108 เคล็ดกิน

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 5 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สารพัดผักแก้ท้องผูก

    [​IMG]

    หากการถ่ายทุกข์หนักหรือขับถ่ายอุจจาระของคุณจะเกิดขึ้นแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานราว 2-3 วัน ก็เข้าข่ายท้องผูก ส่งผลให้อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ขับถ่ายลำบาก เป็นนาน ๆ อาจลุกลามกลายเป็นริดสีดวง สร้างความทุกข์ทรมานให้ลมมันเย็น!...

    ‘มุมสุขภาพ-กินดี’
    สัปดาห์นี้จึงคัดสรรสารพัดผักที่หารับประทานได้ง่าย ๆ เพื่อให้คุณผู้อ่านที่มีอาการท้องผูกซื้อหามารับประทานเพิ่มกากใยเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย

    เริ่มจาก ‘มะเขือเทศ’ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำ เพราะผักชนิดนี้ช่วยระบายท้อง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลดความดันโลหิต แถมยังรักษาอาการตาพร่ามัว ขณะที่ ‘เกาลัด’ ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารให้ทำงานได้ดี แก้ร้อนใน บำรุงม้าม

    ส่วน ‘กะหล่ำปลี’ แก้ท้องผูกบำรุงผิว รักษาแผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร ‘กุยช่าย’ ช่วยย่อยอาหารและบำรุงกระเพาะอาหาร แถมเสริมกำลังวังชา บำรุงพลังเพศ และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คงเป็น ‘มะละกอ’ เลือกรับประทานแบบค่อนข้างสุกงอมจัด มีสรรพคุณช่วยระบาย

    เช่นเคยกับเมนูสุขภาพ ที่ครั้งนี้ขอแนะนำ ‘เครื่องดื่มจากมะขาม’ พืชอีกชนิดที่โดดเด่นในคุณประโยชน์ช่วยขับถ่าย สูตรนี้เลือกใช้มะขามเปียก ต้มกับน้ำ แล้วใส่น้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย กลายเป็นน้ำมะขาม ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เพราะถ้าดื่มมากเกินไป จากท้องผูกจะกลายเป็นท้องเสีย จู๊ด...จู๊ด!.

    takecareDD@gmail.com
    ภาพประกอบจาก www.herbsdetox.com
    www.lifestyle.com.pk
    www.indo-chine.com
    www.odorunara.wordpress.com
    www.banana-rite.co.uk
    www.esquire.com

    .
    ที่มา เดลินิวส์
    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > สารพัดผักแก้ท้องผูก
    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประโยชน์จากโยเกิร์ต

    โยเกิร์ตเป็นอาหารที่อร่อย แถมยังมีประโยชน์มากมาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก

    - เวลาท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย

    - โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

    - โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5

    - โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้

    - จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ เพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

    - แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย

    - ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก

    - เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

    รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำกันดีกว่า เพื่อร่างกายที่แข็งแรง.

    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ประโยชน์จากโยเกิร์ต

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ใส่ใจอาหารแต่ละจาน เสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง
    ใส่ใจอาหารแต่ละจาน เสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

    เอ่ยถึงโรคมะเร็งคงไม่มีใครอยากเป็น ด้วยความรู้สึกที่ว่าเป็นโรคที่น่ากลัว รักษาไม่หาย ใครเป็นแล้วจะต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ไปตลอดชีวิต ความทุกข์ทรมานจากมะเร็งร้ายนี้ ส่วนหนึ่งมาจากขาดการดูแลและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกิน แต่ถ้าหากรู้จักกินอย่างถูกหลักจะสามารถช่วยป้องกันการเกิดของโรคร้ายนี้ได้ 30-40 เปอร์เซ็นต์

    นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ นวสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการโภชนาการกับการเกิดของโรคมะเร็งให้ฟังว่า ธรรมชาติที่จะเข้าสู่ร่างกายมีทั้งน้ำ อาหาร อากาศ ทุกอย่างมีทั้งที่เป็นประโยชน์และที่ทำให้เกิดโรคกับร่างกาย ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสมัยก่อนคนเราไม่ค่อยเป็นอะไรกันนัก นานๆ ทีถึงจะเป็นโรคมะเร็งสักคนหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่าอยู่แบบธรรมชาติ กินแบบธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งมากนัก วัตถุดิบค่อนข้างปลอดภัย แต่ในสมัยนี้อย่างไก่ทอด เราไม่ค่อยมั่นใจว่าปลอดภัยหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาเลี้ยงด้วยอะไรหรือปรุงด้วยอะไรบ้าง เพราะโดยทั่วไปเนื้อไก่ไม่ได้มีโทษ แต่สิ่งที่ใส่เข้าไปในเนื้อไก่ต่างหากที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อเกิดโรคได้

    จริงๆ แล้วในแหล่งอาหารธรรมชาติที่เจอกันวันนี้จะมี 2 ส่วนด้วยกันที่ทำให้เกิดโทษ อาหารประเภทแรกที่สามารถก่อมะเร็งได้ คือ อาหารที่ราขึ้นได้ง่าย อย่างเช่น ถั่วลิสง กระเทียม แห้ง พริกป่น พริกแห้ง ซึ่งจะสร้างสารอัลฟาท็อกซิน ทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับได้ ต่อมา คือ พยาธิใบไม้ในตับ มาจากวิถีชีวิตที่ชอบกินปลาดิบ ก้อยดิบ ปลาจ่อม ซึ่งพยาธิใบไม้ตับจะชอบอาศัยอยู่ในอาหารเหล่านี้ แต่ถ้าทำให้สุกจะไม่เป็นอะไร เพราะพยาธิเหล่านี้จะตายเมื่อโดนความร้อน แต่คนที่ชอบกินแบบสุกๆ ดิบๆ จะได้รับไข่พยาธิเข้าไปฝังตัวในท่อน้ำดี เมื่อผ่านมาในระยะหนึ่งจะกลายเป็นมะเร็งในท่อน้ำดี

    อาหารอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่อาหารธรรมชาติแต่เป็นอาหารที่ปรุงแต่งขึ้น ซึ่งตามหลักโภชนาการแล้ว อาหารหลัก 5 หมู่ เป็นอาหารที่ดีที่สุด ปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด เริ่มตั้งแต่ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากพวกแหล่งธรรมชาติ เช่น ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัย มาที่ไขมันพบว่าไขมันที่ได้จากน้ำมันพืชจะปลอดภัยกว่าน้ำมันสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าทานอาหารนอกบ้านจะหลีกเลี่ยงในส่วนนี้ไม่ค่อยได้
    ส่วนโปรตีน อาหารประเภทเนื้อสัตว์พบว่า ในเด็กที่ยังโตไม่เต็มที่สามารถบริโภคโปรตีนได้ในปริมาณมากๆ แต่เมื่ออายุประมาณ 20-25 ปีขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงหรือทานโปรตีนน้อยลง เพราะเมื่อเราโตเต็มที่แล้วถ้ายังทานเหมือนเดิม ในสัดส่วนอาหารที่เท่าเดิม เราจะไม่สูงหรือเจริญเติบโตอีกแล้ว จะมีแต่พอกไว้แล้วออกด้านข้างแทน

    "วัยเด็กอาจจะทานโปรตีนประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ แต่พออายุมากขึ้นจะลดลงเหลือ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่หายไปนั้นจะต้องเสริมด้วยผัก ผล ไม้ จะช่วยทำให้ร่างกายได้วิตามินโดยที่ไม่ต้องไปซื้ออาหารเสริม วิตามินเสริมทั้งหลายมาบริโภคเลย เพราะอาหารหรือวิตามินเสริมเหล่านั้นก็มาจากอาหาร 5 หมู่นั่นเอง

    ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ลดลง เพราะร่างกายมีความต้องการน้อยลงแต่ยังต้องการโปรตีนอยู่ เพียงแต่โปรตีนที่ต้องการไม่ใช่โปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างเดียว อาจจะเปลี่ยนเป็นสัตว์เนื้อขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา และสัตว์น้ำ เพื่อให้เซลล์ผิวหนังอยู่ได้นาน เพราะเซลล์จะมีการ ซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งโปรตีนจะเป็นวัตถุดิบให้กับร่างกายนำไปสร้างเป็นเซลล์ภูมิต้านทานในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่างๆ รวมทั้งเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จะใช้สื่อสารระหว่างเซลล์ในการควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกาย รวมทั้งระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีนจะเข้ามาช่วยในส่วนเหล่านี้"

    ในส่วนวิตามินและเกลือแร่จะอยู่ในผักและผลไม้ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายมีเซลล์ที่ไม่แก่ มีความสดชื่น เพราะมีสารอนุมูลอิสระอยู่ในแหล่งผักผลไม้ธรรมชาติเหล่านี้ โดยผักที่มีประโยชน์มากจะอยู่ใน ผักใบเขียว รวมทั้งถั่ว แครอท ตระกูลเบอรี่ทั้งหลาย เช่น สตรอเบอรี่ ราสเบอรี่ รวมทั้งแอปเปิ้ล มะละกอสุก ฟักทอง ผลไม้ที่สีจัดๆ เพราะจะมีสารอนุมูลอิสระและมีวิตามินสูง

    อาหารที่ทานกันทุกวันนี้ในท้องตลาดจะมีสิ่งหนึ่งที่ใส่เข้ามา คือ สารปรุงแต่งทั้งหลาย ซึ่งของปรุงแต่งจะมีตั้งแต่น้ำมันหมู น้ำมันพืชที่นำมาประกอบอาหาร

    สารปรุงแต่งในส่วนที่เรียกว่า หมัก ดองเค็ม ซึ้งเนื้อปลาโดยธรรมชาตินั้นดีมีประโยชน์ แต่เมื่อมีการนำไปปรุงแต่งขึ้น อย่างปลาเค็มในกระบวนการหมักจะมีการใส่สารไนเตรตที่สามารถเปลี่ยนเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในร่างกายได้ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ถูกนำมาใช้เป็นสารกันเสียในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ปลาช่อนแห้ง เนื้อเค็ม เนื้อกระป๋อง หมูแฮม เบคอน แหนม จะไปก่อมะเร็งในทางเดินอาหารด้านบนบางส่วนจะมีผลต่อมะเร็งโพรงจมูกได้อีกด้วย

    อีกจำพวกหนึ่ง คือ อาหารประเภทปิ้ง ย่าง ที่มีลักษณะเกรียมๆ ดำๆ ซึ่งจะมีสารเฮทเทอโรไซคลิกเอมีนที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่สามารถยับยั้งสารนี้ได้เมื่อนำอาหารไปทอดเสร็จแล้วอย่างกุนเชียง ไส้กรอก ให้ใช้มะนาวบีบลงบนส่วนที่กรอบ ๆ เกรียม ๆ จะช่วยสกัดกั้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดเป็นสารก่อมะเร็งได้

    รวมถึงอาหารประเภทรมควันต่างๆ ซึ่งจะมีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ นอกจากนั้นยังรวมไปถึงอาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็ง ต่อมลูกหมาก "ซึ่งอาหารที่กล่าวมานั้นนานๆ ทานที่ได้ เพราะร่างกายคนเราเหมือนกับ กทม.ที่มาเก็บขยะได้ทัน แต่ถ้าทานบ่อยครั้งร่างกายก็ขับออกได้ไม่ทัน" นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ แนะนำ

    โรคมะเร็งส่วนใหญ่จะเป็นกันเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากมี การสะสมมาเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายรับไม่ได้ ก็จะแสดงอาการออกมา ถ้ายังบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็งต่อจะทำให้อาการทรุด ลง คนที่ไม่ได้เป็นก็ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะปลอดภัยจากโรคมะเร็ง ทุกคนมีสิทธิเป็นมะเร็งได้ทั้งนั้น เพียงแต่ความต้านทาน ของแต่ละคนไม่เท่ากัน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ จะต้องระวังและหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวก่อมะเร็ง ทั้งหลาย

    นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "อย่ากินเพราะอร่อย ทานให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัยเพราะความต้องการสารอาหารของแต่ละวัยไม่เท่ากัน โดยกินอาหารให้หลากหลาย อย่ากินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเป็นประจำ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ และหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษจากอาหาร อาหารปรุงแต่งทุกชนิดที่เติมเข้าไปให้สีสันน่าทาน รสชาติถูกปากให้ประโยชน์แค่เพียงความอร่อยที่มีแค่บนลิ้นเท่านั้น และถ้ายังสร้างกิเลสไว้บนลิ้นมากๆ เราก็จะไม่ได้คุณค่าอะไรจากอาหารจานนั้น เป็นเพียงความรู้สึกที่อร่อยชั่วครู่เดียว สิ่งที่ปรุงแต่งเหล่านั้นอาจเป็นโทษกับร่างกาย อย่าไปหลงกับรูป รสชาติมากเกินไป"

    ถ้าไม่อยากทรมานด้วยโรคมะเร็งร้าย ก่อนทานอะไรคิดสักนิด... แล้วชีวิตจะยืนยาว

    ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
    HYPERLINK "http://www.bangkokhospital.com
    HYPERLINK "http://www.bangkokhealth.com
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    แก้วนี้ดื่ม ‘แก้หวัด’


    คอลัมน์ใส่ใจสุขภาพกับอาหารการกิน อย่าง ‘กินดี’ แลเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กำลังป่วยด้วยโรคหวัด เนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสาช่วงหน้าฝน วันนี้จึงเตรียมเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณแก้โรคหวัด บรรเทาอาการฮัดเช้ย....

    เครื่องดื่มสูตรนี้ ประกอบไปด้วย ‘แตงโมเหลือง’ อุดมด้วยเบตาแคโรทีน ช่วยชะล้างของเสียในไต ลดความดันโลหิต ต่อมาเป็น ‘องุ่นเขียว’ เปี่ยมด้วยฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี1 บี2 และวิตามินซี กรดไฟโคเคมิคอลเอลลาจิก และกรดทาร์ทาริก กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหาร ช่วยล้างพิษ และขับปัสสาวะ

    พระเอกของสูตรนี้ คือ ‘กีวี’ มีแมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ที่รวมพลังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย และควรรับประทานในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง

    ส่วนผสมของเครื่องดื่มแก้หวัด ประกอบด้วย...
    • แตงโมเหลือง 2 ถ้วย
    • องุ่นเขียว 1 ถ้วย
    • กีวี 1 ถ้วย
    • น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
    ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากนำกีวีไปปอกเปลือกออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นแว่น ๆ ส่วนแตงโมเหลืองหั่นเป็นชิ้น ๆ พอประมาณโดยไม่ต้องทิ้งเมล็ด และองุ่นเขียวผ่าครึ่งใช้ทั้งเมล็ด จากนั้นนำผลไม้ทั้งสามชนิดไปปั่นรวมกันด้วยเครื่องปั่น สกัดเอาแต่น้ำ เมื่อได้แล้วเทใส่แก้วเติมน้ำแข็งเพื่อความเย็นสดชื่นได้ หากไม่มีอาการระคายคอหรือไอร่วมด้วย.

    takecareDD@gmail.com

    ภาพประกอบจาก
    www.narenandjacobgotoleblonbeach.com
    www.ecvv.com
    www.realsimple.com
    www.vegetableseed.net


    ที่มา Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > แก้วนี้ดื่ม ‘แก้หวัด’
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กิน"หมูยอ" ระวังสารกันบูด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 กรกฎาคม 2553 15:11 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อหลายวันก่อน "108เคล็ดกิน" นั่งดูข่าวทางโทรทัศน์ เรื่องที่ทางสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 นครราชสีมา ได้เตือนภัยเกี่ยวกับการกินหมูยอดิบ อาจจะมีอันตรายอาจถึงตาย เพราะเสี่ยงรับสารพิษตกค้างจากหมูยอ

    เลยถือโอกาสหาข้อมูลมาฝากกันว่า แท้ที่จริงแล้วใน"หมูยอ" แทบทุกยี่ห้อที่เรา ๆท่านๆ บริโภคกันอยู่นี้ใส่ "สารกันบูด" แทบจะทุกยี่ห้อ เพราะหมูยอมีส่วนผสมหลักคือ "เนื้อหมู"และอากาศบ้านเรามีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มาก ดังนั้นจึงเลี่ยงสารกันบูดไม่ได้

    สารกันบูดในหมูยอที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายคือ "กรดเบนโซอิค" และ "กรดซอร์บิก" เพื่อถนอมไม่ให้หมูยอเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค การผสมสารกันบูดนี้ผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ทำได้ แต่ต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เพราะถ้าใส่มากกว่านั้น จะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค

    แต่อย่างไรก็ตามเราอจจะมีโอกาสพบเจอหมูยอที่ไม่ได้มาตราฐานและส่งผลร้ายต่อร่ายกายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหมูยอที่ห่อด้วยพลาสติก และสังเกตวันที่หมดอายุ เพราะในอาหารเหล่านี้จะมีสปอร์ เมื่ออยู่ในภาวะที่ไร้อากาศ และความเป็นด่าง สปอร์จะงอกและผลิตสารพิษ Clostridium botulinum ออกมา หากรับประทานหมูยอที่มีพิษเข้าไปอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากจะรับประทานให้เลือกหมูยอที่ห่อด้วยใบตองจะปลอดภัยกว่า หรือควรนำหมูยอที่ซื้อมาไปลวกก่อนกินทุกครั้ง เพราะสามารถลดปริมาณสารกันบูดได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    Travel - Manager Online
     
  6. apple_lin

    apple_lin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +704
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>วิธีตัดพิษเมื่อกิน "บอน"</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>20 กรกฎาคม 2553 13:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อันว่าน้ำใจหญิงเหมือนดั่งน้ำกลิ้งบนใบบอน หมายถึงใจโลเลไปมา คำกล่าวนี้จะจริงเท็จอย่างไร "108เคล็ดกิน" ไม่รู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆก็เรื่องของ "บอน"

    บอน หรือ ต้นบอน เป็นพืชชนิดหัว อยู่ในตระกูลของเผือก มีทั้งบอนหวานและบอนคัน ขึ้นในที่ลุ่มตามห้วย หนอง คลอง บึง ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นอาหาร ส่วนบอนคัน มี Calcium oxalate ทำให้คัน ใบแก่มีมากกว่าใบอ่อน ก่อนการปรุงเป็นอาหารจึงต้องต้มเคี่ยวและคั้นน้ำทิ้งก่อน 2-3 ครั้ง หรือใช้วิธีเผาก่อน แล้วจึงต้มน้ำและคั้นน้ำออก

    เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร มักใส่พืชที่มีรสเปรี้ยวลงไปด้วย เพื่อช่วยตัดพิษคันของบอน เช่น ส้มป่อย ยอดมะขาม น้ำมะกรูด เป็นต้น ชาวบ้านทางเหนือมีวิธีสังเกตบอนหวานและบอนคัน คือ ที่ใบและต้นของบอนหวานจะมีสีเขียวสดหรือเขียวคล้ำ ไม่มีนวล ส่วนใบของบอนคันจะมีสีเขียวนวลและมีนวลเกาะอยู่ตามก้านใบ และดอกของบอนหวานจะมีแมลงตอม แต่บอนคันไม่มี

    "รากบอน" มีสรรพคุณทางยาโดยให้นำรากบอนมาต้มน้ำดื่ม แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ใครไม่เคยลิ้มรสบอนก็ลองหามาปลูกมากินดู
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    Travel - Manager Online

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วย “หญ้าปักกิ่ง”
    Travel - Manager Online - ��������Ԥ����ѹ�ä���� �˭�һѡ��觔

    [​IMG]โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์27 กรกฎาคม 2553 17:32 น.

    [​IMG][​IMG]

    หญ้าปักกิ่ง[​IMG] เกิดเป็นต้นหญ้าใครว่าไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ “108เคล็ดกิน” ขอเถียงสุดใจขาดดิ้น เพราะต้นหญ้าที่หลายคนมองข้ามบางทีก็อาจจะเป็นยาวิเศษ ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้เช่นกันอย่างเช่น “หญ้าปักกิ่ง” นี่อย่างไร

    หญ้าปักกิ่ง หรือในชื่อภาษาจีนว่า เล้งจือเช่า หรือ หญ้าเทวดา เป็นไม้ล้มลุก ใบ หนาเรียวคล้ายใบไผ่ ฉ่ำน้ำดอกเล็ก ๆ ออกที่ปลายต้น สีบานเย็น กลีบขาวแกมม่วง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา เป็นยามีรสจืด เย็น มีสรรพคุณในการยับยั้งโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในคอ มะเร็งตับ มะเร็งมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น

    การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บพบว่า ลำต้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ เป็นสารต้านมะเร็งระยะต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคภูมิแพ้ โรคความดันและเบาหวาน สามารถใช้รักษาร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ช่วยลดอาการข้างเคียงจาการฉายแสง ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉายแสง

    ในชาวจีนสมัยโบราณใช้หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรรักษาโรคมาเป็นเวลาหลายพันปี ใช้บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลย์ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การกินหญ้าปักกิ่งมีหลากหลายวิธีแต่ที่ง่ายสุดก็คือ กินหญ้าปักกิ่งสดๆ หรือปรุงเป็นอาหารจิ้มน้ำพริกกินก็ได้ แต่ต้องล้างให้มั่นใจว่าสะอาดจริงๆและข้อควรระวังไม่ควรกินของแสลง ซึ่งมีผลให้ฤทธิ์การรักษาโรคของหญ้าปักกิ่งอ่อนลง เช่น ฟักแฟง แตงกวา มะระ หัวไชเท้า<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เก็บอาหารแห้ง ให้ปลอดเชื้อราหน้าฝน
    Travel - Manager Online -
    </TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เก็บอาหารแห้ง ให้ปลอดเชื้อราหน้าฝน
    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000110891
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>10 สิงหาคม 2553 16:47 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    หน้าฝนแบบนี้คุณแม่บ้านทั้งหลาย อาจจะพบเจอปัญหาในครัวสารพัด ที่มาพร้อมฝน หนึ่งในปัญหานั้นคือ ความชื้นในอากาศที่เร่งให้เกิดรา โดยเฉพาะกับอาหารแห้ง “108เคล็ดกิน” จึงมีวิธีดีๆ ในการเก็บรักษาอาหารแห้งมาฝากกัน

    เริ่มด้วย หอมและกระเทียม เป็นอาหารแห้งที่ไวต่อความชื้นและเชื้อรา หากเก็บไว้ในตะกร้าโปร่งที่อากาศถ่ายเทสะดวกแล้วยังไ ม่ได้ผล ให้เก็บใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น หรือใช้ถุงซิปล็อค ก่อนนำเข้าตู้เย็น ค่อยหยิบใช้เมื่อต้องการรับรองเชื้อราไม่มาแผ้วพาน

    ส่วน กุ้งแห้ง ก่อนเก็บล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปต้ม พอเดือดใส่เกลือเล็กน้อย ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำแล้วนำมาคั่วให้แห้ง เก็บใส่ถุงซิปล็อคในช่องฟรีซ กุ้งจะสะอาดปราศจากสารปนเปื้อนและเก็บได้นานเป็นปี

    เกลือและน้ำตาล ใส่ในขวดโหลปิดฝาให้สนิทกันมดแมลง ขณะใช้งานไม่ควรใช้ช้อนเปียกหรือชื้นตัก เพราะจะทำให้น้ำตาลหรือเกลือจับเป็นก้อน ส่วนน้ำตาลไอซิ่งโรยแป้งข้าวโพดลงไปเล็กน้อยเพื่อ ช่วยดูดความชื้น ก่อนเก็บในขวดแห้งและสะอาด

    และ ข้าวสาร ควรเก็บแบบแพ็คสุญญากาศ นำมาเก็บในถังพลาสติกปิดสนิทจะสะอาดปลอดภัยกว่า หากข้าวสารมีมอด แมลง ให้นำข้าวใส่ถุง แช่ช่องฟรีซสัก 2-3 วัน เพื่อกำจัดแมลง ก่อนนำมาล้างและหุงตามปกติ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สู้ฝนด้วยสมุนไพรเผ็ดร้อน <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">24 สิงหาคม 2553 17:34 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG] <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ขิง</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> หน้าฝน มีอากาศเย็นและมีความชื้นสูง(ในวันฝนตก) ทำให้ร่างกายมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงควรเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ซึ่งการกินอาหารที่มีส่วนของสมุนไพรรสชาติเผ็ดร้อน ถือเป็นตัวช่วยวิธีหนึ่ง

    และนี่คือสมุนไพรประเภทเผ็ดร้อน 5 ชนิดที่หากินได้ทั่วไป ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายแล้ว ยังมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นๆอีกด้วย

    ขิง : ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยขับปัสสาวะ รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้

    กะเพรา : ช่วยขับลม บำรุงธาตุไฟ แก้ปวดท้องและจุกเสียด

    ตะไคร้ : ขับลมในลำไส้ ช่วยบรรเทาอาการไข้ ลดอาการปวดท้อง ขจัดอาการอ่อนเพลียของร่างกาย ลดอาการปวดหลัง

    กระเทียม : แก้ไอ แก้ลม บำรุงธาตุ แก้ปวดมวนท้อง ช่วยเสริมให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    พริกไทย : แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยขับลม บำรุงธาตุ ลดเสมหะ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    กินโยเกิร์ต-นมเปรี้ยวอย่างไร? ได้ประโยชน์!
    -http://www.dailynews.co.th/healthy/178904-

    [​IMG]
    โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่คุ้นเคย อาจไม่ได้ให้ประโยชน์อย่างที่เข้าใจ รีบมารู้ของดีจริงต้องเป็นแบบไหน




    คลับสุขภาพศุกร์นี้มาเติมสิ่งดีๆ ให้กับกระเพาะอาหารและสำไส้ หลายคนอาจทราบว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว เป็นอาหารอีกชนิดที่ดีต่อสุขภาพ แต่ที่มีอยู่ในท้องตลาดนั้น ไม่ใช่ทุกชนิดที่ทานแล้วได้ประโยชน์จริงๆ

    โยเกิร์ต (Yoghurt) และนมเปรี้ยว (Drinking yoghurt) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนมสด หรือนมพร่องมันเนย โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส และสเตรปโตคอคคัส เป็นหลัก ใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ จากนั้นแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค จนมีภาวะกรด และมีรสเปรี้ยว โดยความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 3.8-4.6 หลังนำแบคทีเรียข้างต้นไปหมักกับนมก็จะได้เป็นนมเปรี้ยว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเป็น ‘นมเปรี้ยว’ ที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม อีกชนิดหนึ่งเป็นนมเปรี้ยว ที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า ‘โยเกิร์ต’ นั่นเองค่ะ

    โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดอาหารมีประโยชน์ที่ผลิตจากนมโค อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารครบถ้วนเทียบเท่ากับนมโคสด และในบางตำรายังกล่าวว่า ให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมสด เช่น โปรตีนเคซีนในนมเปรี้ยวจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีกว่า เพราะย่อยสลายได้ง่ายกว่า

    สำหรับโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราคุ้นเคยกันอยู่นั้น อาจไม่ใช่โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่กำลังจะกล่าวถึง เพราะจุดประสงค์ของการทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ถูกต้อง คือ ทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก (ประมาณหมื่นล้านตัวต่อกรัม) เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ

    ส่วนโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราซื้อหากันในท้องตลาด ส่วนใหญ่ทำขึ้นโดยการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้วยซ้ำ เพราะนำไปฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูงและนำมาบรรจุกล่อง ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวมากกว่านะคะ แถมบางชนิดใส่น้ำตาลมากไปจนน่าสงสัยว่าจะได้ประโยชน์จากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจริงๆ หรือไม่ และบางชนิดมีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลือจนอยู่น้อยมาก

    ดังนั้นโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ดี ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน กลิ่น รสสังเคราะห์ เพราะทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวรสธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อยกันค่ะ

    มาดูกันต่อนะคะว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไร...

    1.โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม ที่ชื่อ เคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและโปรตีนเคซีน

    2.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ โดยกรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกาย เช่น เชื้อซัลโมเนลา, อี โคไล, โคลินแบคทีเรีย ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราจึงควรทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

    3.เป็นแหล่งวิตามินบี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังช่วยสังเคราะห์วิตามินบี และวิตามินเค ในลำไส้

    4.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะอาหาร จากการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้ทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว

    5.ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น

    6.เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจะมีโปรตีนมากกว่าในนม ร้อยละ20 และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปได้ดี

    7.ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะแลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

    8.ช่วยป้องกันมะเร็ง โดยแลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง ทั้งยังสามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้

    อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านคงต้องรีบไปหาโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว ที่มีคุณสมบัติดีๆ มาติดตู้เย็นกันแล้วใช่ไหมคะ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน เพื่อร่างกายของเรา และคนที่เรารักให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกันเถอะค่ะ อย่าลืมค่ะว่า You are what you eat เลือกทานอะไรดีๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรงกันนะคะ.

    "PrincessFangy"
    twitter.com/PrincessFangy

    อ้างอิงบางส่วนจาก Good Health, Quality Health Product Supplier
     

แชร์หน้านี้

Loading...