับที่ "พระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง"

    ไม่ใช่ แต่ ที่ใต้พระธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ครับ คุณ 12qv

    หากผมสามารถทำได้ ผม ก็อยากจะพิสูจน์ ที่ "พระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง" ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าเดื่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่

    ตามประวัติ ตามตำนานพระเจ้าเลียบโลกนี้ด้วย เช่นกัน..

    สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จจาริกทางอากาศมาถึงแม่น้ำระมิงค์ที่เชิงเขาอุจจุปัปปัตตาหรือดอยผาเรือ ซึ่ง ณ สถานที่นี้มีถ้ำแห่งหนึ่งงามยิ่งนัก เป็นรูโค้งเข้าไปสู่ท้องดอย กว้างเท่าวิหารใหญ่หลังหนึ่งมีมีโยคีผู้หนึ่งพำนักอยู่ปากถ้ำ ถัดเข้าไปข้างในมีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อว่า “จุนทเถระ” เป็นลูกชาวเมืองกุสินารา ท่านมาอยู่วิเวกภาวนาในถ้ำที่นั้น ใช้เวลาว่างจารคัมภีร์ที่เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือพระไตรปิฎก ได้ผงใบลานเต็มกอบมือ โยคีผู้นั้นสร้างหีบทองคำ ๗ ใบ ใส่คัมภีร์ไว้ในที่สุดของถ้ำ ทำเป็น ๓ ชั้นราบเรียบเข้าไป ๓ วา สูงขึ้นไปอีก ๓ วา กลับราบเรียบไปอีก ๓ วา ไปตันเสียที่นั้น ชั้นล่างเป็นที่อยู่แห่งพระจุนทเถรภาวนา ชั้นกลางเป็นที่อยู่แห่งโยคี และโยคีสร้างเจดีย์ทองคำสูง ๗ ศอก นับแต่เจดีย์ทองคำเข้าไป ๓ ศอก สร้างพระพุทธรูปทองคำไว้ ๓ องค์ แต่ละองค์สูง ๑ คืบ ต่อจากพระพุทธรูปทองคำเข้าไป ๓ ศอก สร้างพระพุทธไสยาสน์องค์หนึ่งยาว ๓ ศอก ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ชั้นบนสร้างเป็นแท่นทองคำ ๗ แท่น เพื่อวางหีบพระคัมภีร์ไตรปิฎกทั้ง ๗ หีบ ที่พระจุนทเถรได้จารไว้ ต่อจากนั้นก็หล่อฆ้องทองคำไว้ ๑ ใบ ปากกว้าง ๒ วา สิ้นทองคำหนึ่งล้านหนึ่งหมื่น แขวนไว้ที่ประตูขึ้นตรงไปถึงพระเจดีย์ เทวดาถึง ๒ องค์ จึงจะตีฆ้องนี้ดัง ถ้าใช้คนตีฆ้องต้องใช้คนถึง ๑๐ คน จึงจะดัง เทวดายังตีบูชาพระพุทธเจ้าทุกวันพระตอนเที่ยงคืน จะได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงแมงพู่บินอยู่ในถ้ำ

    เมื่อท่านจุนทเถรยังมีชีวิตอยู่ ภิกษุทั้งหลายก็ดี นักปราชญ์ทั้งหลายก็ดี ประสงค์จะศึกษาเล่าเรียน ก็มาขอยืมคัมภีร์หนังสือของท่านจุนทเถร เอาไปศึกษาเล่าเรียน ยึดเป็นแบบฉบับหลักฐานได้ เพราะเหตุว่าพระอรหันต์เขียนเป็นที่ถูกต้องยิ่งนัก เมื่อท่านจุนทเถรจะนิพพาน ท่านได้เก็บรวบรวมใส่หีบทองคำไว้เหมือนเดิม แล้วจึงนิพพานไปในถ้ำแห่งนั้น
    ต่อจากนั้นขุนแสนทองก็นิมนต์โยคีรูปนั้นอยู่เฝ้ารักษาที่ผาเรือที่นั้น กาลครั้งนั้นพระโยคีก็ออกมาจากถ้ำเข้ามาอภิวาทกราบไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ดูราโยคีท่านมาอยู่ที่นี้ด้วยเหตุอะไร” โยคีกราบทูลว่า “พระอรหันต์องค์ที่เป็นลูกศิษย์ของพระองค์ มีชื่อว่า จุนทเถร ท่านมาอยู่วิเวกที่ถ้ำหิน ท่านมาจารคัมภีร์ธรรมของพระองค์ไว้ทั้ง ๓ ปิฎก ข้าพเจ้าได้สร้างพระเจดีย์ทองคำสูง ๗ ศอก พระพุทธรูปทองคำ ๓ องค์ สร้างพระพุทธไสยาสน์ยาว ๓ ศอก และสร้างฆ้องทองคำ ๑ ใบ กว้าง ๒ วา ข้าพระองค์ได้สร้างไว้ในที่นี้แล” พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุโมทนาว่า “สาธุ ดีนักแล การที่ท่านกระทำเช่นนั้นที่ว่าเป็นบุญแก่ท่านเป็นอันมาก อานิสงส์ก็มีแก่ท่านเป็นอันมากหาที่สุดไม่ได้”
    เมื่อนั้นลัวะทั้งหลายมีขุนแสงทองเป็นประธาน ก็พากันมากราบไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็เสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงเหยียบพระบาทเบื้องขวาไว้ที่แท่นผาคำ ที่พระพุทธองค์ประทับนั่งในเรือทองคำนั้น แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จขึ้นสู่ดอยผาเรือ พระอินทร์ก็ถือฉัตรกั้นพระพุทธองค์ ขุนแสนทองเห็นเช่นนั้น ก็บังเกิดความโสมนัสก็รำพึงว่า “ตั้งแต่เราเกิดมาก็พึ่งมาพบมาเห็นพระพุทธเจ้าในวันนี้” รำพึงเช่นนี้แล้ว จึงวิ่งไปเอาเกิ้งคำ (สัปทนทองคำ) มาตั้งให้พระพุทธองค์ แต่ไม่ทัน จึงวิ่งตามพระพุทธเจ้ามาทันที่ยอดดอยแห่งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งเหนือยอดดอยแห่งหนึ่ง ขุนลัวะแสนทองก็กั้นสัปทนทองคำให้พระพุทธองค์อยู่ด้านเหนือเฉียงตะวันตก ส่วนพระอินทร์ทรงถือฉัตรกั้นให้พระพุทธองค์อยู่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ มีพระอรหันต์และพระเจ้าอโศกนั่งอยู่เป็นบริวาร
    พระเจ้าอโศกราชทอดพระเนตรดูทิศานุทิศ แล้วทรงเห็นสถานที่นั้นงดงามยิ่ง จึงกราบทูลขอพระเกศาธาตุซึ่งพระพุทธเจ้า “ข้าแต่พระพุทธเจ้า สถานที่นี้งามยิ่งนัก สมควรตั้งศาสนาที่หนึ่งแล” พระพุทธองค์ทรงรำพึงดูสถานที่นั้น ทรงเห็นว่าเป็นครึ่งบ้านครึ่งเมือง ศาสนาตถาคตก็พอจะรุ่งเรืองได้คนทั้งหลายจะชวนกันมาไหว้นบสักการบูชาเป็นอันมาก แล้วก็ทรงลูบพระอุตมังคศรีษะ ทรงได้พระเกศาธาตุมาหนึ่งองค์ ทรงมอบแก่พระอรหันต์และพระเจ้าอโศก จึงตัดกระบอกไม้รวกทำเป็นผอบใส่พระเกศาธาตุ แล้วเอาใส่ในผอบทองคำใหญ่ ๗ กำมือ ทูลถามพระพุทธองค์ว่า “ในบริเวณที่นี้ มีถ้ำอยู่ที่ไหนบ้างพระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธองค์ตรัสว่า “มีอยูในภูเขาลูกนี้ ศิษย์ตถาคตชื่อ “จุนทเถร” เป็นลูกชาวเมืองกุสินารา มาอยู่วิเวกที่ผาแห่งนี้ นิพพานไปก่อนหน้าที่ตถาคตมาถึง หีบคัมภีร์คำสั่งสอนของตถาคต ๗ หีบ ก็มีอยู่ในถ้ำที่นี้ ท่านทั้งหลายจงนำเอาเกศาธาตุไปบรรจุไว้ที่นั้นเถิด” พระอรหันต์ พระอานนทเถร พระเจ้าอโศกราชร่วมกับพระอินทร์ ก็อัญเชิญพระเกศาธาตุลงไปจากจากยอดเขานับแต่ยอดเขาลงไป ๑๐๐ วา ก็พบถ้ำ เห็นโยคีตนนั้น แล้วก็เข้าไปพบเจดีย์ทองคำ เห็นฆ้องทองคำที่โยคีสร้างไว้ ก็ขึ้นไปชั้นบนอันเป็นที่เก็บหีบคัมภีร์ไตรปิฎก ก็วางผอบพระเกศาธาตุไว้เหนือแท่นทองคำใกล้กับพระไตรปิฎกนั้น
    จากนั้นพระพุทธองค์ก็ตรัสแก่พระมหาอานนท์ว่า “ดูราอานนท์ บัดนี้ตถาคตมีอายุได้ ๖๐ ปีแล้ว เมื่ออายุตถาคตเต็ม ๘๐ ปีบริบูรณ์ ก็จะดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ท่านจงเอาธาตุกระดูกหน้าผากด้านซ้ายมาประดิษฐานไว้ในดอยที่นี้ เพื่อเป็นที่ไหว้แก่คนและเทวดาทั้งหลาย เสมอดังตถาคตยังดำรงอายุอยู่ สถานที่อยู่ทางทิศตะวันออกนี้ ราบเรียบสม่ำเสมอดี ต่อไปเป็นเมืองหนึ่งชื่อว่า “เมืองอตุลนคร” เมืองนี้จะเป็นที่อยู่แห่งคนและนักบวชผู้มีบุญทั้งหลาย จะเป็นผู้รักษาพระธาตุและหีบทองคำสำหรับใส่พระไตรปิฎก เมืองนี้จะรุ่งเรืองด้วยพระรัตนตรัย อุดมด้วยพระเถรานุเถระตั้งอยู่ในสรณคมณ์เสมอกันทุกองค์ เทวดาจะนำพระธาตุออกมาให้คนและเทวดาจะนำออกมาให้คนและเทวดาทั้งหลายได้สักการะบูชา ตถาคตมีชีวิตอยู่เพื่อสมบัติ ๓ ประการแก่คนทั้งหลายฉันใด ส่วนสารีริกธาตุกระดูกหน้าผากตถาคตฝ่ายซ้าย ที่มาประดิษฐานอยู่ในดอยนี้ ก็จะนำความสุข ๓ ประการมาให้แก่คนและเทวดาทั้งหลายฉันนั้น” พระมหาอานนทเถรก็กราบทูลถามว่า “ข้าแด่พระพุทธเจ้า ดอยลูกนี้จะเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุเจ้าอันประเสริฐ ต่อไปภายหน้าดอยลูกนี้จะมีชื่อประการใด” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูราอานนท์ เมื่อตถาคตมาถึงที่นี้ ลัวะทั้งหลายเอาเกิ้ง (สัปทน) มากั้นให้เรา สถานที่นี้มีนิมิตเป็นไปกับด้วย “เกิ้ง” เช่นนี้ ต่อไปภายหน้าจะได้ชื่อว่า ดอยเกิ้ง”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    555+ มุกเดิมเริ่มมา

    รู้ทันมุกเอก

    คือเอกก้างปลาช่อนเนี่ย แกจะมีมุกเดิมๆวนๆกันไปแบบนี้

    -จนแต้มมากๆ เอกก้างปลาช่อนจะเบี่ยงเบนประเด็น ไม่ได้ต้องการคำตอบพริกเกลือมะเขือพวงรัยหรอก แกเคยไปถามธรรมทูตอินเดียเรื่องมหาสมุทร เจอพระคุณท่านงัดเอาคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จนหน้าแหกวุ่นวิ่น แกก็ใช้มุกนี้แหละ ถามวัว ถ้าหลงไปตอบ เอกก้างปลาช่อนก็จะถามม้า ถามแกะ ถามไก่ไปเรื่อยๆ จนกลบเรื่องที่เอกก้างปลาช่อนไปไม่เป็นเอาไว้ หรือโดนบี้สิบเรื่อง เอกก้างปลาช่อนก็จะเอาเรื่องเดียวมาตอบแล้วก็วนลูปเดิม เบี่ยงประเด็นถามช้าง ม้า วัว ควาย หมู หมา กา ไก่ไปเรื่อยๆ จนกลบเรื่องที่เอกก้างปลาช่อนไปไม่เป็นเอาไว้เหมือนเดิม

    -ถ้าถามหาหลักฐาน เอกก้างปลาช่อนจะแกล้งๆไปหาอะไรเก่าๆจริงๆในเมืองไทยมาอ้าง แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกะพระพุทธศาสนาเลยเช่นไปหาก้างปลาช่อนโบราณ คนไทยนับถือหมาจากกุ๊กเกิ้ล

    -เจอบี้มากๆ เอกก้างปลาช่อนจะมามุกฟูมฟาย อยากจะขุดนี่นั่น แต่ไม่มีใครสนับสนุน ขาดแคลนทุนทรัพย์ ก็แน่แหละใครจะให้ทุน ก็มันมีแต่มโนเอง ใช้นั่งทางใน เอามือแปะต้นโพธฺ์หาหลักฐาน

    -เจอบี้มากๆเข้าไปอีก เอกก้างปลาช่อนจะใช้วิธีแกล้งบอกว่าหลักฐานมีชัวร์ แต่เอกจะบอกว่ามันอยู่ใต้เจดีย์ดังๆ สถานที่สำคัญๆ หรือสุดๆก็ย้ายไปอยู่พม่ารัยนั่นเลย เอาง่ายๆก็ที่ๆจะไปขุดอะไรเป็นไปไม่ได้เลย แล้วเอกก้างปลาช่อนก็จะทำเป็นมาถามว่าใครมีอำนาจให้ไปขุดได้ บลา บลา บลา ว่านะ ถ้าในไทยมีมหาปิระมิดกีซา เอกก็คงบอกแหละว่าหลักฐานของเอกก้างปลาช่อนอยู่ใต้นั้น

    -มุกต่อมา ฟลัดกระทู้ที่มีแต่เรื่องของเอกก้างปลาช่อนมาเป็นสิบๆกระทู้ หรือไม่ก็เขียนอะไรมาโพสยาวๆเยอะๆ จนคนเบื่อไปเอง

    เอกก้างปลาช่อนไปบอร์ดไหนก็ทำๆวนเวียนกันอยู่แบบนี้ 555+
     
  7. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    สรุปง่ายๆของผู้ที่ไม่ได้ตามอ่าน ที่เอกก้างปลาช่อนมามุกเดิมแบบที่เขียนไว้ ก็เพราะเอกก้างปลาช่อนมันไม่มีหลักฐานซักอย่างที่จะสนับสนุนตัวเอง มีแต่มโน จึงเป็นที่มาของ รอให้โผล่มาเองตอนโลกแตก

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  8. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    สมเด็จพระสังฆราช เสด็จวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ อินเดีย

     
  9. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    พระพุทธรูปปางเสด็จดับขันธปรินิพพานที่กุสินารา

    พระพุทธรูปปางเสด็จดับขันธปรินิพพาน (คือพระพุทธรูปนอนบรรทมตะแคงเบื้องขวา) ศิลปะมถุรา มีอายุกว่า 1,500 ปี ในจารึกระบุผู้สร้างคือ หริพละสวามี โดยนายช่างชื่อ ทินะ ชาวเมืองมถุรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ถือได้ว่าเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวพุทธจะมาสักการะ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะอันพิเศษคือเหมือนคนนอนหลับธรรมดา แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานจากไปอย่างผู้หมดกังวลในโลกทั้งปวง "มกุฏพันธนเจดีย์" อยู่ห่างจากปรินิพพานสถูปไปทางทิศตะวันออก 1 กิโลเมตร ชาวท้องถิ่นเรียก รัมภาร์สถูป เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ มีสภาพเป็นเนินดินก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมไว้อย่างดี

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  10. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    กุสินารา

    กุสินารา หรือ กุศินคร (ฮินดี: कुशीनगर, อูรดู: کُشی نگر‎, อังกฤษ: Kusinaga, Kushinagar) เป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองเอกหนึ่งในสองของแคว้นมัลละ อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมือง ปาวา เป็นที่ตั้งของ สาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า

    กุสินาราจัดเป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญแห่งที่ 4 ใน 4 สังเวชนียสถานของชาวพุทธ เป็นสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่ตำบลมถากัวร์ อำเภอกุสินคร หรือกาเซีย หรือกาสยา (Kushinaga; Kasia; Kasaya) ในเขตจังหวัดเทวริยา (Devria; Devriya) รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สาลวโนทาย สถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า มาถากุนวะระกาโกฎ (Matha-Kunwar-Ka-Kot) ซึ่งแปลว่า ตำบลเจ้าชายสิ้นชีพ ปรากฏตามคัมภีร์ว่า เมืองนี้เคยเป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ เป็นที่เกิดบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์หลายครั้ง เคยเป็นราชธานีนามว่ากุสาวดี ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ์[1]

    ปัจจุบันกุสินารา มีอนุสรณ์สถานที่สำคัญคือสถูปใหญ่ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วิหารปรินิพพานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพพานอยู่ภายในและมีซากศาสนสถานโบราณโดยรอบมากมาย

    ในสมัยพุทธกาล เมืองกุสินาราอันเป็นที่ตั้งของสาลวโนทยานอยู่ในแคว้นมัลละ 1 ใน 16 แคว้น ซึ่งเป็นเขตการปกครองสมัยพุทธกาล โดยในสมัยนั้นแคว้นมัลละแยกเป็นสองส่วน คือ ฝ่ายเหนือมีเมืองกุสินาราเป็นเมืองหลวง เจ้าปกครองเรียกว่า "โกสินารกา" และฝ่ายใต้มีเมืองปาวาเป็นเมืองหลวง เจ้าปกครองเรียกว่า "ปาเวยยมัลลกะ" ทั้งสองเมืองนั้นตั้งอยู่ห่างกันเพียง 12 กิโลเมตร มีอำนาจในการบริหารแยกจากกัน โดยมีระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (สามัคคีธรรม) โดยมีแม่น้ำหิรัญญวดีคั่นตรงกลาง กุสินารานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับแคว้นอื่น ๆ ในสมัยพุทธกาล จัดว่าเป็นแคว้นเล็ก ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนักในด้านเศรษฐกิจ ดังที่พระอานนท์ได้ทูลทักท้วงพระพุทธองค์ที่ทรงเลือกเมืองกุสินาราเป็นสถานที่ปรินิพพานไว้ว่า


    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์อย่าเสด็จปรินิพพานในเมืองดอนในฐานะเมืองกิ่งนี้เลย เมืองอื่นอันมีขนาดใหญ่กว่านี้ยังมีอยู่คือ จัมปา ราชคฤห์ สาวัตถี สาเกต โกสัมพี พาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จดับขันธปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด กษัตริย์ผู้มีอำนาจ พราหมณ์ผู้มีบารมี เศรษฐีคหบดีผู้มั่งคั่งที่เลื่อมใสในพระองค์มีมากในเมืองเหล่านี้ ท่านผู้มีอำนาจเหล่านั้นจักได้กระทำการบูชาพระสรีระของตถาคต

    — พระอานนท์[2]

    สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธองค์อยู่ในพระราชอุทยานของเจ้ามัลละฝ่ายเหนือแห่งกุสินารา ชื่อว่า "อุปวตฺตนสาลวนํ" หรือ อุปวัตตนะสาลวัน ซึ่งในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า สาลวโนทยาน แปลว่า สวนป่าไม้สาละ ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดี เป็นป่าไม้สาละร่มรื่น ซึ่งหลังการปรินิพพานของพระพุทธองค์แล้ว กษัตริย์แห่งมัลละก็ได้ประดิษฐานพระพุทธสรีระไว้ ณ เมืองกุสินาราเป็นเวลากว่า 7 วัน ก่อนที่จะประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ในวันที่ 8 แห่งพุทธปรินิพพาน

    การที่พระพุทธองค์ทรงเลือกเมืองกุสินาราอันเป็นเมืองเล็กแห่งนี้เป็นสถานที่ปรินิพพาน มีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุสำคัญ คือ ทรงทราบดีว่าเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พระสรีระและพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จักถูกแว่นแคว้นต่าง ๆ แย่งชิงไปทำการบูชา หากพระองค์ปรินิพพานในเมืองใหญ่ เมืองใหญ่เหล่านั้นอาจไม่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้เมืองเล็ก ๆ เช่น เมืองกุสินารา เป็นต้น ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะหลังพระพุทธองค์ปรินิพพาน เจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ก็ได้ยกกองทัพหลวงของตนมาล้อมเมืองกุสินาราเพื่อจะแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ แต่ด้วยความที่กุสินาราเป็นเมืองเล็ก จึงต้องยอมระงับศึกโดยแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ทุกเมืองโดยไม่ต้องเกิดสงคราม

    หลังพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว เมืองกุสินารากลายเป็นเมืองสำคัญศูนย์กลางแห่งการสักการบูชาของพุทธศาสนิกชน เหล่ามัลลกษัตริย์ได้สร้างเจดีย์และวิหารเป็นจำนวนมากไว้รอบ ๆ สถูปใหญ่คือ มหาปรินิพานสถูป อันเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มหาสถูปนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของปูชนียสถานอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นมาภายหลังในบริเวณนั้น

    ต่อมาเมื่อแคว้นมัลละได้ตกอยู่ในความอารักขาของแคว้นมคธ (ซึ่งในขณะนั้นมีเมืองปาตลีบุตรเป็นเมืองหลวง) สาลวโนทยานยังคงเป็นสถานที่สำคัญอยู่ แต่อยู่ในสภาพที่ไม่รุ่งเรืองนัก ดังในทิพยาวทาน ได้พรรณาไว้ว่า

    “ พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จมาจาริกแสวงบุญยังกุสินารา ประมาณ พ.ศ. 310 ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ 100,000 กหาปณะ เพื่อเป็นค่าสร้างสถูป เจดีย์ และเสาศิลา พระเจ้าอโศกเมื่อทรงทราบชัดว่า ณ จุดนี้เป็นสถานที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ถึงกับทรงสลดพระทัย โศกเศร้าถึงเป็นลมสิ้นสติสมปฤดี ”
    หลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2 (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้พรรณาไว้ว่า

    “ เมื่อมาถึงกุสินารา มีแต่เมืองที่ทรุดโทรม หมู่บ้านเป็นหย่อม ๆ ห่างกันไป โบสถ์ วิหาร และปูชนียวัตถุ ปรักหักพังโดยมาก สังฆารามที่ควรเป็นที่อยู่อาศัยก็ไม่มีพระสงฆ์อาศัยอยู่ ได้เห็นศิลาจารึกพระเจ้าอโศก 2 หลัก ปักปรากฏอยู่ 2 แห่งในอุทยานสาลวัน จารึกนั้นบอกว่า ณ ที่นี้ เป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธองค์

    บันทึกของพระถังซำจั๋ง (Hiuen-Tsang) ​ซึ่งได้จาริกมาเมืองกุสินาราราวปี พ.ศ. 1300 ได้พรรณาไว้ในจดหมายเหตุของท่านว่า
    .เมืองกุสินาราเต็มไปด้วยป้อมปราการ หอสูง และสังฆาราม อยู่ห่างจากเมืองเวสาลี 19 โยชน์ กุสินาราเป็นเมืองหลวงของมัลละกษัตริย์ อยู่ในสภาพปรักหักพัง มองเห็นตัวเมืองและหมู่บ้านเป็นสถานที่รกร้าง หาคนอยู่อาศัยมิได้ กำแพงเมืองเก่าที่ก่อไว้โดยอิฐ มองดูโดยรอบยาวประมาณ 1 ลี้ มีคนอาศัยอยู่ในกำแพงเมืองเก่าเพียงเล็กน้อย ตามถนนสายเล็ก ๆ ของเมืองเป็นที่ร้าง... ประตูทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง มีสถูปแห่งหนึ่งเหลือแต่ซาก มีหลักฐานว่าผู้สร้างคือพระเจ้าอโศกมหาราช สถานที่แห่งนี้เป็นซากบ้านของนายจุนทะบุตรของนายช่างทอง (จุนทะกัมมารบุตร) คนที่ได้ถวายภัตตาหารครั้งสุดท้ายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลางหมู่บ้าน มีบ่อแห่งหนึ่ง เป็นบ่อที่ขุดฝังอาหารที่เหลือจากเศษเสวยของพระพุทธองค์ และพระพุทธองค์รับสั่งให้ฝังเสีย ไม่ทรงยอมให้ภิกษุอื่นบริโภค น้ำในบ่อนั้นล่วงเลยมานานเพียงใดก็ดี ก็ยังมีน้ำสะอาดใสอยู่เสมอ... ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง ห่างไป 3-4 ลี้ เราข้ามแม่น้ำอชิตวดีไปทางตะวันตกของแม่น้ำนั้น ไม่ไกลนักเป็นสาลวโนทยาน มีไม้สาละขึ้นเป็นหมู่ใหญ่ ลักษณะของไม้เป็นเปลือกสีขาว ส่วนใบสะอาดเป็นเงาไม่มีขรุขระ ในป่าไม้สาละนั้น มีสาละใหญ่อยู่ 4 ต้น ที่มีลักษณะใหญ่กว่าไม้อื่น ๆ ... ในสาลวโนทยาน มีสถูปแห่งหนึ่งเหลือแต่ซาก มีหลักฐานว่าสร้างโดยพระเจ้าอโศก ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีแม่น้ำหิรัญญวดี (ในบันทึกบอกว่าอชิตวดี) มีน้ำเปี่มอยู่ มีไม้สาละขึ้นอยู่เต็มทั้งป่า วิหารใหญ่ก่ออิฐถือปูน มีพระพุทธรูปไสยาสน์ปางปรินิพพานหันเศียรไปทางทิศเหนือ มีลักษณะเหมือนบรรทมหลับ ข้าง ๆ มีสถูปใหญ่ มีจารึกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้าง แม้จะทรุดโทรม แต่ก็ยังเหลือความสูงถึง 200 ฟุต ข้างสถูปมีศิลาจารึกว่า ที่นี่ เป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระตถาคต... ทางทิศเหนือของเมืองกุสินารา (ในมหาปรินิพพานสูตรว่าทางทิศตะวันออก) เราเดินข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง เดินไปประมาณ 300 ก้าว ได้พบพระสถูปองค์หนึ่ง สถานที่นี้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พื้นดินตรงที่ถวายพระเพลิง บางแห่งเป็นสีเหลืองปนดำ บางแห่งร่วนเหมือนกับถ่านไฟ ใครก็ตามเมื่อจาริกแสวงบุญ มาถึงสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแห่งนี้ ถ้าตั้งจิตให้เป็นสมาธิ สาธยายมนต์ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านั้นก็จะเสด็จมาสู่ตน... ”
    จนในพุทธศตวรรษที่ 14-15 ราชวงศ์สกลจุรีได้เข้ามาสร้างวัดขึ้นในบริเวณสาลวโนทยานจำนวนมาก จนพระพุทธศาสนาได้หมดจากอินเดียไปใน พ.ศ. 1743 ทำให้สถานะของพระพุทธศาสนาในกุสินาราถูกปล่อยทิ้งร้างและกลายเป็นป่ารกทึบ จนใน พ.ศ. 2433 ภิกษุมหาวีระ สวามี และท่านเทวจันทรมณี ชาวศรีลังกา เดินทางมายังกุสินาราและเริ่มอุทิศตัวในการฟื้นฟูพุทธสถานแห่งนี้ร่วมกับเนซารี ชาวพุทธพม่า จนได้สร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า "มหาปรินิวานะ ธรรมะศาลา"


    สถานที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระพระพุทธเจ้าเป็นเวลา 7 วันก่อนอัญเชิญไปถวายพระเพลิงพระบรมศพ
    ในปี พ.ศ. 2397 นายวิลสัน นักโบราณคดีอังกฤษ ได้ทำการพิสูจน์ขั้นต้นว่าหมู่บ้านกาเซียคือกุสินารา จนในปี พ.ศ. 2404-2420 เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม ได้เริ่มทำการขุดค้นเนินดินในสาลวโนทยาน จนในปี พ.ศ. 2418-2420 นายคาร์ลลีเล่ หนึ่งในผู้ช่วยในทีมขุดค้นของท่านเซอร์ อเล็กซานเดอร์ ได้ทำการขุดค้นต่อจนได้พบพระพุทธรูปปางปรินิพพาน วิหารปรินิพพาน และสถูปจำนวนมากที่ผู้ศรัทธาได้สร้างไว้ในอดีตเมื่อครั้งพระพุทธศาสนายังรุ่งเรือง โดยนายคาร์ลลีเล่ เป็นท่านแรกที่เอาใจใส่ในงานบูรณะและรักษาคุ้มครองพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ขุดพบ

    จากนั้น นับแต่ พ.ศ. 2443 เป็นต้นมา กุสินาราได้เริ่มมีผู้อุปถัมภ์ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ เข้ามาสร้างวัดและสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้จาริกแสวงบุญที่เริ่มเข้ามาสักการะมหาสังเวชนียสถานแห่งนี้จนในปี พ.ศ. 2498 รัฐบาลอินเดียได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนาปูชนัยสถานแห่งนี้เพื่อเตรียมเฉลิมฉลอง 25 พุทธชยันตี โดยได้รื้อโครงสร้างวิหารปรินิพพานเก่า (ที่ได้รับการบูรณะสร้างใหม่) ออกเพื่อสร้างมหาปรินิพพานวิหารใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างและสามารถรองรับพุทธศานิกชนได้ ในปี พ.ศ. 2499 จนในปี พ.ศ. 2507 วิหารได้พังลงมา ทางการอินเดียจึงบูรณะสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2518 และทางการอินเดียและพุทธศาสนิกชนก็ได้มีส่วนร่วมในการบูรณะกุสินาราจนมีสภาพสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

    จุดแสวงบุญและสภาพของกุสินาราในปัจจุบัน[แก้]
    ปัจจุบันกุสินาราได้รับการบูรณะ และมีปูชนียวัตถุสำคัญ ๆ ที่ชาวพุทธนิยมไปสักการะคือ "สถูปปรินิพพาน" เป็นสถูปแบบทรงโอคว่ำที่เป็นทรงพระราชนิยมในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช บนสถูปมียอมมน มีฉัตรสามชั้น "มหาปรินิพพานวิหาร" ตั้งอยู่ด้านหน้าในฐานเดียวกันกับสถูปปรินิพพาน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางเสด็จดับขันธปรินิพพาน (คือพระพุทธรูปนอนบรรทมตะแคงเบื้องขวา) ศิลปะมถุรา มีอายุกว่า 1,500 ปี ในจารึกระบุผู้สร้างคือ หริพละสวามี โดยนายช่างชื่อ ทินะ ชาวเมืองมถุรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ถือได้ว่าเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวพุทธจะมาสักการะ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะอันพิเศษคือเหมือนคนนอนหลับธรรมดา แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานจากไปอย่างผู้หมดกังวลในโลกทั้งปวง "มกุฏพันธนเจดีย์" อยู่ห่างจากปรินิพพานสถูปไปทางทิศตะวันออก 1 กิโลเมตร ชาวท้องถิ่นเรียก รัมภาร์สถูป เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ มีสภาพเป็นเนินดินก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมไว้อย่างดี

    ปัจจุบันชาวพุทธทั่วโลกได้มาก่อสร้างวัดไว้มากมาย โดยมีวัดของไทยด้วย ชื่อ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ปัจจุบันชาวไทยที่มาสักการะ ณ กุสินารา นิยมมาพักที่นี่[3]
     
  11. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ข้างบนนะ่นแหละครับ เอกก้างปลาช่อนบอกสร้างโดยพระเลว อลัชชี

    [​IMG]
     
  12. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ถามอีกคำถามหนึ่งนะ คุณ 12qv และช่วยกรุณา ตอบคำถาม ที่ถามไปสักหน่อย เถอะครับ จะได้รู้ทิฏฐิ และความโง่หรือฉลาด นะครับ

    คำถามเพิ่มเติม อีกคำถามหนึ่ง จะได้รู้ว่า คุยต่อไปจะเกิดประโยชน์หรือไม่? คือ คุณ 12qv เชื่อตามฝรั่งที่ว่า พระเจ้าอโศก ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 218 ตามอรรถกถา หรือเชื่อตามฝรั่งว่า เกิด พ.ศ. 240 ครองราชย์ 270 ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      117.9 KB
      เปิดดู:
      98
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2016
  13. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    รู้ทันมุกเอก

    คือเอกก้างปลาช่อนเนี่ย แกจะมีมุกเดิมๆวนๆกันไปแบบนี้

    -จนแต้มมากๆ เอกก้างปลาช่อนจะเบี่ยงเบนประเด็น ไม่ได้ต้องการคำตอบพริกเกลือมะเขือพวงรัยหรอก แกเคยไปถามธรรมทูตอินเดียเรื่องมหาสมุทร เจอพระคุณท่านงัดเอาคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จนหน้าแหกวุ่นวิ่น แกก็ใช้มุกนี้แหละ ถามวัว ถ้าหลงไปตอบ เอกก้างปลาช่อนก็จะถามม้า ถามแกะ ถามไก่ไปเรื่อยๆ จนกลบเรื่องที่เอกก้างปลาช่อนไปไม่เป็นเอาไว้ หรือโดนบี้สิบเรื่อง เอกก้างปลาช่อนก็จะเอาเรื่องเดียวมาตอบแล้วก็วนลูปเดิม เบี่ยงประเด็นถามช้าง ม้า วัว ควาย หมู หมา กา ไก่ไปเรื่อยๆ จนกลบเรื่องที่เอกก้างปลาช่อนไปไม่เป็นเอาไว้เหมือนเดิม

    -ถ้าถามหาหลักฐาน เอกก้างปลาช่อนจะแกล้งๆไปหาอะไรเก่าๆจริงๆในเมืองไทยมาอ้าง แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกะพระพุทธศาสนาเลยเช่นไปหาก้างปลาช่อนโบราณ คนไทยนับถือหมาจากกุ๊กเกิ้ล

    -เจอบี้มากๆ เอกก้างปลาช่อนจะมามุกฟูมฟาย อยากจะขุดนี่นั่น แต่ไม่มีใครสนับสนุน ขาดแคลนทุนทรัพย์ ก็แน่แหละใครจะให้ทุน ก็มันมีแต่มโนเอง ใช้นั่งทางใน เอามือแปะต้นโพธฺ์หาหลักฐาน

    -เจอบี้มากๆเข้าไปอีก เอกก้างปลาช่อนจะใช้วิธีแกล้งบอกว่าหลักฐานมีชัวร์ แต่เอกจะบอกว่ามันอยู่ใต้เจดีย์ดังๆ สถานที่สำคัญๆ หรือสุดๆก็ย้ายไปอยู่พม่ารัยนั่นเลย เอาง่ายๆก็ที่ๆจะไปขุดอะไรเป็นไปไม่ได้เลย แล้วเอกก้างปลาช่อนก็จะทำเป็นมาถามว่าใครมีอำนาจให้ไปขุดได้ บลา บลา บลา ว่านะ ถ้าในไทยมีมหาปิระมิดกีซา เอกก็คงบอกแหละว่าหลักฐานของเอกก้างปลาช่อนอยู่ใต้นั้น

    -มุกต่อมา ฟลัดกระทู้ที่มีแต่เรื่องของเอกก้างปลาช่อนมาเป็นสิบๆกระทู้ หรือไม่ก็เขียนอะไรมาโพสยาวๆเยอะๆ จนคนเบื่อไปเอง

    เอกก้างปลาช่อนไปบอร์ดไหนก็ทำๆวนเวียนกันอยู่แบบนี้ 555+
     
  14. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ผมก็ไม่รู้ว่าเอกมันไปเอาความมั่นใจอะไรมา ว่าพระเลว อลัชชี เดียรถีร์สร้างโบราณสถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินิพพานที่อินเดีย ง่ายๆก็คือที่ๆเราไปแสวงบุญนั่นแหละ เอกบอกพระเลวสร้าง ทั้งๆที่เอกก็ไม่เคยไปอินเดียเลย

    มานั่งคิดดู เอกมันก็มั่นใจแบบนี้มาหลายหนแล้วนี่หว่า แล้วก็ไม่มีอะไร เนียนๆหายไปพักแล้วก็มาใหม่ เอาเท่าที่นึกได้นะ

    -รอดูอีกสิบวัน จะมีอะไรให้ตื่นเต้น ผ่านไปเป็นชาติก็ไม่เห็นมีอะไร

    -อีก66วัน เราจะต้องจากลา ก็คือโลกจะแตกนั่นแหละ เอกมานับวันฟูมฟาย พอถึงวัน แป่วววววว เหมือนเดิม

    -เมื่อเดือนหรือสองเดือนก่อนนี่แหละ เอกบอกจะเปิดความลับโลกในวันอะไรจำไม่ได้แล้ว แล้วเอกก็บอกไปขุดอะไรนี่แหละ แล้วก็เงียบไป บอกจะไปใหม่วันพรุ่งนี้มั้ง อันนี้ไม่พูดนานแล้ว

    เอกลองปรึกษาแพทย์บ้างก็ดีนะ
     
  15. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    เอกก้างปลาช่อน ช่วยหาหลักฐานมาให้แล้ว

    [​IMG]
     
  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ขอแสดงความคิดเห็นบ้างนะคะ

    เรื่องเกี่ยวกับภาษาบาลีนั้น ซึ่งเป็นภาษาที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฏก เท่าที่ทราบมา ภาษาบาลีนั้นเป็นภาษาของพรหม เป็นรากภาษา หรือ มูลภาษาเป็นภาษาแม่ภาษาหลักของทุก ๆ ภาษาในโลกนี้ ล้วนมีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี เป็นภาษาธรรมชาติ ไม่มีวันสูญหาย แม้ในยามกัปเสื่อมสูญ การแปลภาษาบาลี ไวยกรณ์ (การทำเนื้อความให้แจ่มแจ้ง) ภาษาบาลีไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยการศึกษาไม่ดีของชาวโลก หรือ การศึกษาของคนยุคนั้น หรือ ประเทศนั้น

    หลักเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่า ต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา อยู่ที่ประเทศอินเดียค่ะ

    1.เมื่อพระไตรปิฏกได้บันทึกในยุคพุทธกาล สังคยานาโดยพระอัครสาวกเถระเอกัตทัคคะ เช่น พระกัสสป พระอานนท์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ส่วนใหญ่นั้นล้วนมีปฏิสัมภิทาญาณ ในการบันทึกพระสูตรต่าง ๆ ลงในพระไตรปิฏก ได้ระบุชื่อ"สถานที่" ต่าง ๆ ที่สำคัญทางพุทธศาสนา ก็เป็นชื่อสถานที่ประกาศศาสนต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย และ ถ้าหลักจารึกในพระไตรปิฏกทั้งหมดทั่วโลกนี้ ที่แปลออกมาแล้วก็ตรงกัน มีชื่อและสถานที่ต่าง ๆ ตรงกันทั้งหมดในพระไตรปิฏกที่มีอยู่ในโลกแล้ว สิ่งนี้ก็น่าจะยื่นยันได้อีกประการหนึ่งค่ะ

    2.โลกคู่ขนาน สะดือของโลก มีจริงหรือไม่ ถ้าปัจจุบันถ้ามีผู้ใดสามารถค้นพบหา "วิหารสีขาว" ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของจิตวิญญาณ ถ้าสามารถค้นพบว่าอยู่ในที่ใดในประเทศแถบร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรได้ว่าอยู่ ณ ตรงสถานที่ใดในโลกนี้ (อินเดีย หรือ ไทย สงสัยค่ะ แต่ใจลึก ๆ มั่นว่าว่าเป็นประเทศอินเดีย) บางทีสิ่งนี้อาจมีการยืนยันในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการทราบได้

    3. โลกใบนี้ผ่านการเกิดดับ การเปลี่ยนแปลง การแตกสลาย การรวม การแยก การเคลื่อนย้ายถ่ายโอน มาหลายนับล้าน ๆ ปี ณ ขณะปัจจุบันแผ่นที่ของโลกยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประเทศนี้เคยเป็นอณาจักรของประเทศนั้น แล้วในสมัยยุคดึกดำบรรพที่ผ่านมา ที่มีคนบอกว่าในโลกนี้ ณ สถานที่ใดในโลกล้วนมีศพถูกฝังอยู่ทุกตารางเมตร แล้วหลักฐานต่าง ๆ ที่ขุดพบย่อมเป็นไปได้ไหมว่าเป็นของคนยุคใดยุคหนึ่ง ศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่ไม่ใช่ ณ ปัจจุบัน คำว่า ชมพูทวีปอาจกว้างขวางแผ่คลุมอณาเขตไพศาล แต่ไม่น่าจะใช่ยุคปัจจุบันแน่นอนค่ะ

    4.หากใครเคยไปประเทศอินเดีย ดินแดนพุทธภูมิ หรือ แสวงบุญจาริกในสังเวชนียสถาน นัั้น ทุกคนที่ไปนั่งสมาธิ ณ ดินแดนนั้น ทุกคนจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดของจิตวิญญาณที่สัมผัสพลังงานอันแสงสว่างแห่งการรู้แจ้งได้มีพลังงานดึงดูดอันลึกลับของจิตวิญญาณที่เป็นมิติคู่ขนานของเหล่าพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลทั้งหลายได้ค่ะ (หลายคนที่ไปปฏิบัติธรรมที่นั้นกล่าวไว้ และ บางคนก็สามารถยืนยันได้ ได้มาเล่าให้ฟังค่ะ) นี่ก็เป็นอีกเหตุผลเพื่อพิจารณาค่ะ
     
  17. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    พระเจ้าอโศกอายุ30 ปี ครองราชย์ พ.ศ. 218 ครองอยู่ 37 ปี ถึง พ.ศ. 255
    พ.ศ. 310 คงไม่ได้อยู่ไป กุสินารา หรอกครับ นอกจากอโศกปลอม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      129.7 KB
      เปิดดู:
      100
  18. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    คุณjityimกำลังจะเสียรู้เอกก้างปลาช่อนแล้ว เอกก้างปลาช่อนมันรู้ว่าตัวไม่มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มันอยากจะมีอะไรมาเบี่ยงประเด้น ที่คุณพูดมา มีคนเค้าพูดเป็นหลายครั้งแล้ว เอกก้างปลาช่อนก็แถไปมา อ้างฝรั่งหลุยส์ลาลูแบร์ที่มาเมืองไทยสองสามเดือนก็มี

    [​IMG]

    เอกก้างปลาช่อนบอกพระเลวสร้างสังเวชนียสถาน

    [​IMG]
     
  19. nong_bangplad

    nong_bangplad สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2016
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    คุณ12qbคะ สงสารคุณเอกอิสโรเถิดค่ะ กรรมก็เตือนและทำงานของมันอยู่ค่ะ ภรรยาที่อายุไม่เท่าไรของคุณเอกอิสโร ไม่นานมานี้ก็พึ่งเส้นเลือดในสมองแตกต้องหามส่งโรงพยาบาล ตัวคุณเอกอิสโรก็เคยมีปัญหาหนัก ถ้าเขาคิดไม่ได้ก็คงหนักขึ้นค่ะ อย่าไปอะไรมากเลยค่ะ ภรรยาคุณเอกอิสโรก็ไม่ค่อยชอบเรื่องพวกนี้หรอกนะคะ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดค่ะ ก็ยืนยันเหมือนท่านแหละค่ะว่า ประเทศอินเดียคือถิ่นกำเนิดของพุทธศานา เสียรู้เรื่องอะไรหรือค่ะ ขยายความด้วยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...